“ท่านไม่เกรงกลัวเลยหรือ? คงน่าเสียดายหากเป็นเช่นนั้น” ลั่วหลินกล่าวยั่วยุ หลังจากจากที่เขากล่าวเช่นนั้น ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ระเบิดเสียงหัวเราะออก
“หากท่านไม่มีความกล้าเช่นนี้ ก็จงกลับไปยังที่ที่ท่านจากมาเสีย มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกสังหารในงานประลองประจำเมือง”
“ถูกต้อง พวกเขาไม่มีความกล้าในเรื่องนั้น แล้วพวกเขาจะเอาชนะอัจฉริยะจากเมืองอื่นได้เช่นไร? โปรดกลับไปเสียเถิด อย่าสร้างความอับอายให้แก่ตนเองเลย”
“เหอะ เหอะ บางทีพวกเขาทั้งหมดอาจกำลังซ่อนความแข็งแกร่งไว้ และไม่ต้องการเสียเวลากับเรา”
“นั่นสิ หยุดเรียกพวกเขาว่าคนขลาดเถิด พวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะจากเมืองอู่ จะเป็นเช่นไรหากพวกเขาโกรธ และบันดาลโทสะใส่พวกเรา?”
ศิษย์ของสถาบันประตูธงเย้ยหยัน
เมื่อมองไปยังท่าทีเย้ยหยันนั่น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะยั่วยุศิษย์ของตำหนักยุทธ์ให้ต่อสู้ด้วย เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์เริ่มโกรธมากขึ้นจนร่างกายสั่นคลอน
“บ้าฉิบ! ท่านรองเจ้าตำหนัก โปรดอนุญาตให้ข้าได้ประลองด้วย ข้าจะสอนบทเรียนแก่พวกมันเอง!”
“ในเมื่อพวกเขาเพียงพยายามยั่วยุเรา แล้วเราจะเกรงกลัวสิ่งใดกัน? เอาเลย! พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้หากเราสู้กัน!”
“ขอรับ! เราจะเหยียบย่ำสถาบันประตูธงราวกับขยะ!”
“แล้วเราจะจัดการพวกมันอย่างไรดี? เราจะได้สอนให้พวกมันได้รู้จักความแข็งแกร่งที่แท้จริง!”
เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์เองก็เป็นผู้เยาว์ที่เลือดร้อน เป็นธรรมดาที่ไม่อาจต้านทานต่อแรงยั่วยุ และเริ่มตะโกนออกไป เหล่าศิษย์ทั้งสองฝั่งเริ่มฉะริมฝีปากกัน
“หุบปาก!” ทันกวงหัวตะโกน
เสียงของเขาดังก้องกังวานไปทั่ว ทั้งศิษย์ของตำหนักยุทธ์เอง และศิษย์จากสถาบันประตูธงก็ได้ยินชัดเจน เขามองไปที่ลั่วหลิน และกล่าว “ลั่วหลิน นี่คือทัศนคติของสถาบันประตูธงหรือ?”
“เหอะ เหอะ พวกเขาเป็นเพียงผู้เยาว์เลือดร้อน ไม่ต้องไปสนใจหรอก พี่ทัน แต่ในเรื่องนั้น หากทางตำหนักยุทธ์กลัวที่จะแพ้ โปรดอย่าลืมข้อเสนอของข้าแล้วกัน” ลั่วหลินกล่าว เขาก้าวไปด้านหน้าด้วยการเดินถอยหลัง
ในสถานการณ์เช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากสำหรับทันกวงหัวที่จะไม่เห็นด้วยกับการท้าทายนั่น หากตำหนักยุทธ์หลีกหนีไป ทางตำหนักยุทธ์คงจะต้องเสียเกียรติอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดยอมรับได้แน่
“ตกลง แล้วข้อเสนอของเจ้าล่ะ? อย่าได้กล่าวว่าจะให้ศิษย์ทั้งหมดต่อสู้กันเพื่อหาผู้ชนะ หากทำเช่นนั้น ข้าเกรงว่าจะไม่เหลือศิษย์ให้เข้าร่วมการประลองประจำเมืองแน่” ทันกวงหัวกล่าว
“แน่นอน เราจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป กลุ่มของท่านก็เช่นกัน ผู้ชนะจะได้เป็นผู้ในระหว่างกลุ่มพันธมิตรของเรา ท่านเห็นควรเช่นไร?” ลั่วหลินเสนอ
“ไม่ ข้าไม่ยอมรับ” ผู้อาวุโสที่หนึ่ง เจี้ยฉือ ปฏิเสธก่อนที่ทันกวงหัวจะทันได้กล่าวสิ่งใด
“เหตุใดจึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้?” ลั่วหลินถาม
“ความแข็งแกร่งของบุคคลหนึ่งไม่ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งของทั้งกลุ่ม เพราะฉะนั้น เราจะต้องสู้กันสามยก ฝั่งที่ได้รับชัยชนะสองครั้งจะถือเป็นผู้ชนะ” เจี้ยฉือกล่าว
“ได้ ข้าเห็นด้วย” ทันกวงหัวกล่าว นี่จะเป็นวิธีเลือกผู้นำที่ยุติธรรมกว่า ด้วยวิธีนี้ ทางตำหนักยุทธ์จะสามารถหลักเลี่ยงการถูกอีกฝ่ายหลอกลวงได้
ลั่วหลินลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวยอมรับ “แน่นอน สามยกนะ ผู้แจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ชนะ!” เขาตะโกน “ฟางฉิงเอ๋อ หลินหยวน เหลียวห่าว ก้าวออกมา”
ด้วยคำสั่งนั่น เด็กสาวหนึ่งคน และเด็กชายอีกสองคนได้ก้าวออกมาด้ายหน้า เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงาม และเสน่อันเหลือล้น นางดูราวกับนกยูงที่ส่องประกายในเงามืดของสตรีทั้งหมด ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่นาง
นางคือฟางฉิงเอ๋อ อายุสิบแปดปี และยังเป็นศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสถาบันประตูธง เหมือนกับกงฉินหยิน นางเองก็เป็นผู้มีห้าดวงดาวสถิต ขณะที่นางมีอายุมากกว่ากงฉินหยินสองปี ระดับยุทธ์จึงสูงกว่ากงฉินหยินอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่านางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพ อัจฉริยะที่สถาบันประตูธงเก็บซ่อนไว้ตลอดสามปี นอกจากนี้นางยังเป็นเหตุผลให้ลั่วหลินยื่นข้อเสนอเช่นนี้แก่ตำหนักยุทธ์
สำหรับฟางฉิงเอ๋อ พวกเขามั่นใจมากว่าจะสามารถเข้าไปเป็นสิบอันดับแรกได้ในครั้งนี้ และอีกสองคน หลินหยาน และเหลียวห่าวเองก็ดูแข็งแกร่งมากเช่นกัน พวกเขาต่างก็เป็นอัจฉริยะของสำนักปประตูธงเช่นกัน ทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาราวกับวีรบุรุษ และล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเก้า ทั้งยังเป็นศิษย์ที่น่าเชื่อถือในสถาบันของตน
“ระดับแปรสภาพหรือ! เด็กสาวนั่นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพงั้นรึ!” เจี้ยฉือกล่าวเสียงดัง
“ใช่ ข้ารู้ ดูเหมือนเราจะติดกับเสียแล้ว เราควรทำในสิ่งที่สามารถทำได้ให้ดีที่สุด มิเช่นนั้น เราคงไม่มีโอกาสแล้ว” ทันกวงหัวกล่าวขณะขมวดคิ้ว
“โม่ซู ลู่หยานเฉา และเฉินฉิน ก้าวออกมา” ทันกวงหัวกล่าว
ศิษย์ของตำหนักยุทธ์ทั้งสามก้าวออกมา โม่ซูเป็นศิษย์ที่ทันกวงหัวภาคภูมิใจ และเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเก้า และเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุระดับแปรสภาพ และยังมีใบหน้าอันหล่อเหลา เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวสง่างาม และยังเป็นเด็กหนุ่มที่มากด้วยเสน่ห์ต่อเด็กสาวมากมายในตำหนักยุทธ์
ขณะที่ลู่หยานเฉา เขาเป็นศิษย์ที่ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จักนัก เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของท่านรองเจ้าตำหนักฉิงสิวเหอ และยังบรรลุระดับดวงดาวขั้นเก้า แม้จะหาตัวเขาได้ยากในตำหนักยุทธ์ด้วยใช้เวลามากในฝึกฝนยุทธ์อย่างโดดเดี่ยว และคนสุดท้ายคือเฉินฉินซึ่งเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสที่สิบเอ็ด ‘เหอหยิงฮวา’ นางมีหน้าตาที่สะสวยเทียบเคียงกันกับ ‘ฟางฉิงเอ๋อ’ ของฝั่งสถาบันประตูธงเลยทีเดียว
“ทุกคนมาตรงนี้ เจ้าต้องการเริ่มเลยไหม หรือเจ้ามีสิ่งใดในใจอีก?” ทันกวงหัวกล่าว
“การประลองส่วนปกติมันน่าเบื่อ เหตุใดจึงไม่เพิ่มความยากขึ้นไปอีกเล่า? โยนไม้กระดานลงแม่น้ำแล้วให้พวกเขาประลองกันบนไม้กระดานเหล่านั้น” ลั่วหลินเสนอ
ต้องยอมรับว่าการต่อสู้กันในสภาพเช่นนั้นยากลำบากมาก เมื่อเหล่าศิษย์ชายได้ยินเช่นนั้น การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ด้วยการต่อสู้บนไม่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ด้วยจะต้องควบคุมทั้งความแข็งแกร่ง ในขณะที่จดจ่อกับการทรงตัวไปพร้อมกัน
“ตกลง” ทันกวงหัวยอมรับ มันยากจะก้าวถอยหลังไปเสียแล้ว พวกเขาทั้งสองเริ่มโยนไม้กระดานลงในแม่น้ำ
เหลียวห่าวกระโดดลงไปยังไม้กระดานก่อนจะตะโกน “ ข้า เหลียวห่าว จะเป็นคนแรก ใครในตำหนักยุทธ์จะลงมาเผชิญหน้ากับข้า”
“ข้าจะไปคนแรก” เฉินฉินทราบดีว่านางอ่อนแอที่สุด ดังนั้น นางจึงเสนอตัวออกไปสู้คนแรก
แต่ก่อนที่จะได้ทันไป เจี้ยฉือกล่าว “เราไม่อาจพ่ายแพ้ในยกนี้ได้ ลู่ยานเฉา เจ้าไปก่อน”
“ขอรับ ผู้อาวุโสที่หนึ่ง” ลู่หยานเฉากำหมัดแน่น ก่อนจะกระโดดลงไปยังไม้กระดานเบื้องล่าง
เมื่อศิษย์จากตำหนักยุทธ์ได้เห็นลู่หยานเฉาลงไปที่ไม้กระดานอย่างมั่นคง พวกเขาต่างตะโกน “สุดยอด!”
“จดจำไว้ นี่เป็นการประลองเชื่อมสัมพันธ์ จงหยุดเมื่อผู้ตัดสินผู้ชนะแล้ว เอาล่ะ เริ่มได้!” ลั่วหลินประกาศ