ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 111 : ท้าประลอง

“ท่านไม่เกรงกลัวเลยหรือ? คงน่าเสียดายหากเป็นเช่นนั้น” ลั่วหลินกล่าวยั่วยุ หลังจากจากที่เขากล่าวเช่นนั้น ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ระเบิดเสียงหัวเราะออก

“หากท่านไม่มีความกล้าเช่นนี้ ก็จงกลับไปยังที่ที่ท่านจากมาเสีย มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกสังหารในงานประลองประจำเมือง”

“ถูกต้อง พวกเขาไม่มีความกล้าในเรื่องนั้น แล้วพวกเขาจะเอาชนะอัจฉริยะจากเมืองอื่นได้เช่นไร? โปรดกลับไปเสียเถิด อย่าสร้างความอับอายให้แก่ตนเองเลย”

“เหอะ เหอะ บางทีพวกเขาทั้งหมดอาจกำลังซ่อนความแข็งแกร่งไว้ และไม่ต้องการเสียเวลากับเรา”

“นั่นสิ หยุดเรียกพวกเขาว่าคนขลาดเถิด พวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะจากเมืองอู่ จะเป็นเช่นไรหากพวกเขาโกรธ และบันดาลโทสะใส่พวกเรา?”

ศิษย์ของสถาบันประตูธงเย้ยหยัน

เมื่อมองไปยังท่าทีเย้ยหยันนั่น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะยั่วยุศิษย์ของตำหนักยุทธ์ให้ต่อสู้ด้วย เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์เริ่มโกรธมากขึ้นจนร่างกายสั่นคลอน

“บ้าฉิบ! ท่านรองเจ้าตำหนัก โปรดอนุญาตให้ข้าได้ประลองด้วย ข้าจะสอนบทเรียนแก่พวกมันเอง!”

“ในเมื่อพวกเขาเพียงพยายามยั่วยุเรา แล้วเราจะเกรงกลัวสิ่งใดกัน? เอาเลย! พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้หากเราสู้กัน!”

“ขอรับ! เราจะเหยียบย่ำสถาบันประตูธงราวกับขยะ!”

“แล้วเราจะจัดการพวกมันอย่างไรดี? เราจะได้สอนให้พวกมันได้รู้จักความแข็งแกร่งที่แท้จริง!”

เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์เองก็เป็นผู้เยาว์ที่เลือดร้อน เป็นธรรมดาที่ไม่อาจต้านทานต่อแรงยั่วยุ และเริ่มตะโกนออกไป เหล่าศิษย์ทั้งสองฝั่งเริ่มฉะริมฝีปากกัน

“หุบปาก!” ทันกวงหัวตะโกน

เสียงของเขาดังก้องกังวานไปทั่ว ทั้งศิษย์ของตำหนักยุทธ์เอง และศิษย์จากสถาบันประตูธงก็ได้ยินชัดเจน เขามองไปที่ลั่วหลิน และกล่าว “ลั่วหลิน นี่คือทัศนคติของสถาบันประตูธงหรือ?”

“เหอะ เหอะ พวกเขาเป็นเพียงผู้เยาว์เลือดร้อน ไม่ต้องไปสนใจหรอก พี่ทัน แต่ในเรื่องนั้น หากทางตำหนักยุทธ์กลัวที่จะแพ้ โปรดอย่าลืมข้อเสนอของข้าแล้วกัน” ลั่วหลินกล่าว เขาก้าวไปด้านหน้าด้วยการเดินถอยหลัง

ในสถานการณ์เช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากสำหรับทันกวงหัวที่จะไม่เห็นด้วยกับการท้าทายนั่น หากตำหนักยุทธ์หลีกหนีไป ทางตำหนักยุทธ์คงจะต้องเสียเกียรติอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดยอมรับได้แน่

“ตกลง แล้วข้อเสนอของเจ้าล่ะ? อย่าได้กล่าวว่าจะให้ศิษย์ทั้งหมดต่อสู้กันเพื่อหาผู้ชนะ หากทำเช่นนั้น ข้าเกรงว่าจะไม่เหลือศิษย์ให้เข้าร่วมการประลองประจำเมืองแน่” ทันกวงหัวกล่าว

“แน่นอน เราจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป กลุ่มของท่านก็เช่นกัน ผู้ชนะจะได้เป็นผู้ในระหว่างกลุ่มพันธมิตรของเรา ท่านเห็นควรเช่นไร?” ลั่วหลินเสนอ

“ไม่ ข้าไม่ยอมรับ” ผู้อาวุโสที่หนึ่ง เจี้ยฉือ ปฏิเสธก่อนที่ทันกวงหัวจะทันได้กล่าวสิ่งใด

“เหตุใดจึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้?” ลั่วหลินถาม

“ความแข็งแกร่งของบุคคลหนึ่งไม่ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งของทั้งกลุ่ม เพราะฉะนั้น เราจะต้องสู้กันสามยก ฝั่งที่ได้รับชัยชนะสองครั้งจะถือเป็นผู้ชนะ” เจี้ยฉือกล่าว

“ได้ ข้าเห็นด้วย” ทันกวงหัวกล่าว นี่จะเป็นวิธีเลือกผู้นำที่ยุติธรรมกว่า ด้วยวิธีนี้ ทางตำหนักยุทธ์จะสามารถหลักเลี่ยงการถูกอีกฝ่ายหลอกลวงได้

ลั่วหลินลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวยอมรับ “แน่นอน สามยกนะ ผู้แจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ชนะ!” เขาตะโกน “ฟางฉิงเอ๋อ หลินหยวน เหลียวห่าว ก้าวออกมา”

ด้วยคำสั่งนั่น เด็กสาวหนึ่งคน และเด็กชายอีกสองคนได้ก้าวออกมาด้ายหน้า เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงาม และเสน่อันเหลือล้น นางดูราวกับนกยูงที่ส่องประกายในเงามืดของสตรีทั้งหมด ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่นาง

นางคือฟางฉิงเอ๋อ อายุสิบแปดปี และยังเป็นศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสถาบันประตูธง เหมือนกับกงฉินหยิน นางเองก็เป็นผู้มีห้าดวงดาวสถิต ขณะที่นางมีอายุมากกว่ากงฉินหยินสองปี ระดับยุทธ์จึงสูงกว่ากงฉินหยินอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่านางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพ อัจฉริยะที่สถาบันประตูธงเก็บซ่อนไว้ตลอดสามปี นอกจากนี้นางยังเป็นเหตุผลให้ลั่วหลินยื่นข้อเสนอเช่นนี้แก่ตำหนักยุทธ์

สำหรับฟางฉิงเอ๋อ พวกเขามั่นใจมากว่าจะสามารถเข้าไปเป็นสิบอันดับแรกได้ในครั้งนี้ และอีกสองคน หลินหยาน และเหลียวห่าวเองก็ดูแข็งแกร่งมากเช่นกัน พวกเขาต่างก็เป็นอัจฉริยะของสำนักปประตูธงเช่นกัน ทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาราวกับวีรบุรุษ และล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเก้า ทั้งยังเป็นศิษย์ที่น่าเชื่อถือในสถาบันของตน

“ระดับแปรสภาพหรือ! เด็กสาวนั่นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพงั้นรึ!” เจี้ยฉือกล่าวเสียงดัง

“ใช่ ข้ารู้ ดูเหมือนเราจะติดกับเสียแล้ว เราควรทำในสิ่งที่สามารถทำได้ให้ดีที่สุด มิเช่นนั้น เราคงไม่มีโอกาสแล้ว” ทันกวงหัวกล่าวขณะขมวดคิ้ว

“โม่ซู ลู่หยานเฉา และเฉินฉิน ก้าวออกมา” ทันกวงหัวกล่าว

ศิษย์ของตำหนักยุทธ์ทั้งสามก้าวออกมา โม่ซูเป็นศิษย์ที่ทันกวงหัวภาคภูมิใจ และเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเก้า และเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุระดับแปรสภาพ และยังมีใบหน้าอันหล่อเหลา เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวสง่างาม และยังเป็นเด็กหนุ่มที่มากด้วยเสน่ห์ต่อเด็กสาวมากมายในตำหนักยุทธ์

ขณะที่ลู่หยานเฉา เขาเป็นศิษย์ที่ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จักนัก เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของท่านรองเจ้าตำหนักฉิงสิวเหอ และยังบรรลุระดับดวงดาวขั้นเก้า แม้จะหาตัวเขาได้ยากในตำหนักยุทธ์ด้วยใช้เวลามากในฝึกฝนยุทธ์อย่างโดดเดี่ยว และคนสุดท้ายคือเฉินฉินซึ่งเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสที่สิบเอ็ด ‘เหอหยิงฮวา’ นางมีหน้าตาที่สะสวยเทียบเคียงกันกับ ‘ฟางฉิงเอ๋อ’ ของฝั่งสถาบันประตูธงเลยทีเดียว

“ทุกคนมาตรงนี้ เจ้าต้องการเริ่มเลยไหม หรือเจ้ามีสิ่งใดในใจอีก?” ทันกวงหัวกล่าว

“การประลองส่วนปกติมันน่าเบื่อ เหตุใดจึงไม่เพิ่มความยากขึ้นไปอีกเล่า? โยนไม้กระดานลงแม่น้ำแล้วให้พวกเขาประลองกันบนไม้กระดานเหล่านั้น” ลั่วหลินเสนอ

ต้องยอมรับว่าการต่อสู้กันในสภาพเช่นนั้นยากลำบากมาก เมื่อเหล่าศิษย์ชายได้ยินเช่นนั้น การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ด้วยการต่อสู้บนไม่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย  ด้วยจะต้องควบคุมทั้งความแข็งแกร่ง ในขณะที่จดจ่อกับการทรงตัวไปพร้อมกัน

“ตกลง” ทันกวงหัวยอมรับ มันยากจะก้าวถอยหลังไปเสียแล้ว พวกเขาทั้งสองเริ่มโยนไม้กระดานลงในแม่น้ำ

เหลียวห่าวกระโดดลงไปยังไม้กระดานก่อนจะตะโกน “ ข้า เหลียวห่าว จะเป็นคนแรก ใครในตำหนักยุทธ์จะลงมาเผชิญหน้ากับข้า”

“ข้าจะไปคนแรก” เฉินฉินทราบดีว่านางอ่อนแอที่สุด ดังนั้น นางจึงเสนอตัวออกไปสู้คนแรก

แต่ก่อนที่จะได้ทันไป เจี้ยฉือกล่าว “เราไม่อาจพ่ายแพ้ในยกนี้ได้ ลู่ยานเฉา เจ้าไปก่อน”

“ขอรับ ผู้อาวุโสที่หนึ่ง” ลู่หยานเฉากำหมัดแน่น ก่อนจะกระโดดลงไปยังไม้กระดานเบื้องล่าง

เมื่อศิษย์จากตำหนักยุทธ์ได้เห็นลู่หยานเฉาลงไปที่ไม้กระดานอย่างมั่นคง พวกเขาต่างตะโกน “สุดยอด!”

“จดจำไว้ นี่เป็นการประลองเชื่อมสัมพันธ์ จงหยุดเมื่อผู้ตัดสินผู้ชนะแล้ว เอาล่ะ เริ่มได้!” ลั่วหลินประกาศ

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset