ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 67 : ค้นหา

เซี่ยงเส้าหยุนถูกลักพาตัวไป! เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อตำหนักยุทธ์ ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเพิ่งมาเป็นผู้ติดตามเซี่ยงเส้าหยุนเมื่อไม่นาน แต่ยังมีคนกล้าลักพาตัวเด็กหนุ่มไปเช่นนี้หรือ? ผู้ที่ลักพาตัวไปช่างเขลานัก!

“สอบสวนเสีย! จงหาว่าผู้ใดเป็นคนกระทำ! หากข้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้าย ข้าจะฆ่าล้างตระกูลของมัน!” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

หยางเกาฉวนเองก็โกรธมากเช่นกัน “ผู้คุ้มกันอยู่ที่ไหน? เหตุใดจึงมิอาจปกป้องเหล่าศิษย์ได้? เหตุการณ์นี้เกิดตอนกลางวันมิใช่รึ? เหตุใดพวกเจ้าจึงยังไม่ไปประจำตำแหน่งเล่า?”

เหล่าผู้คุ้มกันของผู้อาวุโสต่างปาดเหงื่อ และกล่าว “ท่านเจ้าตำหนักขอรับ เป็นความผิดของข้าเอง วันนี้มีผู้เยี่ยมเยียนมากโ และแม้ว่าพวกเราทุกคนต่างเน้นการคุ้มกันในที่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ การคุ้มกันในพื้นที่อื่นจึงไม่แน่นหนาพอ ข้าจะเริ่มตามหาเขาทันทีขอรับ!”

“เจ้าคนลักพาตัวนั่นต้องเป็นศัตรูกับเซี่ยงเส้าหยุนแน่นอน เขาทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองกัน?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงครุ่นคิด

“ข้ามั่นใจว่ามันต้องเป็นตระกูลอู่!” จื่อฉางเหอกล่าว

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม

“เซี่ยงเส้าหยุนได้จัดการคนของตระกูลอู่ และสร้างความไม่พอใจแก่พวกมัน ก่อนหน้านี้ ก็ได้พยายามลักพาตัวเซี่ยงเส้าหยุนแต่ล้มเหลว และไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนกำลังกลับจากเทือกเขาร้อยอสูร พวกมันก็ได้พยายามลักพาตัวเขาไปอีกครั้ง ข้าไปถึงทันเวลา และสังหารพวกมันทั้งหมด นอกเหนือจากนั้น ข้าไม่คิดว่ามีผู้ใดกล้าพอจะทำเช่นนี้อีกแล้ว” จื่อฉางเหอเล่า

“ตระกูลอู่หรือ? เจ้าเมืองอู่ฝูเซี่ยงก็มาเยี่ยมเยียนข้าเมื่อครู่นี้ เป็นเขาจริงหรือ?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงพึมพำอย่างแค้นเคือง เขาหหยุดก่อนจะกล่าวเสนิม “มาเถิด เราไปเยี่ยมเยียนตระกูลอู่เสียหน่อย หากเป็นเขาจริง ตระกูลอู่คงไม่จำเป็นต้องดำรงอยู่ต่อไปอีกแล้ว”

หลังจากคำกล่าว ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงอุ้มจื่อฉางเหอ และเหาะตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลอู่ เมืองอู่นั้นค่อนข้างเล็ก ยอดฝีมือระดับราชาสามารถไปคฤหาสน์ตระกูลอู่ได้ เพียงแค่อึดใจ

“อู่ฝูเซี่ยง ออกมา!” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงตะโกนทันทีเมื่อมาถึง

เมื่อสมาชิคตระกูลอู่เห็นผู้ที่บินบนฟากฟ้า พวกเขาทั้งหมดต่างตื่นตระหนก ความกลัวปกคลุมไปทั่วใบหน้า ขณะที่พวกเขาเข้าใจว่าผู้ที่บินมานั้นมีพลังมากมายมหาศาล

เหล่าผู้ที่อยู่ระดับสูงของตระกูลอู่ก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ไม่นานนักหลังจากนั้น อู่ฝูเซี่ยงซึ่งเป็นผู้นำระดับสูงได้ก้าวออกมา “เป็นท่านผู้อาวุโสเจิ้นเผิงนั่นเอง ข้ารู้สึกประทับใจกับสิ่งที่ท่านแสดงให้ดูเสียจริง เหตุใดจึงไม่เข้ามาเล่า? มานั่งพักก่อนเถิด เป็นเกียรติแก่ตระกูลอู่ที่ท่านมาเยี่ยมเยียนตระกูลของเรา”

ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงมิทันได้กล่าวสิ่งใด และลงมาที่พื้นพร้อมจื่อฉางเหอ

“เจ้าคือผู้ที่ลักพาตัวคุณชายของข้า เซี่ยงเส้าหยุนไปรึไม่?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถามอย่างตรงไปตรงมา

“ข้าไม่ทราบว่าเซี่ยงเส้าหยุนคือใคร? ข้ามิเคยได้ยินนามนี้มาก่อน” อู่ฝูเซี่ยงถาม สีหน้าดูสับสน

“ท่านเจ้าเมืองคนก่อน เซี่ยงเส้าหยุนเป็นศิษย์น้องของข้า ก่อนหน้านี้ ตระกูลอู่ได้พยายามถึงสามคราเพื่อพาตัวเขาไป และครั้งนี้ได้ทำสำเร็จ ข้าสงสัยว่าตระกูลอู่ของท่าจะเป็นผู้กระทำ ท่านเจ้าเมืองคนก่อน หากท่านไม่แน่ใจ ท่านควรถามเจ้าเมืองคนปัจจุบันหากเขารู้ทุกสิ่ง!” จื่อฉางเหอกล่าว

“ผู้อาวุโสจื่อ ท่านไม่ควรกล่าวหาผู้อื่นหากไม่มีหลักฐาน เหตุใดตระกูบอู่จึงต้องลักพาตัวศิษย์น้องของท่านเล่า?” อู่หงจื่อก้าวเท้าเข้ามา และกล่าว

“เจ้ากล้าสาบานไหม ว่าคนสองกลุ่มที่มาลักพาตัวเขาไปนั้น มิใช่คนจากตระกูลอู่?” จื่อฉางเหอกล่าวถาม

“ข้าอยากรู้จัง เหตุใดจึงมั่นใจว่าคนพวกนั้นเป็นคนของตระกูลอู่?” อู่หงจื่อถามกลับ

คำเหล่านั้นทำให้จื่อฉางเหอพูดไม่ออก ผู้ลักพาตัวมั้งสองกลุ่มนั้น กลุ่มหนึ่งได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะที่กลุ่มที่สองนั้นถูกฆ่าอย่างรวดเร็วด้วยตัวเขาเอง ผู้ตายมิอาจเป็นพยานได้

“ไม่ตอบหรือ?” ตระกูลอู่แสยะยิ้มก่อนจะกล่าว “ข้าเพียงแสดงความยับยั้งชั่งโดยไม่สนตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักยุทธ์ มิมีผู้ใดได้รับอนุญาตให้กล่าวโทษตระกูลอู่เช่นนี้”

“หุบปากของเจ้าเสีย หงจื่อ” อู่ฝาเซี่ยงตวาด หลังจากนั้น เขาจึงพูดคุยกับผู้อาวุโสเจิ้นเผิงอย่างสุภาพ “ท่านผู้อาวุโสเจิ้นเผิง ท่านได้ยินเช่นนี้ ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตระกูลอู่ เราจะส่งคนไปช่วยค้นหาความจริง และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเรา ด้วยเมืองอู่นั้นเป็นดั่งสนามหญ้าของตระกูลอู่”

จื่อฉางเหอยังต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงกล่าวก่อนหน้า “ขอคุณพวกท่านที่ช่วยเหลือ เซี่ยงเส้าหยุนเป็นคุณชายของข้า ข้าจะฆ่าล้างตระกูลของผู้ที่กล้าลักพาตัวเขาไป”

จากนั้นผู้อาวุโสเจิ้นเผิงก็จากไปพร้อมกับจื่อฉางเหอ หลังจากที่ทั้งสองจากไป อู่หงจื่อกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรกันดี?”

“เย็นไว้ ทุกคน ไม่มีสิ่งใดหรอก” อู่ฝูเซี่ยงผายมือออก และกล่าวเสริม “ข้าได้ส่งคนไปช่วยตามหาเขาแล้ว”

อู่หงจื่อจากไป และได้ส่งกองกำลังค้นหา

บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองอู่ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากต้องหยุดระหว่างเดินทาง และถูกสอบสวน ผู้คนมากมายในเมืองมิอาจรู้ได้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพราเหตุนี้ พวกเขาจึงสับสนและตื่นตระหนก ณ สถานที่หนึ่ง จื่อฉางเหอกล่าวกับผู้อาวุโสเจิ้นเผิง “ท่านอาวุโสเจิ้นเผิง ท่านจะปล่อยผ่านเช่นนี้หรือ?”

“คิดก่อนเถิด นอกจากตระกูลอู่แล้วมีผู้ใดน่าสงสัยอีกไหม?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม และเสริม “ข้าเชื่อว่าตระกูลอู่คงไม่กล้าพอจะลักพาตัวคนจากตำหนักยุทธ์ไปได้ ข้าคิดว่าคงเป็นฝีมือของคนใน”

“คนในงั้นหรือ?” จื่อฉางเหอรู้สึกมึนงง เขามิได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ เนื่องจากมุ่งเน้นความสนใจไปที่ตระกูลอู่

“หากเป็นคนนอกจะออกจากตำหนักยุทธ์ได้อย่างง่ายดายไปได้อย่างไรกัน? แม้ว่าพวกเขาจะหลบซ่อนหลังกำแพง คงมิใช่เรื่องง่านดาย” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงให้เหตุผล

“บางทีอาจเป็นผู้อาวุโสที่สิบสาม หลี่เสวียเหมิงก็เป็นได้” จื่อฉางเหอกล่าวแทบจะทันที

“ท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าเป็นเขา?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม จื่อฉางเหอจึงเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าให้เขาได้ทราบ

“ข้าเข้าใจแล้ว ไปกันเถิด” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงพาจื่อฉางเหอกลับไปยังตำหนักยุทธ์ หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด และมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของหลี่เสวียเหมิง โชคไม่ดีนัก หลี่เสวียเหมิงมิได้อยู่ที่นั่น มีเพียงบุตรทั้งสองของเขาเท่านั้น

“บิดาของเจ้าล่ะ?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม

“ข้าคิดว่าเขาออกไปนอกตำหนักขอรับ เราก็ไม่แน่ใจเช่นกัน” หลี่เถียนปาตอบ

“เช่นนั้นหรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงขมวดคิ้ว

“ผู้อาวุโสเจิ้นเผิง เราต้องค้นหาเขาในทันที! เขาจะต้องเป็นผู้ร้ายแน่!” จื่อฉางเหอกล่าว

ในตอนนั้นเอง มีรถม้ามุ่งหน้ามาที่พวกเขา เมื่อรถม้าหยุดลง หลี่เสวียเหมิงปรากฏตัวขึ้น เมื่อมองเห็นผู้อาวุโสเจิ้นเผิง ก่อนจะกล่าวทักทายในทันที “ท่านผู้อาวุโสเจิ้นเผิง มีสิ่งใดให้ข้าช่วยท่านหรือ?”

ขณะที่ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงกำลังจะกล่าว ร่างสีขาวพุ่งออกจากใต้รถม้า

“เหมียวววว!”

เสี่ยวไป่พุ่งไปหาจื่อฉางเหอ กัดขากางเกง และพยายามจะกล่าวบางสิ่ง

“นี่มันลูกเสือลายของเส้าหยุนนี่! ข้ามั่นใจ หลี่เสวียเหมิงเป็นผู้ลักพาตัวเขาไป!” จื่อฉางเหอคำรามทันทีเมื่อพบกับเสี่ยวไป

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset