ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 109 : ต่อสู้เคียงข้างนาย

ด้วยการเผยตัวเต็มกำลัง ผู้ใช้จะพบกับความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ด้วยการเผยตัวที่อ่อนแอ ผู้ใช้จะต้องพบกับความทุกข์ทน

การเผยตัวแห่งราชาของเซี่ยงเส้าหยุนปล่อยออกขณะฟันกระบี่อย่างรุนแรงใส่ยอดฝีมือทั้งสอง หัวทั้งสองกระเด็นออกจากร่าง หลังจากสังหารยอดฝีมือแล้ว การเผยตัวของเด็กหนุ่มก็อ่อนลงทันที ร่างกายของเด็กหนุ่มอ่อนปวกเปียกจนถึงขั้นต้องใช้กระบี่ค้ำร่างกายไว้

“ดูเหมือนว่าเราจะใช้ร่างกายหนักเกินไปเสียแล้ว” เซี่ยงเส้าหยุนพึมพำขณะยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้น เขาบดหินวิญญาณระดับต่ำในทะเลจักรวาลดวงดาว พลังงานจากศิลาวิญญาณพุ่งเข้าไปในดวงดาว และไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณ ฟื้นฟูพลังที่เสียไป

ในเวลาเดียวกันนั้น เสี่ยวไป่ได้มาถึงข้างเคียงเขา และเริ่มคุ้มกันอย่างตื่นตัว ประโยชน์ในการช่วยกักเก็บสิ่งของ หรือใช้สิ่งที่อยู่ภายในทะเลจักรวาลดวงดาวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เด็กหนุ่มฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกสบายมาก

เวลาเดียวกันนั้น กลุ่มน่าล่าสิงโตคลั่งที่ถูกทิ้งให้เผชิญหน้ากับช้างเกล็ดเงินได้มาถึง เมื่อพวกเขามองดูศพทั้งสามที่พื้น ความตกใจผุดขึ้นบนใบหน้า

“ระ รองหัวหน้าถูกสังหารแล้ว! และผู้ติดตามทั้งสองก็ด้วย! เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?” ยอดฝีมือระดับแปรสภาพขั้นแรกตะโกนเสียงดัง

เสี่ยวไป่ขยายร่างขึ้น และตะครุบชายผู้นั้น

“โฮก!”

ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบโต้ เสี่ยวไป่ก็ได้เข้าถึงตัว และกัดหัวของยอดฝีมือระดับแปรสภาพเสียแล้ว กลุ่มนักล่าตกใจต่อภาพตรงหน้ามาก

พวกเขาเพิ่งต่อสู้กับช้างเกล็ดเงินเมื่อครู่ และได้รับบาดเจ็บทุกคน ทำให้มีพละกำลังไม่ถึงครึ่งจากทั้งหมด เหตุใดพวกเขาจึงต้องเจอกับปีศาจชั้นสูงอีกเล่า? และที่สำคัญกว่านั้น เด็กหนุ่มผู้สังหารรองหัวหน้า และผู้ติดตามทั้งสองยังยืนอยู่ที่นี่

“ถอยก่อน แล้วค่อยขอกำลังเสริม!” ชายผู้หนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่งทั้งหมดถอยออกไปจากตำแหน่งนั่นทันที

เซี่ยงเส้าหยุนต้องการไล่ตามพวกเขาไป แต่ต้องหยุดคิดชั่วครู่ ‘ใช่แล้ว กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่งได้สร่างความขุ่นเคืองต่อเรา แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารพวกมันทั้งหมด เราจะต้องทำให้พวกมันกระจัดกระจายในอนาคต’ เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตนเอง

เขาปล่อยให้เสี่ยวไป่ล่าสัตว์ปีศาจมาเป็นอาหาร หลังจากที่ทานจนอิ่มแล้ว เขาจึงเริ่มทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังงานที่เสียไป ก่อนที่จะเริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้ง

หลังจากทำสมาธิทั้งคืน เซี่ยงเส้าหยุนได้ฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาได้เจ็ดในสิบ เขาถือผลเขาเงินไว้ในฝ่ามือ และยิ้ม “ผลเขาเงิน สามารถช่วยให้ดาวดวงแรกเติบโต และขยายใหญ่ขึ้นมาก มันเป็นถึงยาวิญญาณระดับกลางที่หายาก”

เซี่ยงเส้าหยุนเก็บผลเขาเงินแทนที่จะใช้มัน ด้วยพรสวรรค์ของเขา การใช้ผลไม้นี่ดูจะเปล่าประโยชน์ มันไม่แสดงผลชัดเจนนัก มันจะมีผล และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่อนแอมากกว่า

เซี่ยงเส้าหยุนอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เขาขี่เสี่ยวไป่ท่องเที่ยวไปทั่วขณะฮัมเพลง ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น เขาไม่ใช่บัณฑิตผู้อ่อนแอที่ไม่อาจสังหารไก่ได้อีกต่อไป เป็นเวลาเนิ่นนานนับจากที่เขาฝึกฝนอย่างหนัก ในไม่ช้าเด็กหนุ่มจะได้หวนกลับไปยังที่ซึ่งจากมา และยึดเอาทุกสิ่งที่เคยเป็นของตนคืน

หลังจากผ่านไปสองถึงสามวัน และสังหารสัตว์ไปมากมาย เซี่ยงเส้าหยุนได้มาถึงรอบนอกของเทือกเขาร้อยสัตว์อสูรแล้ว หลังจากผ่านไปหลายวัน เขาได้เปล่งออร่าอันแน่วแน่ และคมชัดขึ้น ราวกับเป็นดาบสังหารแทนที่จะเป็นมนุษย์ ทำให้ทุกคนที่จ้องมาตรงมาที่เขาได้ยากยิ่ง

หลังจากออกจากเทือกเขาร้อยสัตว์อสูร เซี่ยงเส้าหยุนมุ่งตรงไปยังตำหนักยุทธ์ทันที เขาไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสเจิ้นเผิง และจื่อฉางเหอต้องกังวลมากไปกว่านี้ หลังจากมาถึงแล้ว เขามองหาเซี่ยหลิวฮุย เพื่อมอบผลเขาเงินให้แก่ลูกน้องของตน

เมื่อเซี่ยหลิวฮุยประทับใจมาก ผลเขาเงินเป็นถึงยาวิญญาณระดับกลาง แต่ลูกพี่กลับนำมามอบให้ราวกับมันไร้ค่า ความเอื้ออาทรอันเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเปรียบได้

เซี่ยงเส้าหยุนพยายามช่วยเหลือเซี่ยหลิวฮุยให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเขาเป็นเพื่อนคนแรกของตำหนักยุทธ์ และยังหวังว่าเซี่ยหลิวฮุยจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เพื่อที่จะยืนเคียงข้างตนได้ในอนาคต แม้จะไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขาก็จะพยายามเพราะเขาเป็นลูกพี่ของเด็กคนนี้

สำหรับไม้อัสนีบาตที่ถูกทำลายไปนั้น ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงได้เป็นผู้อธิบาย ไม่ว่าอย่างไรผู้อาวุโสเจิ้นเผิงก็เป็นคนที่นำมันมาจากตำหนักยุทธ์ ไม่ใช่เขา ไม่มีผู้ใดในตำหนักยุทธ์กล้ามีปัญหากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น

เซี่ยงเส้าหยุนเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง และเริ่มแยกตัวออกไปเป็นเวลาสามเดือน เขาต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ก่อนที่การประลองประจำเมืองจะมาถึง และที่สำคัญกว่านั้น จากการสังหารสิ่งมีชิวิตอย่างต่อเนื่องที่เทือกเขาร้อยสัตว์อสูร เขาได้พิจารณาแล้วว่า ตนต้องการไพ่ที่เหนือกว่านี้

สามเดือนดูจะเป็นเวลาที่สั้นมากสำหรับผู้ที่จดจ่อกับการฝึกฝน และเซี่ยงเส้าหยุนไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใดเลยนอกจากฝึกยุทธ์ ทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้นมากสำหรับเขา หากจื่อฉางเหอไม่เข้ามาแจ้งว่าการประลองประจำเมืองจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือน เขาก็จะยังคงฝึกฝนอย่างสันโดษเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

การประลองประจำเมืองเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของนครขอบนภา เมืองหนึ่งร้อยเมืองจะส่งศิษย์จำนวนมาก และผู้ฝึกยุทธ์เพื่อเป็นตัวแทนในการแข่งขัน และความเกียรติยศ และศักดิ์ศรีมาสู่พวกเขา

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางตำหนักยุทธ์ได้กระตุ้นเหล่าศิษย์ให้แข็งแกร่งขึ้น และการประลองประจำเมืองคือเหตุผล ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น จะมีการแข่งขันภายในเพื่อเฟ้นหาศิษย์ห้าสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อส่งไปยังการประลอง

ด้วยความแข็งแกร่งของเซี่ยงเส้าหยุน เขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการคัดเลือก แต่จื่อฉางเหอบังคับให้เขาต้องออกไป แม้จะมีข่าวคราวของเขาน้อยมากในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นตัวประหลาดที่ได้รับความสนใจในตำหนักยุทธ์

ด้วยเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนฟากฟ้าในวันแรกที่เข้ามาที่นี่ และยังเป็นศิษย์ผู้กำราบตระกูลอู่ พี่น้องตระกูลหลี่ และแม้แต่ศิษย์ของผู้อาวุโสที่หนึ่ง เยี่ยเทียนหลง ก็ยังเกรงกลัวเขาเช่นกัน ความสำเร็จมากมายสร้างความกดดันให้แก่ศิษย์คนอื่นนัก

ในทางกลับกัน เหล่าศิษย์หญิงได้หลงเสน่ห์เซี่ยงเส้าหยุนอย่างสมบูรณ์ มีศิษย์หญิงมากมายขยิบตา ยิ้มมให้ และพยายามจะยั่วยวน

เซี่ยงเส้าหยุนแสร้งทำเป็นไม่เป็นสิ่งใด และนั่งฝันกลางวันที่มุมหนึ่งเท่านั้น

“เส้าหยุน!” เสียงที่ฟังดูดีใจดังขึ้นใกล้เคียงเขา

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนหันไป เขาเห็นลู่เสี่ยวฉิงยืนอยู่ด้วยชุดฝึกยุทธ์ นางเอามือประสานกันไพล่หลัง ขณะมองดูเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน และมีรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า

มันผ่านไปสองถึงสามเดือนแล้วนับจากที่พบลู่เสี่ยวฉิงครั้งสุดท้าย และนางดูสง่างาม และงดงามมากเช่นกัน ดูราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานบนภูเขาสูงเสียดฟ้า

เซี่ยงเส้าหยุนยิ้ม และกล่าว “ลู่เสี่ยวฉิง เจ้าก็จะเข้าร่วมการคัดเลือกเช่นกันใช่ไหม?”

“แน่นอน ข้าจะเข้าร่วมด้วย ศิษย์พี่สาวบอกข้าว่ามีการจองล่วงหน้าให้กับเจ้าแล้ว ข้าต้องการต่อสู้เพื่อยืนเคียงข้างกับเจ้า ดังนั้นจะต้องเป็นผู้คัดเลือกสู่สี่สิบคนสุดท้ายให้จงได้!” ลู่เสี่ยวฉิงกล่าว ความตั้งใจในการต่อสู้พุ่งออก

นางสาบานว่าจะติดตามอย่างใกล้ชิดเคียงข้างเซี่ยงเส้าหยุนในทุกย่างก้าว ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องรั้งท้าย หากนางยังคงอยู่จุดเดิมก็คงพบว่าเด็กหนุ่มได้เดินห่างไปเรื่อย ๆ เสียแล้ว

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset