ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 6 : ช่างเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่ง!

“โอ้? ข้าแค่มองเด็กสาวที่น่ารักนี่ก็ผิดรึ? นี่มันอยู่ในกฎของตำหนักยุทธ์ด้วยหรือไร?” เซี่ยงเส้าหยุนพูดประชดประชันขณะที่มองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกาย

“รับชมผู้อื่นที่ไม่ได้แหกกฎเสีย หากเจ้ามองผู้อื่นที่ไม่สมควรมอง เช่นนั้นจะกลายเป็นหาเรื่องผู้อื่นไป นั่นไม่ถือเป็นเรื่องผิดหรือไร?” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างมาดมั่น ท่าทีนั้นราวกับเป็นผู้รู้ทุกสิ่งอย่าง

เซี่ยงเส้าหยุนไตร่ตรองก่อนที่จะหัวเราะออก “ฮ่า ฮ่า หากท่านกล่าวมาเช่นนี้ ให้ข้าเรีนกหาเป็นอะไรดีเล่า พี่ชายงั้นหรือ?”

“ดูไปเจ้าฉลาดมิใช่น้อย นามข้าเซี่ยหลิวฮุย” เด็กหนุ่มตอบกลับ

“ตัวลามก? ช่างเป็นนามที่น่าสะอิดสะเอียนนัก” เซี่ยงเส้าหยุนราวกับชื่นชอบนามนี้ขนาดยกหัวนิ้วมือให้

“ผิดแล้ว! มันคือ ‘เซี่ย’ มาจากคำว่า ‘ฤดูร้อน’ ส่วน ‘หลิว’ มาจากคำว่า ‘น้ำไหล’ และคำว่า ‘ฮุย’ มาจากคำว่า ‘โบกสะบัดดาบ’ เด็กหนุ่มกล่าวเน้นย้ำอย่างไม่สบอารมณ์

“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เจ้าและข้าต่างมองกันครั้งเดียวก็เผยคำว่า ‘ลามก’ ออกมาอยู่แล้ว! ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่งนัก!” เซี่ยงเส้าหยุนอุทานพร้อมตบไหล่เด็กหนุ่มราวกับเป็นสหายสนิท

*คำว่า เซี่ยหลิว (Xia Liu) มีความหมายทั้ง ลามก และ เปี่ยมไปด้วยอากาศร้อน ในภาษาจีน

“ข้าคร้านจะโต้แย้งกับเจ้า ขณะนี้คิดไปยังโรงอาหาร ไม่เช่นนั้นพวกสัตว์ป่าตัวอื่นได้เข้ามาแย่งกินก่อนเสียจนหมด” เด็กหนุ่มตอบคำก่อนที่จะรีบวิ่งไปทางโรงอาหาร

เซี่ยงเส้าหยุนไม่รอช้าและตามเขาไปอย่างรวดเร็ว “ที่โรงอาหารไม่เหลืออาหารให้กินเลยงั้นหรือ?”

“มีนั้นมี ทว่ามีจำกัด! ที่นี่พวกเรามีกันกว่าร้อยคน  หากสักครึ่งหนึ่งอิ่มท้องได้ก็ถือว่าดีแล้ว!” เซี่ยหลิวฮุยตอบคำขณะก้าวเดินไป เมื่อครู่ เซี่ยงเส้าหยุนได้ตระหนักว่าผู้ฝึกยุทธ์เยาว์วัยทั้งหลายต่างเร่งรีบวิ่งไปทางโรงอาหารราวหิวโหย

“นี่เรื่องบ้าอะไรกัน? พวกนั้นถูกวิญญาณหิวโหยสิงหรืออย่างไร?” เซี่ยงเส้าหยุนเอ่ยถามอย่างไม่อาจเชื่อ

“เหอะเหอะ เดี๋ยวเจ้าก็ได้กลายเป็นหนึ่งในวิญญาณหิวโหยเช่นกัน” เซี่ยหลิวฮุยผู้ซึ่งนำเฉาหยุนไปไกลแล้วหัวเราะตอบกลับมา

เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจก่อนจะเร่งฝี เมื่อไปถึงยังโรงอาหาร เขาจึงได้ทราบถึงคำของเซี่ยหลิวฮุย ที่ได้เห็นตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้แย่งชิงอหารกันอย่างคลุ้มคลั่ง ทุกคนต่างผลักกันไปมา บ้างก็เปิดศึกต่อกัน ทั้งหมดนี่ก็เพื่อต่อแถวรับอาหารที่กำลังจะถูกนำออกมาให้

ทุกคนต่างมองเห็นภูเขาได้จากแม่น้ำของผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่ออาหาร ทุก ๆ คนต่าง ผลักดันกันและกัน และใครบางคนก็เริ่มสู้กันเอง ทั้งหมดนี้เพื่อให้สามารถเข้าแถวเพื่อรับอาหารที่ผู้เข้าร่วมกำลังจะนำมาให้

“นี่มันเป็นของข้า ไสหัวไปให้พ้น”

“ช่างมารดาเจ้า เจ้ากล้ามาฉกของของข้างั้นรึ? แน่จริงก็เข้ามา!”

“บัดซบ ไอ้เวรตัวไหนจะสู้เพื่อแย่งชิงของของข้า? วันนี้อย่าได้คิดว่าจะรอดพ้นไปได้!”

“ข้าไม่ได้กินอิ่มท้องมานานแล้ว โปรดให้ทานแก่ข้าผู้น่าสงสารด้วยเถิด!”

สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงดังที่ผสมปนเปกับเสียงฝีเท้าไม่ต่างกับสนามรบ นี่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเป็นโรงอาหารภายในตำหนุกยุทธ์เลย เหล่าผู้ที่อยู่ที่นี่ที่คอยแจกจ่ายอาหารอย่างไม่ปรานี่ได้เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา พวกเขาเองไม่ได้สนใจ อย่างไรเสียพวกเขาเคยชินกับเหตุการณ์สังหารมาก่อนแล้ว

เซี่ยงเส้าหยุนตะลึงงันกับสิ่งที่เกิด เสี้ยววินาทีต่อมาเขาฟื้นคืนสติและพุ่งตัวไปยังฝูงชน

เป๊ง เป๊ง!

“โอ้ย!”

ขณะที่เขาฝ่าเข้าไปยังฝูงชน หมัดพุ่งเข้าหาเขาจากทั่วทุกสารทิศ หมดหนทางที่จะต้านทานเขาได้ถูกโยนออกไปจากฝูงชนแทบจะในคราวเดียว ทั้งสองตาของเขาปูดโปนและจมูกของเขาก็มีเลือดไหล เมื่อแตะไปที่ใบหน้าของตน ผิวที่เคยบอบบางและเรียบเนียนในตอนแรกก็กลับหยาบกร้านจนดูน่ากลัว

“ไปตายซะ! พวกเจ้ากล้าดียังไงมาแตะต้องใบหน้าอันหล่อเหลาของข้า? พวกเจ้าช่างรนหาที่ตาย!” หลังจากที่กล่าวจนจบเขาจึงพุ่งตัวเข้าไปยังฝูงชน เขาต้องการจะแก้แค้นแก่ผู้ที่ทำร้ายตนเอง แต่อนิจจาสิ่งที่เกิดขึ้นนับจากนี้ก็ไม่ต่างจากก่อนหน้า เขาถูกโยนออกมาจากฝูงชนอีกครั้ง ระดับพื้นฐานขั้นห้าของเขานั้นช่างต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำในที่แห่งนี้  เขากล่าวตามตรง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คิดจะต่อแถว

นี่คงเป็นครั้งแรกที่เซี่ยงเส้าหยุนพบว่าการหาอาหารนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน

“ชายคนหนึ่งได้เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่ทำงานอย่างหนักในมื้ออาหารจะหวงแหนข้าวทุกเมล็ด ช่างเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่ง!” เซี่ยงเส้าหยุนได้รับบทเรียนพร้อมถอนหายใจลึก ๆ กับตัวเอง

“ชายผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ ผู้ใดทำงานหนักแลกอาหารย่อมหวงแหนข้าวทุกเมล็ด เป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่งนัก!” เซี่ยงเส้าหยุนที่ได้รับบทเรียนถึงกับถอนหายใจหนักกับตนเอง

“คุณชายอู่มาแล้ว หลบไปให้พ้นทางเขาซะ!” เสียงแหลมดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าฝูงชนที่อึกทึกก่อนหน้านี้จึงได้ถอยหลบอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่รายล้อมไปด้วยเหล่าหนุ่มสาวเดินเข้ามายังโรงอาหาร เด็กหนุ่มผู้นี้จะถือได้ว่าหล่อเหลา แต่ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของเขาทำให้เขาไม่แยแสผู้ใดอยู่ในสายตา สร้างความไม่พอใจกับทุกผู้ที่มองมา

เหล่าศิษย์หญิงสองสามคนมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นี้ ร่างกายของนางดูเหมือนกำลังไปแนบชิดติดกับเขา นี่เป็นเพราะว่านอกเหนือจากความพิเศษในแง่ของพรสวรรค์แล้ว เขาช่างเป็นบุคคลที่มีภูมิหลังอันชวนริษยา

เขาคืออู่หมิงเหลียง ผู้ที่จะได้เป็นศิษย์ชั้นใน แม้ว่าอีกสามเดือนเขาจะอายุครบสิบสี่ ขณะนี้การฝึกก็ก้าวไปถึงระดับพื้นฐานขั้นที่เก้าแล้ว อนาคตของเขาถูกพูดถึงอย่างไม่ขาดสาย ที่สำคัญกว่านั้นเขาเป็นบุตรคนที่เจ็ดของจ้าวเมืองอู่ ทำให้ตัวเขามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีก

เหล่าศิษย์ชั้นนอกต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาหาร แต่สำหรับอู่หมิงเหลียงหล่ะ? เมื่อเขาได้ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนต่างต้องหลีกทางให้เขาอย่างเชื่อฟัง การให้เขากินอาหารก่อนถือเป็นสิทธิ์พิเศษสำหรับผู้ยิ่งใหญ่

ผู้เด็กหนุ่มที่ประกาศการมาถึงของอู่หมิงเหลียงนั้นได้ทำตัวราวกับเป็นคนรับใช้และชี้ไปยังตัวเขา “คุณชายอู่ ถ้าหากท่านจะกรุณา”

“ตกลง” อู่หมิงเหลียงกล่าวอย่างสบายใจ เขาเริ่มเดินไปยังแถว ว่างเปล่าที่เคยมีคนมากมายต่อแถวอยู่

หลังจากที่ก้าวไปเพียงสองถึงสามก้าว เขาหันไปเห็นเซี่ยงเส้าหยุนนอนกองราบไปกับพื้น เขาแสดงสีหน้าสงสัยและถามขึ้นว่า “หือ เจ้าคงไม่ใช่อัจฉริยะที่ดึงดูดพลังห้าดวงดาวใช่หรือไม่? เจ้าลงไปกองอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกัน?”

แม้ดูเหมือนว่าอู่หมิงเหลียงจะแสดงท่าทีเป็นห่วงเซี่ยงเส้าหยุน แต่การแสดงออกว่าเยาะเย้ยก็เผยบนใบหน้าของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัย หลังจากที่เขาช่วยให้เซี่ยงเส้าหยุนลุกขึ้น สายตาของเหล่าศิษย์ชั้นนอกหลายคนก็จับจ้องไปยังเซี่ยงเส้าหยุน

“โอ้ เป็นเขาจริง ๆ ด้วย! ข้าคิดว่าเขาจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากท่านขุนนางอัสนีสีม่วงเสียอีก แต่แล้วกลับต้องมาต่อสู้แย่งชิงอาหารกับพวกเราที่นี่!”

“ฮ่า ฮ่า เป็นไปได้ไหมนะ ว่าเขาจะเป็นคนที่ชนข้าล้มเมื่อกี้นี้? ถึงกับล้มไปกองกับพื้น นี่นับเป็นอัจฉริยะอันใดกัน?

“คิดอยากแย่งอาหารกับพวกเราทั้งที่อยู่เพียงระดับพื้นฐานขั้นสามเนี่ยนะ? ฝันเฟื่อง”

“เหมือนว่าเขาคงต้องอดอยากเสียแล้ว นึกไม่ออกเลยว่าอีกสามวันจะรอดพ้นไปได้ หากเจานี่ตายไปท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจะเสียใจหรือไม่กันนะ?”

เหล่าผู้เยาว์ทั้งหลายที่อิจฉาในพรสวรรค์ของเซี่ยงเส้าหยุนเริ่มพูดจาสบประมาททีละคน ใบหน้าของเซี่ยงเส้าหยุนเริ่มดำมืด เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการพูดจาเพียงสั้น ๆ จะดึงดูดให้ผู้อื่นพูดถากถางไม่จบไม่สิ้น นี่คงจะเป็นความรู้สึกที่ไม่มีผู้ใดต้องการ

“คุณชายผู้อัจฉริยะ เจ้าจะมาเป็นผู้ติดตามของข้าผู้นี้หรือไม่? ข้ามั่นใจว่าจะสามารถให้เจ้าอิ่มท้องได้แน่” อู่หมิงเหลียงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ข้าขอปฏิเสธ คุณชายผู้นี้เพียงรู้วิธีหาข้ารับใช้ ไม่คิดอยากไปเป็นด้วยตนเอง” เซี่ยงเส้าหยุนปฏิเสธพร้อมประชดประชัน

“ช่างอวดดีนัก! ยังไม่แสดงความเคารพต่อคุณชายอู่อีก! เร่งรีบคุกเข่าและกล่าวขออภัยแก่คุณชายอู่ มิฉะนั้นอย่าได้หวังว่าจะได้กินแม้สักมื้อในโรงอาหารแห่งนี้!” เจ้าสุนัขรับใช้ที่คอยติดตามอู่หมิงเหลียงตะโกนขึ้น

ความแข็งแกร่งของเจ้าหมารับใช้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซี่ยงเส้าหยุนเลย ในทางตรงข้าม มันก็มากเกินกว่าเขาถึงสองขั้น เขาอยู่ระดับพื้นฐานขั้นเจ็ดมีนามว่าโกวจื่อ

“เหอะเหอะ เจ้าจะบอกว่าโรงอาหารแห่งนี้เป็นของครอบครัวเจ้าสินะ” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะแห้ง ๆ

“ครอบครัวของข้าอาจจะไม่ได้ทำสิ่งนี้ แต่การที่จะไม่ให้เจ้าได้กินอะไรมันช่างง่ายดายนัก” อู่หมิงเหลียงกล่าวขณะเผชิญหน้าเผชิญกับกลุ่มศิษย์ “นับแต่วันนี้ไป ใครที่บังอาจให้ที่เด็กเหลือขอนี่แย่งอาหาร มันผู้นั้นถือเป็นศัตรูกับข้า อู่หมิงเหลียงผู้นี้!” หลังจากสิ้นเสียง เขาก็ไม่ได้หันไปมองเซี่ยงเส้าหยุนอีกและไปกินอาหารของตน

“เวรเอ้ย!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนออกมา พร้อมแสดงเจตนาฆ่าฟัน

“บังอาจด่าคุณชายอู่งั้นรึ? จัดการมันซะ!” โกวจื่อออกคำสั่ง

ผัวะ ผัวะ!

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset