ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 29 : โชคช่วยในการหลบหนี!

ภายใต้การคุกคามจากหัวหน้ากลุ่มชายสวมหน้ากาก โม่ปูหุยและเหม่ยเหลียนฮวาไม่กล้าแม้จะกลับเข้าไปยังตำหนักยุทธ์ ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าหลบหนีไปยังเทือกเขาร้อยอสูรในทันที

“เจ้าก็ควรไปด้วย!” เซี่ยงเส้าหยุนเตือนกับลู่เสี่ยวฉิง

“ไม่! ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้า! ตอนที่เราก้าวออกมา เราสัญญากันแล้วว่าจะดูแลกันและกัน!” ลู่เสี่ยวฉิงยืนกรานอย่างดื้อรั้น

ความรู้สึกของลู่เสี่ยวฉิงเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะปกป้องเขา เซี่ยงเส้าหยุนรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ทว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการทำให้ตัวเขาหลบหนีไปได้ยาก

“เหอะ นี่มันความซื่อสัตย์อันใด! ใยเจ้าจึงไม่ไปกับเราเล่า?” หัวหน้าของเหล่าชายสวมหน้ากากหัวเราะเยาะเย้ย พร้อมยื่นมือไปที่ใบหน้าอันบอบบางของลู่เสี่ยวฉิง

“ถ้าหากเจ้ากล้าแตะต้องแม้ผมสักเส้นของนาง ผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดแห่งตำหนักยุทธ์จะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกน ปัดป้องลู่เสี่ยวฉิงจากชายสวมหน้ากาก

“ผู้อาวุโสที่สิบเอ็ดรึ?!” แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำของเซี่ยงเส้าหยุน ชายสวมหน้ากากเผยท่าทีสับสน

“ให้ข้าเดา เจ้าคงเป็นคนของตระกูลอู่ หากคนที่เจ้าตามหาคือข้าก็จงอย่าเอานางมาเกี่ยวข้อง ทั้งนางและข้าต่างเป็นศิษย์คนสำคัญของตำหนักยุทธ์ อย่าได้คิดว่าตระกูลอู่ของเจ้าจะรอดไปได้หากเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทางตำหนักจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้!”

เมื่อหันหน้าไปทิศทางที่เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว หัวหน้าชายสวมหน้ากากจึงจ้องมองกลับ เซี่ยงเส้าหยุนได้เห็นผ่านการปลอมตัวของพวกเขา

“เจ้า ไปจากที่นี่เร็ว! หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ ก็มีแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาข้า!” เซี่ยงเส้าหยุนดุลู่เสี่ยวฉิง

ด้วยความที่เป็นคนละเอียดอ่อนโดยธรรมชาติ ดวงตาที่สวยงามของลู่เสี่ยวฉิงมีน้ำตาเอ่อล้น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เจ้าคนเนรคุณ!”

“หืม เจ้าคิดว่าจะอยู่กับคนที่มีความซับซ้อนเช่นข้าได้อย่างนั้นรึ? แม้เจ้าจะเต็มใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับข้า ข้าก็จะไม่มองเจ้าแม้หางตา ข้าชอบสตรีที่มีรูปร่างเย้ายวนเยี่ยงเหม่ยเหลียนฮวา!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะอย่างเย็นชา

ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะกล่าวจบคำ น้ำตาของลู่เสี่ยวฉิงก็ไหลด้วยความเศร้าโศก

“ข้า ข้าเกลียดเจ้า!” ลู่เสี่ยวฉิงร้องไห้อย่างขมขื่น นางวิ่งไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกล้อม

“ข้าขอโทษ ได้แต่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวกับตนเองขณะมองดูนางหนีไปอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นห่างออกไปเรื่อย ๆ

“เจ้าหนู พวกข้าจะไม่ทนเล่นเกมอีกต่อไปแล้ว เป็นเด็กดีแล้วตามเรามาเสีย” หัวหน้าของเหล่าชายสวมหน้ากากกล่าวขณะมองดูท่าทีของเซี่ยงเส้าหยุน

“พวกเจ้ามาที่นี่ตามคำสั่งของอู่หมิงเหลียงใช่ไหม? เจ้าได้คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือ? ข้าเป็นถึงศิษย์น้องของผู้อาวุโสที่สิบเก้าจื่อฉางเหอเชียวนะ หากยังกล้าแตะต้องตัวข้า ศิษย์พี่คงจะไม่มองดูอยู่เฉย ๆ แน่ และตำหนักยุทธ์ยังทราบด้วยว่าข้าเป็นถึงผู้มีห้าดวงดาวสถิต ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวข่มขู่

“ก็ได้ เจ้าหนู ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอีก แม้ว่าเจ้าตำหนักแห่งตำหนักยุทธ์จะมาที่นี่ด้วยตนเองในวันนี้ ข้าก็จะพาตัวเจ้าไปอยู่ดี” หัวหน้าชายสวมหน้ากากกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะให้คนของตนมัดเซี่ยงเส้าหยุน

ด้วยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เซี่ยงเส้าหยุนหันไปโบกมือยังด้านหลังพร้อมตะโกน “ศิษย์พี่จื่อ ข้าอยู่นี่!”

เมื่อได้ยินนามของจื่อฉางเหอ เหล่าชายสวมหน้ากากต่างหันไปยังตำแหน่งที่เซี่ยงเส้าหยุนโบกมือ

“ไปตายซะ!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขณะพุ่งเข้าใส่หัวหน้า พร้อมส่งหมัดตรงไปที่หัวของมัน

ตึก!

ก่อนหมัดจะทันกระทบร่างอีกฝ่าย เขาได้ตระหนักว่าหมัดตนเองถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือแกร่ง อีกฝ่ายสัมผัสได้ว่าเป็นกลลวง

“เป็นอุบายที่ดีหากจะใช้กับผู้อื่น แต่มันไม่อาจใช้กับข้า!” หัวหน้ากล่าวอย่างหยิ่งผยอง

“เช่นนั้นรึ? แล้วแบบนี้ล่ะ?” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยเสียงต่ำ ก่อนที่จะชี้ไปยังผู้เป็นหัวหน้า

ดัชนีทลายดวงดาว!

ลำแสงบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากนิ้วชี้ของเซี่ยงเส้าหยุน ท่วงท่าที่ปล่อยออกมาแฝงไปด้วยพลังดวงดาวที่เขารวบรวมได้ทั้งหมด มันพุ่งตรงไปยังหน้าท้องส่วนล่างของหัวหน้าโจร

ด้วยไม่คาดคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะใช้พลังดวงดาวโจมตีภายนอกทั้งที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐาน หัวหน้าโจรจึงไม่ใส่ใจที่จะป้องกันจนต้องแบกรับ

“อ๊าก!”

แม้อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับดวงดาว ทว่าเพราะเป็นเพียงขั้นที่สองจึงไม่ใช่แข็งแกร่งมาก เมื่อโดนเซี่ยงเส้าหยุนโจมตีใส่เลือดจึงหลั่งออกจากหน้าท้อง เป็นผลให้ร่างต้องคุกเข่าลงด้วยความเจ็บปวด

ขณะนั้นเอง เหล่าชายสวมหน้ากากต่างก็ตัวแข็งทื่อ พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดหัวหน้าของตนจึงบาดเจ็บ และต่างก็เกรงกลัวว่าจื่อฉางเหอจะมาจัดการด้วยตนเอง

หนี!

เมื่อพบโอกาสทองเช่นนี้ เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี

เหล่าชายสวมหน้ากากต่างล้อมผู้เป็นหัวหน้าพร้อมกล่าวถาม “หัวหน้า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไปจับเจ้าเด็กบ้านั่นเร็ว! ไปได้แล้ว!” หัวหน้าออกคำสั่งอย่างรวดเร็วขณะที่จับบาดแผลของตน

“รับทราบ!” ชายสวมหน้ากากกล่าวพร้อมเพียงกันก่อนที่ทั้งหมดจะวิ่งตรงไปยังเซี่ยงเส้าหยุน

“เจ้าพวกโง่! เจ้าคนหนึ่งต้องอยู่พยาบาลข้าสิโว้ย!” ผู้นำรู้สึกโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด

โชคไม่ดีนัก เหล่าลูกน้องต่างวิ่งไปไกลแล้ว

“เวรเอ้ย! พวกมันเข้ามาใกล้รวดเร็วนัก!” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าต่อตนเองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนใกล้เข้ามา เขามีพลังที่จะสู้ แม้จะไม่มากนัก สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นเก้าความเร็วในตอนนี้ไม่มีผู้ใดในระดับพื้นฐานตามได้ทัน โชคไม่ดีนัก เพราะสิ่งนี้ไม่เพียงพอจะจัดการกับผู้ที่ไล่ตาม

ในหมู่พวกมันมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นแรกถึงสามคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไล่ตามได้รวดเร็วเพียงนี้

ก้าวราชันเก้าปรโลก!

โดยไม่ลังเล เซี่ยงเส้าหยุนปลดปล่อยการเคลื่อนไหวซึ่งใช้เวลาถึงสามวันผ่านการเรียนรู้ที่เจ็บปวด ดวงดาวโดยกำเนิดเริ่มส่องแสงและพลังเริ่มหลั่งไหลไปที่เท้าทำให้ความเร็วในการเดินแต่ละก้าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือวิชาเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างวิเศษ ทุกย่างก้าวนั้นราวกับได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เท้าสว่างขึ้น ราวกับเป็นนกกระจอกที่โบยบินอิสระ

กลุ่มชายสวมหน้ากากที่เกือบจะไล่ทันเซี่ยงเส้าหยุน ขณะนี้พบว่าระยะห่างกลับเพิ่มขึ้น

“หยุดวิ่งและอยู่กับที่เสีย! มิเช่นนั้นอย่าหวังว่าจะหนีพ้นไปได้โดยง่าย!” ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งข่มขู่

อีกผู้หนึ่งเตรียมจะยิงธนูเข้าใส่ ทันใดนั้นเองมีร่างที่ราวกับวิญญาณซึ่งไม่ทราบที่มาได้ปรากฏตัวใกล้กับชายผู้กำลังยิงธนู หนึ่งฝ่ามือพุ่งเข้าใส่หัวของชายสวมหน้ากาก

ปึ้ก!

ชายสวมหน้ากากผู้นั้นไม่สามารถต้านทานได้ หัวของเขาแตกออกราวกับแตงโมที่ถูกบดขยี้ ไร้ซึ่งการหยุดพักหายใจ ร่างนั้นขยับไปมาท่ามกลางเหล่าชายสวมหน้ากาก ก่อนที่จะได้ทันตอบโต้พวกเขาก็โดนฆ่าในทันที คนธรรมดานั้นไม่สามารถมองตามการเคลื่อนไหวของร่างปริศนานี้ได้ทัน

ชายสวมหน้ากากไม่มีแม้โอกาสที่จะร้องออกมาก่อนตายด้วยซ้ำ ความพินาศเกิดขึ้นโดยที่เซี่ยงเส้าหยุนไม่อาจรู้ได้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นด้านหลัง เขายังคงวิ่งอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว “อู่หมิงเหลียง! ตระกูลอู่! แค้นนี้เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”

ด้วยผลักดันร่างกายจนถึงขีดสุด ก้าวราชันเก้าปรโลกแสดงให้เห็นถึงความพิเศษ ทำให้เซี่ยงเส้าหยุนดูราวกับรวดเร็วกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาว! โดยที่ไม่รู้ตัว เขายังคงวิ่งหนีโดยไม่รู้ว่าปัญหาของตนถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset