ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 24 : ก้าวข้ามขีดจำกัด!

ณ หอคอยแห่งขีดจำกัด ห้องที่สอง

ก้อนหินจำนวนมากยังคงบินไปมาไม่จบสิ้น หากผู้ใดก้าวเท้าเข้ามายังห้องก็จะตกเป็นเป้าของก้อนหินเหล่านั้นทันที และที่สำคัญหินแต่ละก้อนนั้นหนักถึงห้าร้อยกิโลกรัม ไม่ใช่น้ำหนักที่ผู้ฝึกฝนระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะสามารถยืนหยัดได้เลย

ผู้ใดสามารถอดทนจนวินาทีสุดท้ายได้จะต้องไม่ธรรมดา นับตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักยุทธ์ มีผู้คนเพียงหยิบมือที่สามารถทนอยู่ในห้องที่สองได้ถึงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ตามบรรดาผู้ที่สามารถเอาชนะมันได้นั้น ท้ายที่สุดได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงของนครขอบนภา และมีผู้คนอีกเพียงน้อยนิดที่จะต้องตายก่อนวัยอันควร

นี่เป็นเหตุผลที่จะต้องแจกแผ่นหยกสำหรับผู้ที่สามารถผ่านหอคอยแห่งขีดจำกัดได้เพื่อเป็นแรงจูงใจ ตรรกะเช่นนี้คือสิ่งที่ตำหนักยุทธ์ใช้เพื่อบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ หากเหล่าศิษย์แข็งแกร่งมากขึ้นนั่นหมายความว่าพวกเขานั้นมีรากฐานที่มั่นคง สิ่งนี้จะทำให้ตำหนักยุทธ์ได้รับประโยชน์สูงสุด

สำหรับผู้ที่ใช้เวลานานเกินกว่าหนึ่งชั่วโมง จนถึงขณะนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำสำเร็จ เซี่ยงเส้าหยุนนั้นได้ผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้ว และตอนนี้เขากำลังทำลายสถิติที่เคยมีมาของห้องที่สองนี้

โครม โครม!

หมัดของเซี่ยงเส้าหยุนเต็มไปด้วยเลือดและร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แม้ว่าจะบาดเจ็บอย่างหนักแต่ลมหายใจมิได้อ่อนลงเลย แต่กลับแข็งแกร่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ มีเศษหินมากมายกองอยู่ใกล้ตัวเขา ทั้งหมดนั่นถูกทำลายด้วยหมัดเดียว

หมัดพลังปราณ!

ฝ่ามือแยกเมฆา!

ท่าทั้งสองเป็นเพียงวรยุทธ์ขั้นที่หนึ่งแต่ตัวเขาสามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้ทำลายหินลงทีละก้อน กระนั้นเซี่ยงเส้าหยุนจะต้องแลกกับบากแผลฉกรรจ์บริเวณหลังด้านซ้ายที่เนื้อเริ่มปริออก

“คงทนนานกว่านี้ไม่ได้แน่! ต้องใช้อาวุธแล้ว!” เซี่ยงเส้าหยุนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดก็คว้ากระบี่ตัดหินผาออกมา

วิชาผ่าทลายภูผา!

เมื่อฟาดฟันกระบี่ลง เกิดแสงงดงามราวกับสายรุ้ง ขณะเดียวกันก้อนหินก็ถูกทำลายเช่นกัน เซี่ยงเส้าหยุนทะยานไปมาราวกับผีเสื้อและหลบก้อนหินสองก้อนพร้อมกันก่อนจะฟันสองครั้งไปยังก้อนหินทั้งสอง แม้ว่าการฟันแต่ละครั้งจะเชื่องช้า แต่ความแข็งแกร่งนั้นมีมากกว่าห้าร้อยกิโลกรัม ทำให้ก้อนหินทั้งสองแตกเป็นเสี่ยง

‘จุดเด่นของวิชาผ่าทลายภูผานั้นคือน้ำหนักที่หนักอึ้ง ทุกการฟันหนึ่งครั้งจึงก่อให้เกิดความรุนแรงมหาศาล หมายถึง คิดใช้วิชาต้องลงมือให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นรวบรวมพลังมาเสียเปล่า’ เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตนเองเงียบ ๆ

เซี่ยงเส้าหยุนเข้าใจจุดเด่นของกระบี่ตัดหินผาเป็นอย่างดีจึงทำให้ฟันไม่พลาดแม้สักครั้ง การกวัดแกว่งกระบี่อย่างชำนาญมากขึ้นในแต่ละวินาทีที่ผ่าน และเพราะมีหินมากมายแตกสลายทำให้ความกดดันลดลงเช่นกัน ตราบใดที่ความแข็งแกร่งยังคงอยู่นานขึ้นเพียงสักนิด เขายังคงทำลายหินทีละก้อนภายในห้องที่สอง แต่โชคไม่ดีนักเพราะพลังงานของเขาเหลือน้อยลงไปทุกที

หากยังคงยึดมั่นต่อไป เขาจะต้องเสียมากกว่าได้อย่างแน่นอน ด้วยไม่อยากฝืนตัว เซี่ยงเส้าหยุนถอยฝีเท้าขณะเหลือก้อนหินเพียงจำนวนหนึ่ง เช่นนี้เขาจึงผ่านห้องที่สองไปได้

“เขาออกมาแล้ว! ในที่สุดลูกพี่ก็ออกมาแล้ว!” เซี่ยหลิวฮุยร้องออกมาคนแรกด้วยความยินดี

โม่ปูหุย เหม่ยเหลียนฮวาและลู่เสี่ยวฉิงได้หันไปยังตำแหน่งของห้องที่สองในทันที พวกเขาเห็นเซี่ยงเส้าหยุนกำลังย่ำเดินทีละก้าว ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย

เมื่อเห็นชายตรงหน้าบาดเจ็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลู่เสี่ยวฉิงกระพริบตาชั่วขณะหัวใจเต้นรัวขึ้นในทันใด เหม่ยเหลียนฮวารู้สึกประหลาดใจมากและก็รู้สึกชื่นชมในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าบาดแผลที่เต็มตัวทำให้เสน่ห์ของเซี่ยงเส้าหยุนเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

ผู้เยาว์ที่สามารถยืนหยัดในห้องที่สองได้มากกว่าหนึ่งชั่วโมงนั้น จะต้องเคียงคู่กับความกล้าหาญที่เหลือล้นและอนาคตอันไร้ขีดจำกัด จะมีสตรีใดมิหวั่นไหวบ้างเล่า? ชั่วขณะผู้ดูแลก้าวเข้ามาใกล้กับเซี่ยงเส้าหยุน ก่อนจะสะบัดยาหนึ่งเม็ดให้เขา “รับนี่ไปเสีย นี่คือยาฟื้นฟู เมื่อเจ้าหายดีแล้วเราค่อยมาว่ากันเรื่องสิ่งตอบแทน”

เซี่ยงเส้าหยุนมิได้ลังเลกลืนเม็ดยาทันที เมื่อเม็ดยาเข้าไปในปาก ประสิทธิภาพของมันก็แสดงขึ้นผ่านทางเส้นลมปราณและเริ่มรักษาบาดแผลอย่างช้า ๆ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก

“ขอบคุณท่านมากขอรับ ท่านผู้ดูแล!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวขอบคุณกับผู้ดูแลอย่างมีชีวิตชีวา

“เหอะ เหอะ มิจำเป็นหรอก ข้าเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้เจ้าตั้งแต่แรกแล้ว การที่เจ้าสามารถทนอยู่ในห้องที่สองได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมงนั้นถือเป็นสถิติใหม่ของตำหนักยุทธ์เชียวนะ และเจ้าก็ยังเป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นเจ็ดเท่านั้น!” ท่านผู้ดูแลหัวเราะอย่างกระตือรือร้น

เซี่ยงเส้าหยุนขบฟันขณะกล่าว “ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น ท่านผู้ดูแลโปรดมอบแต้มให้ข้าได้หรือไม่? ข้าจะได้กลับไปพักฟื้นเร็ว ๆ มันเจ็บเหลือหลาย ไอ้ค่ายกลหินบ้านั่น ครั้งหน้าข้าจะต้องกลับมาชำระหนี้”

เมื่อได้เห็นสภาพเช่นนั้น ลู่เสี่ยวฉิงรู้สึกเจ็บปวดและกล่าว “นั่นสิ รีบกลับไปพักฟื้นก่อนเถอะ!”

“เส้าหยุน เจ้าจะให้ข้าไปส่งไหม?” เหม่ยเหลียนฮวากล่าวอย่างกล้าหาญ วิธีการพูดของนางเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า ที่เห็นได้ชัดกว่าคือเซี่ยหลิวฮุยและโม่ปูหุยที่ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกันอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของพวกเขาฉายแววที่ซับซ้อนรุนแรง

“ลูกพี่ ท่านไม่ได้กล่าวจะเลี้ยงพวกเราที่เหลาอาหารงั้นรึ?” เซี่ยหลิวฮุยถาม อย่างไรเสียความเห็นของเขานั้นผิดเวลานัก

“เจ้าไม่มีหัวจิตหัวใจเลยหรืออย่างไร? เซี่ยงเส้าหยุนบาดเจ็บอยู่นะ นี่เจ้ายังอยากให้เขาไปเหลาอาหารอีกงั้นรึ?” ลู่เสี่ยวฉิงลุกขึ้นและจ้องหน้าเซี่ยหลิวฮุย

“นั่นสิ เจ้านี้ช่างไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย” เหม่ยเหลียนฮวาไม่ช่วยแถมยังซ้ำเติม

เซี่ยงเส้าหยุนโบกมือและกล่าว “คุณชายผู้นี้ติดเลี้ยงอาหารพวกเจ้าในมื้อนี้ แต่ข้าเกรงว่าหากเราเข้าไปยามนี้ ลูกค้าคนอื่นจะต้องหวาดผวาเป็นแน่ ข้อขอสัญญาพวกเจ้าว่าจะพาไปเลี้ยงในอีกสองวันแน่นอน!” เขาหันไปยังผู้ดูแลเพื่อขอรับแต้ม

การแสดงออกที่พอใจฉาบขึ้นบนใบหน้า และท่านผู้ดูแลประกาศเสียงดัง “นับตั้งแต่เจ้าสามารถทำลายสถิติของหอคอยแห่งขีดจำกัดนี้ได้ เจ้าจะได้รับแต้มเป็นสองเท่าจากปกติ! สองพันแต้มล้วนเป็นของเจ้าแล้ว!”

ในกลุ่มประกอบด้วย โม่ปูหุย เซี่ยหลิวฮุย เหม่ยเหลียนฮวาและลู่เสี่ยวฉิงต่างรู้สึกทึ่งกับแต้มที่ได้รับ สำหรับสวนชั้นนอกสองพันแต้มนั้นถือว่ามากโข แม้แต่ศิษย์ชั้นในบางคนก็ไม่เคยได้รับแต้มเยอะขนาดนี้ในครั้งเดียว

การเอาชนะหอคอยแห่งขีดจำกัดนั้นเป็นวิธีหาแต้มที่รวดเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“สองพันแต้ม! นี่มันช่างคุ้มค่านัก!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะอย่างสุขใจก่อนจะโบกมือลากลุ่มคน มุ่งกลับไปยังที่พักจองตน แม้ว่าจะได้รับยาฟื้นฟู แต่เขาเสียเลือดมากเหลือเกินในห้องนั้น และอยู่ในสภาพที่เลวร้าย หากละเลยที่จะรักษาตนเองนานกว่านี้ อาจจะมีรอยแผลเป็นและความเจ็บปวดก็ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบยาวนานสำหรับการฝึกยุทธ์

สิ่งสำคัญที่สุดคือหลังประสบกับการต่อสู้ทั้งหมด พลังงานที่ซ่อนอยู่ภายในกายก็ทะลักออกมามากขึ้น เขาจะต้องรวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยไม่ให้เสียไปแม้เพียงน้อยนิด

เมื่อกลับมายังที่พัก เซี่ยงเส้าหยุนนั่งขัดสมาธิทันที และปล่อยให้ยาแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างตั้งแต่แขน ขา กระดูกไปจนถึงอวัยวะภายในและอวัยวะภายนอก หลังจากที่ยาแสดงประสิทธิภาพเสร็จสิ้นแล้วอาการบาดเจ็บก็สงบลงและทรงตัว จากผลลัพธ์ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ยาธรรมดาสามัญ อย่างน้อยยาเม็ดนี้จะต้องเป็นระดับสองไม่ก็ระดับสามอย่างแน่นอน ยาระดับหนึ่งจะไม่แสดงผลยอดเยี่ยมเช่นนี้

เซี่ยงเส้าหยุนนั่งทำสมาธิเงียบ ๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตำราราชันพิชิตสวรรค์ได้รวบรวมพลังแห่งดวงดาวภายในร่างกายอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เกิดคลื่นพลังอันบริสุทธิ์พุ่งเข้าสู่ท่ามกลางดวงดาวทั้งเก้า และถูกบีบออกจากร่างของเซี่ยงเส้าหยุน เก้าปีที่ใช้ยาขนานต่าง ๆ ได้แสดงผลลัพธ์ออกมา

หลังจากที่ครั้งนี้ฝืนใช้กำลังเกินตัว ไม่เพียงแต่กำลังเพิ่มขึ้นถึง จนถึงจุดสูงสุดของระดับพื้นฐานขั้นเจ็ดแล้ว ตอนนี้ร่างกายยังแข็งแกร่งราวกับอาวุธระดับหนึ่ง ทำให้อาวุธธรรมดาไม่สามารถสร้างบาดแผลได้โดยง่าย

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset