ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 4 : ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกศิษย์!

ภายในส่วนลึกซ่อนเร้นของร่างกายผู้ฝึกยุทธ์ มันจะมีหนึ่งผังจักรราศีสามารถมีดาวได้ถึงเก้าดวง

หนึ่งดวงดาวนั้นอ่อนแอ สองดวงดาวนั้นค่อนข้างส่องสว่าง สามดวงดาวนั้นพิเศษและสี่ดวงดาวจะขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี ห้าดวงดาวส่องสว่างบนฟากฟ้า หกดวงดาวจะเติมเต็มห้องโถงไปด้วยหยก เจ็ดดวงดาวกลุ่มดาวคันไถจะร่วงหล่น แปดดวงดาวคือข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งสรวงสวรรค์ เก้าดวงดาวสะท้านสวรรค์

การตื่นขึ้นของดาวทุกดวงเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ คนธรรมดาไม่สามารถทำให้ดวงดาวตื่นได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะไม่มีวันหลบซ่อนอยู่ชั่วกาลนาน ที่สามารถปลุกหนึ่งดวงดาวได้ก็ยังถือว่าอ่อนแอขนาดแทบจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ ผู้ซึ่งมีศักยภาพที่จะปลุกสองดวงดาวจะเป็นเหมือนดั่งหยกที่ยังไม่ถูกขัดสี มีความเป็นไปที่จะส่องสว่างในอนาคต การตื่นของสามดวงดาวเป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์และนำพาเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลและสำนัก

ผู้ที่มีสี่ดวงดาวสถิตร่างจะสามารถบรรลุได้ถึงสิ่งพิเศษที่อยู่สูงขึ้นไป และจะสามารถปีนขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรี สำรวจสรวงสวรรค์และโลก สำหรับผู้ที่ห้าดวงดาวสถิตจะเป็นเด็กที่ถูกสวรรค์อำนวยพรให้สามารถส่องแสงบนท้องฟ้าและแผ่รัศมีไปได้ทุกหนแห่ง

สำหรับผู้ที่สามารถปลุกหกดวงดาวหรือมากกว่านั้น พวกเขาจะถูกจัดอยู่ในผู้ที่มีร่างกายอันสูงส่ง มันเป็นปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งทุกรอบหนึ่งพันปีในสถานเล็ก ๆ อย่างเมืองอู่

ตั้งแต่เซี่ยงเส้าหยุนได้ดึงดูดพลังของห้าดวงดาว นั่นพิสูจน์แล้วว่าเขามีร่างกายที่สามารถรองรับพลังของห้าดวงดาวได้ ความสำเร็จของเขานั้นไร้ขอบเขต ส่องสว่างและสะท้อนไปผ่านท้องฟ้า! ในสถานที่เล็ก ๆ อย่างเมืองอู่ เซี่ยงเส้าหยุนจะต้องครอบครองศักยภาพที่จะเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีอย่างแน่นอน! แม้กระทั่งทั่วทั้งตำหนักยุทธ์ก็จะมี

เหล่าศิษย์ชั้นนอกต่างจ้องมองไปยังเซี่ยงเส้าหยุน ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชมเช่นเดียวกับริษยา สำหรับผู้อาวุโสทุกคนต่างก็ตัวสั่นเทาไปด้วยความตื่นเต้น อัจฉริยะแบบนี้จะต้องรับมาเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวให้จงได้!

“เจ้าหนู เจ้ามีนามว่าอะไร? เจ้าจะยอมมาเป็นลูกศิษย์ของข้า หลี่ฮัวผู้นี้หรือไม่? ข้ามีตำราวิชาเปลวเพลิงเผาสวรรค์! ด้วยวิชานี้จ้าจะสามารถเผาสวรรค์ชั้นสูงและทำให้ทะเลกว้างใหญ่แห้งเหือดได้เลยเชียว!” ผู้อาวุโสที่มีผมแดงพูดอย่างตื่นเต้น เขาคือผู้อาวุโสที่เจ็ดหลี่ฮัว ผู้ซึ่งได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ในตำหนักยุทธ์

“เจ้าหนู วิชาเปลวเพลิงเผาสวรรค์ของเขายังไม่สมบูรณ์หรอก มานี่ข้ามีตำราคลื่นไหลเวียนที่สมบูรณ์แล้ว สิ่งนี้จะทำให้เจ้าควบคุมวายุที่รุนแรงและกระแสวารีอันเชี่ยวกรากได้โดยที่เจ้าจะไม่ต้องเกรงกลัว!” ผู้เฒ่าผู้นี้คือเจี่ยงหลิงจื่อ ผู้อาวุโสที่หก

“วิชาเหล่านี้มันไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก ชายชราผู้นี้มีคัมภีร์วัชระไร้ต้าน มันจะช่วยฝึกฝนให้ร่างกายของเจ้าให้สามารถรับดาบและหอกรวมถึงทนน้ำทนไฟได้” ชายผู้มีผมสีทองกล่าว เขาคือผู้อาวุโสที่ห้าจินเย่

“ข้ามีตำราวิชาไร้เงาที่สำเร็จแล้ว วิชานี้จะทำให้เจ้าได้ท่องเที่ยวไปที่ใดก็ได้โดยปราศจากร่องรอย นอกจากนี้ถ้าเจ้าเข้าร่วมกับข้า เจ้าจะได้มีศิษย์พี่สาวแสนสวยสองนางจะอยู่ภายใต้อาณัติเจ้า เจ้าจะเสียใจแน่ถ้าหากไม่ได้เข้าร่วมกับพวกข้า” สตรีวัยกลางคนที่ดูดุงดูด ได้พูดอย่างยั่วยวน คลื่นแห่งความยั่วยวน นางคืออาวุโสที่สิบเอ็ด เหอหยิงฮัว

ณ ตอนนี้ เหล่าผู้อาวุโสแห่งตำหนักยุทธ์ก็ได้พยายามผูกไมตรีต่อเซี่ยงเส้าหยุน เขาถูกบังจนมิด นี่ทำให้เขารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นสาม บัดนี้เขากลายเป็นผู้ที่มีสถานะพิเศษของตำหนักยุทธ์ โดยมีเหล่าผู้อาวุโสพยายามแย่งชิงตัวเขา

เหล่าศิษย์ชั้นนอกได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความว่างเปล่า ดวงตาเต็มไปด้วยความริษยา พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสนี้ โชคไม่ดีนักเพราะพวกเขาไม่ได้มีพรสวรรค์แต่กำเนิดอย่างเซี่ยงเส้าหยุน ผังจักรราศีของพวกเขายังขาดอีกมาก

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม” เซี่ยงเส้าหยุนกระแอมในลำคอและกำลังจะพูดเมื่อท่านขุนนางอัสนีสีม่วงก้าวเท้ามาตรงหน้าเขา เขาป้องมือ

จื่อฉางเหอกล่าว “ข้าต้องขออภัยต่อเหล่าผู้อาวุโสที่นี่ด้วย แต่ศิษย์เส้าหยุนได้ให้คำมั่นว่าจะมาเป็นศิษย์ของข้าเรียบร้อยแล้ว ข้าได้ทดสอบพรสวรรค์ของเขาก่อนหน้านี้ ข้าไม่ได้ต้องการจะสร้างความแตกตื่นเลย ข้าขอโทษจากใจจริง”

“ว่าอะไร? เขาให้คำมั่นต่อเจ้างั้นรึ?” ผู้อาวุโสที่เจ็ดหลี่ฮัวสำลัก เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน จากนั้นเขากล่าวว่า “ฉางเหอ เจ้ายังเยาว์และมีอนาคตที่สดใส เจ้าไม่เสียดายพรสวรรค์ของเจ้าที่จะเสียเวลาไปกับการดูแลลูกศิษย์รึ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะขอยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนดอกบัวนรกกับลูกศิษย์ของเจ้า!”

“หลี่ฮัวเจ้ามันช่างไร้ยางอาย! เจ้าช่างกล้าใช้ยาวิญญาณขั้นต่ำเพื่อแลกกับผู้ที่มีห้าดวงดาวสถิตงั้นรึ?! ข้าขอชื่นชมเจ้าที่กล้าเอ่ยออกมาดัง ๆ!” เจี่ยงหลิงจื่อตะคอกก่อนมองไปยังจื่อฉางเหอและยิ้ม เขากล่าว “ฉางเหอ ข้ารู้ว่าเจ้าบ่มเพาะพลังสายฟ้าจากดวงดาว ข้าเองก็บังเอิญมีสิ่งนี้ ยาระดับกลางเถาวัลย์อัสนีสีม่วง! ข้าเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ์ของเจ้าแน่นอน ดังนั้นโปรดให้ข้าได้สอนเด็กหนุ่มผู้นี้ ให้อยู่ภายใต้อาณัติข้าแทนได้หรือไม่?”

จื่อฉางเหอตอบกลับโดยปราศจากความลังเล “ข้าไม่ต้องการ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ทำพิธีเพื่อรับข้าเป็นอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นข้าเกรงว่ามันคงไม่เหมาะที่จะส่งเขาไปให้ท่านในตอนนี้หรอกนะ”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสของตำหนักยุทธ์ จื่อฉางเหอต้องเผชิญหน้ากับความกดดันไม่น้อย อย่างไรเสียสำหรับผู้ที่มีห้าดวงดาวสถิต เขายินดีที่จะทำให้พวกเขาขุ่นเคือง ข้าง ๆ จื่อฉางเหอ เซี่ยงเส้าหยุนดีใจกับตัวเอง “ท่านเห็นมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าท่านจะต้องสู้เพื่อแก่งแย่งให้ข้าเป็นศิษย์แต่ท่านไม่เชื่อข้า ฮี่ฮี่ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าคือคุณชายอัจฉริยะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อฉางเหอ ผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง พวกเขารู้ว่าถ้ายังพยายามต่อสู้เพื่อศิษย์ผู้นี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในขณะนี้ฉิงสิ่วเหอกระแอมก่อนจะกล่าว “ฉางเหอ เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ดึงดูดพลังแห่งห้าดวงดาวก่อนที่จะทำลายศิลาแห่งการประเมินค่า อาจเป็นไปได้ว่าพรสวรรค์ของเขาน่ากลัวยิ่ง! เมล็ดพันธุ์ที่ดีเช่นนี้ถ้าหากอยู่ภายใต้อาณัติของเจ้าคงเป็นการทำลายพรสวรรค์ของเขา เช่นนั้นแล้วให้เขาได้อยู่ภายใต้อาณัติส่วนตัวข้าแทนจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ?”

นั่นทำให้เหล่าศิษย์ชั้นนอกเกิดความวุ่นวายขึ้น

“ระ รองจ้าวตำหนักต้องการจะให้เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวงั้นเหรอ?! โลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรม?!”

“นี่คือชะตาแห่งดวงดาว เป็นชะตาที่ถูกกำหนดจากสวรรค์ เจ้าหนุ่มนี่เป็นผู้ที่มีห้าดวงดาวสถิต ไม่ว่าจะไปที่ใดในเมืองขอบนภาต่างก็มียอดฝีมือต้องการที่จะรับเขาเป็นศิษย์ทั้งนั้น!”

“ก็จริง ถ้าหากว่าจ้าวตำหนักอยู่ที่นี่ เขาก็คงจะต้องสู้เพื่อแก่งแย่งศิษย์!” ช่างน่าเสียดายที่เขามีธุระในเมือง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าเขาจะกลับมาเมื่อใด

“เขาเกิดมาเป็นอัจฉริยะ ในขณะที่พวกเราต้องต้องฝึกอย่างหนัก ไม่แน่พวกเราอาจจะสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เข้าสักวัน”

เหล่าศิษย์ชั้นนอกต่างก็มืดมนหลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตกับการฝึกเพื่อให้ได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ชั้นใน แต่เจ้าเด็กนี่เป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นสามแต่กลับเป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น แม้แต่รองจ้าวตำหนักเอง นี่มันช่างไม่ยุติธรรม

จื่อฉางเหอตอบกลับไม่ยินดี “ท่านรองจ้าวตำหนัก ข้าแค่รับเขาเป็นศิษย์เพียงในนามของท่านอาจารย์ของข้าเท่านั้น อันที่จริงเขาเป็นเพียงศิษย์น้องของข้าด้วยซ้ำ และเขาจะเข้ามาอยู่ภายใต้อาณัติของอาจารย์ข้าในอนาคต”

เมื่อได้ฟังจื่อฉางเหอ ฉิงสิ่วเหอแสดงออกเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ลืมมันไปเสีย เขาจะต้องเป็นศิษย์ของตำหนักยุทธ์นับจากนี้  ดังนั้นจงจัดแจงสิ่งต่าง ๆ ให้เขา พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายได้แล้ว”

ถึงแม้พวกเขาทั้งหมดจะไม่เต็มใจที่จะปล่อยเซี่ยงเส้าหยุนไป ผู้อาวุโสต่างก็ออกจากพื้นที่ทีละคนหลังจากได้ยินฉิงสิวเหอ เหล่าศิษย์ชั้นนอกก็ก้มหน้ากลับไปทำงานของตนเองอีกครั้ง แต่นับจากนี้ภาพของเซี่ยงเส้าหยุนที่ดึงดูดพลังห้าดวงดาวจะต้องติดตาตรึงใจพวกเขาไปอีกนาน

คนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้จะไม่อาจเป็นคนธรรมดาทั่วไปได้อีก ด้วยเหตุนี้พวกเขาเองก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้เช่นกัน และพวกเขาเองก็ไม่มีเหตุจะขุ่นเคืองในตัวเขาได้เช่นกัน หลังจากที่ฝูงชนแยกย้ายกันไปจื่อฉางเหอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ฮี่ฮี่ ข้าบอกแล้วว่าท่านต้องต่อสู้เพื่อที่จะรับข้าเป็นศิษย์ ตอนนี้ท่านก็รู้ถึงพลังของข้าแล้ว!” เซี่ยงเส้าหยุนพูดรอยยิ้มเต็มไปด้วยความภูมิใจ

ก่อนที่เขาจะพูดจบ จื่อฉางเหอก็ตบเข้าที่หัวของเขาอย่างแรงก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เจ้าหัวเราะอะไรกัน? ต่อจากนี้เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่ไม่ใช่ท่านอาจารย์ เพียงแค่ระดับเริ่มต้นขั้นสามเจ้ายังมีสิ่งใดให้ภูมิใจได้อีก? เจ้าจะมาอยู่ใต้อาณัติข้านับจากนี้ ถ้าหากว่าเจ้าไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานที่ข้าวางไว้ มาดูกันว่าข้าจะทำอะไรกับเจ้าได้บ้าง!”

“ให้ตายสิ นับแต่นี้ข้าจะต้องมีศิษย์พี่ที่ดุร้ายเช่นท่านงั้นหรือ?” เซี่ยงเส้าหยุนพูดอย่างไม่พอใจ

“โฮ่ นี่เจ้าคิดว่าเจ้าจะไม่สนใจทุกคนเพราะว่าเจ้าเป็นผู้ที่ห้าดวงดาวสถิตงั้นหรือ? ขอบอกไว้ก่อนว่าอัจฉริยะนั้นตกต่ำได้ง่าย ถ้าหากเจ้าไม่ฟังคำข้าก็อย่ามาโทษข้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเจ้าในอนาคตแล้วกัน!” จื่อฉางเหอกล่าวอย่างเย็นชา

“ก็ได้ ก็ได้ นับแต่นี้ข้าจะฝึกอย่างหนักเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของตำหนักยุทธ์!” เซี่ยงเส้าหยุนพูดอย่างจริงจังโดยปราศจากร่องรอยของความเย่อหยิ่งก่อนหน้า

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset