กว่าร้อยเมืองเป็นอาณานิคมของนครขอบนภา มีสิบเมืองที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น ด้วยพวกเขาเป็นสิบอันดับแรกในการประลองประจําเมืองครั้งก่อน เรียงตามลําดับเริ่มจากพลับพลาเมฆหมอกมังกรจากเมืองเมฆหมอกมังกร ตําหนักพยัคฆ์เมฆาจากเมืองพยัคฆ์เมฆา สถาบันวายุศักดิ์สิทธิ์จากเมืองน้ําวน พลับพลาหาญกล้าจากเมืองหาญกล้า สถาบันทุ่งราบสีครามจากเมืองอสรพิษสีคราม หอหยกวารีจากเมืองหยกวารี นิกายหุบเขาทมิฬจากเมืองหุบเขาทมิฬ สถาบันบ้านเหลืองจากเมืองบ้านเหลือง หอคุณธรรมจากเมืองคุณธรรม และสถาบันภูเขาหยกจากเมืองภูเขาหยก
ทั้งสิบสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดในนครขอบนภา และพวกเขาส่วนใหญ่จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชาอยู่ในสถาบัน
และด้วยเหตุผลนั้น เหล่าศิษย์จากสถาบันเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าสถาบันอื่น ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับพวกเขาที่จะเข้าเป็นสิบอันดับแรกในการประลองประจําเมือง
หลังจากความขัดแย้งระหว่างตําหนักยุทธ์ และสถาบันประตูธง พวกเขาจึงแยกตัวกันแทนที่จะร่วมมือกันเฉกเช่นที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้า เหล่าศิษย์ผู้เยาว์ตื่นเต้นมาก และคอยมองไปรอบข้าง หลังจากลงจากเรือ และพยายามค้นหาว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบไหน
“ลูกพี่ คนเต็มไปหมดเลย! ยังมีสาวงามมากมายอีกด้วย!” เซี่ยหลิวฮฺยมองไปรอบด้าน และร้องเสียงดังเมื่อมองเห็นสาวงามทั่วทุกหนแห่ง
“หยุดทําตัวเองขายหน้าได้แล้ว” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยคําดูถูก
“เซียหลิวฮุย อย่าชักนําเส้าหยุนสิ เขาไม่ใช่คนผิดเช่นเจ้า” ลู่เสี่ยวฉิงกล่าว
นับตั้งแต่เซี่ยงเส้าหยุนเผยความแข็งแกร่งออกมา ลู่เสี่ยวฉิงจึงเกาะติดกับเขาตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะมีหญิงอื่นเข้ามาใกล้ มีบางครั้งที่กงฉินหยินต้องการจะพูดคุยกับเซี่ยงเส้าหยุน แต่เมื่อมองเห็นลู่เสี่ยวฉิงอยู่ข้างกายเขา นางจึงตัดสินใจเพิกเฉย
“ขอรับ พี่สะใภ้ ลูกพี่เป็นสุภาพบุรุษ มันเป็นความผิดของข้าเอง” เซี่ยหลิวฮุยกล่าว และตบหน้าตนเองอย่างรวดเร็ว
ภายในเขากําลังคิดอะไรบางอย่างที่ต่างออกไปจากเดิม แม้ว่าลูกพี่ลูกพี่จะเป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเป็นสุภาพบุรุษ
ตําหนักยุทธ์ได้เลือกจุดว่างเพื่อตั้งค่ายชั่วคราว เมื่อพวกเขามาถึง ทันกวงหัวกล่าว “การแข่งขันจะเริ่มในอีกสามวัน โปรดอยู่ในบริเวณนี้ และจําไว้ว่าอย่าได้ สร้างปัญหา”
จากนั้นเขากล่าวกับเหล่าศิษย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในหุบเขาแม่นาทองคํา และบอกกฎการแข่งขันข้อระหว่างการเดินทาง แต่ครั้งนี้ต้องการเตือนสติเหล่าศิษย์ นอกจากนี้เขากล่าวกับโม่ซูอย่างชัดเจนให้เป็นผู้นาของพวกเขาระหว่างการแข่งขัน เหล่าศิษย์จํานวนมากไม่พอใจเมื่อพบว่าทันกวงหัวกําลังลําเอียง
โม่ซูเป็นผู้ได้รับเกียรติ เขาก้าวออกมาด้านหน้า และถาม “ท่านรองเจ้าตําหนัก นี่เหมาะสมแล้วหรือ
เพื่อให้ทุกอย่างชัดเจน เขามองไปที่เซี่ยงเส้าหยุน
“ฮ่า ฮ่า ข้าดีใจที่เจ้ากล่าวเช่นนั้น ไม่ต้องกังวล ข้าได้เตรียมการ สิ่งที่ต่างออกไปสําหรับเซี่ยงเส้าหยุน เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว” ทันกวงหัวกล่าวขณะยิ้ม
หลังจากทุกคนแยกย้าย ทันกวงหัวมองไปที่เซี่ยงเส้าหยุน และถาม “เจ้าต้องการแบ่งปันความคิดกับเราไหม?”
เซี่ยงเส้าหยุนยิ้ม และตอบกลับ “ข้าเข้าใจท่านรองเจ้าตําหนักทําเพื่อประโยชน์ของเรา”
“หืม? กล่าวมาสิ” ทันกวงหัวกล่าว ความสนใจเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด เขาเคยได้ ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ และเขาเชื่อมาตลอดว่าข่าวลือนั้นเกินจริง และไม่เคยคิดมากเรื่องนี้ แต่สถานการณ์ที่ทํากับสถาบันประตูธง เขาจ้องมองไปที่เซี่ยงเส้าหยุนราวในมุมมองใหมา
“ท่านต้องการให้ข้าเป็นม้ามืด ใช่ไหม?” เซี่ยงเส้าหยุนถามอย่างตรงไปตรงมา
“ดูเหมือนความสําเร็จของเจ้าไม่ได้เกิดจากโชคช่วย เจ้าช่างมีความคิดที่ เฉียบแหลมนัก” ทันกวงหัวพยักหน้าชื่นชม ก่อนจะกล่าวเสริม “เอาล่ะ เจ้าจะเป็นสุดยอดม้ามืดของเรา ข้าต้องการให้เจ้าช่วยตําหนักยุทธ์ขึ้นเป็น สิบอันดับแรก เจ้าสะดวกใจจะทําไหม?”
“ฮ่า ฮ่า ข้าจะทําให้ดีที่สุด” เซี่ยงเส้าหยุนไม่ต้องการสัญญาใด เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใด
“เจ้าช่างเจ้าเล่ห์นัก เจ้ารู้ใช่ไหม? หากเจ้าสามารถขึ้นไปเป็นสิบอันดับแรกได้ เจ้าจะได้รับรางวัลจากนครขอบนภา รางวัลมากมายที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุระ ดับแปรสภาพได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ มากกว่าหนึ่งคน และศิษย์คนอื่นต่างพยายามอย่างหนัก อาจจะทําให้ตําหนักยุทธ์ของเราติดสิบอันดับโดยรวมได้เช่นกัน” ทันกวงหัวกล่าว
“อืม ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด” เซี่ยงเส้าหยุนยังไม่ขยับไปไหน
เมื่อเห็นพฤติกรรมของเซี่ยงเส้าหยุน ทันกวงหัวจึงใช้ไพ่ตายของตนเอง “หากเจ้าสามารถขึ้นไปถึงสิบอันดับแรก ข้าจะมอบรางวัลเป็นวิชายุทธ์ระดับสี่! และมันเป็นถึงวิชาระดับราชาที่แท้จริง!”
ข้อเสนอที่น่าดึงดูดนี่ เพียงพอที่จะทําให้ศิษย์จํานวนมากต้องคลั่ง แต่สําหรับเซี่ยงเส้าหยุน วิชาระดับราชาไม่ได้ต่างไปจากพืชผักทั่วไปเลย เขาจะต้องการรางวัลเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?
“เอาล่ะ เกี่ยวกับเรื่องนั้น? หากข้าสามารถขึ้นไปถึงสิบอันดับแรกได้ ข้าขอหนึ่งร้อยผลึกวิญญาณชั้นกลางคแค่นั้น” เซี่ยงเส้าหยุนไม่ได้ต้องการเจรจามากนัก เขาจึงขอแบบสุ่ม ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตําหนักยุทธ์ แค่เหตุผลข้อนี้ก็เพียงพอที่เขาจะต่อสู้เพื่อชัยชนะแล้ว ไม่ว่าในกรณีใด เขาไม่กังวลว่าตนเอาจะถูกเปิดโปงในการแข่งขันที่เมืองเล็กเช่นนี้
และที่สําคัญกว่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ห่างไกล และยังเป็นดินแดนฝ่ายตรงข้ามกับศัตรูของเขา ดังนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกนั้นจะพบกับเขาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่เขามั่นใจจะเก็บซ่อนตัวตนเอาไว้
“ผลึกวิญญาณระดับกลางหนึ่งร้อยชิ้นหรือ? นั่นไม่ใช่สิ่งง่ายเลยนะ หากเป็นหนึ่งพันผลึกวิญญาณระดับต่ําคงไม่เป็นปัญหา เอาล่ะข้ายอมรับ” ทันกวงหัวกล่าว เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริม “หุบเขาแม่น้ำทองคําเคยเป็นองค์กรที่ติดกับนครขอบนภา แม้มันจะถูกทําลายไปหลายปีก่อน แต่ก็ยังมีโอกาสบางอย่างรอเจ้าอยู่ในนั้น จงมองหาโอกาสให้ดี”
ในขณะเดียวกัน ลั่วหลิน และผู้อาวุโสของสถาบันประตูธงสองสามคนกําลังประชุมกัน
“พวกเจ้ามีทางสังหารเด็กนั่นไหม?” ลั่วหลินถาม คนอื่นอาจะไม่ทราบว่า “เด็กนั่น” เขากล่าวถึงใคร แต่ทุกคนที่นี่ต่างรู้ชัดเจน
หนึ่งในนั้นตอบ “เจ้าเด็กนั่นเป็นถึงสมบัติของตําหนักยุทธ์ หากเราสัมผัสเขา ข้าเกรงว่าจะเกิดสงครามระหว่างเรา”
“ข้าไม่ได้กล่าวว่าเราจะสังหารเขา ขากล่าวว่าหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หากเราปล่อยให้เด็กนั้นเติบโต สถาบันประตูธงของเราจะไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ตลอดไป” ลั่วหลินกล่าว
“ท่านรองอาจารย์ใหญ่ เพื่อนเก่าของข้าเป็นผู้อาวุโสของนิกายหุบเขาทมิฬ เขาอยู่ที่นี่เช่นกัน ข้าจะให้เขากล่าวกับศิษย์ให้ใส่ใจตําหนักยุทธ์เป็นพิเศษ ข้าสงสัยว่าพวกเขาคิดจะให้ความช่วยเหลือกับเรื่องนี้ไหม” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว
“แน่นอน นั่นเป็นความคิดที่ดี นิกายหุบเขาทมิฬเป็นสถาบันหนึ่งในสิบอันดับแรก ศิษย์ของพวกเขาน่าจะเพียงพอที่จะสังหารเด็กนั้น” ลั่วหลินกล่าวอย่างสุขใจ และเขากล่าวเสริม “เตือนศิษย์ของเราให้ช่วยศิษย์ของนิกายหุบเขาทมิฬด้วย เราอาจสังหารศิษย์ของตําหนักยุทธ์ทั้งหมดที่หุบเขาแม่นาสีทองแห่งนี้หากจําเป็น”