ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 74 : พี่ฉางเอ๋อ

ผู้ที่เรียกเซี่ยงเส้าหยุนนั้น คือกงฉินหยิน ผู้ที่เขาพบระหว่างเดินทางที่เทือกเขาร้อยอสูร การพบกันครั้งนั้นทำให้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงไม่ลืมความประทับใตที่เคยเผชิญหน้ากัน

ตอนนั้นเอง ที่กงฉินหยินส่งสายตาเยือกเย็น และโกรธเกรี้ยวใส่ ราวกับนางจะเขมือบหัวใครสักคน ขณะขี่อสูรสิงโตหิมะซึ่งเป็นปีศาจชั้นกลาง เมื่อนางเห็นเซี่ยงเส้าหยุนวิ่งหนีไปนั้น นางมั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มคือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือนได้

“เจ้าไม่สามารถหลบหนีจากข้าไปได้ในตำหนักยุทธ์แห่งนี้!” กงฉินหยินตะโกน ก่อนจะยิงลูกศรเข้าใส่

เฟี้ยว!

ลูกศรที่ยิงออกมานั้น ดูจะมีพลังทำลายล้างมากกว่าลูกศรที่นางเคยยิงใส่เขาก่อนหน้า มันพุ่งตรงมาที่ด้านหลังของเซี่ยงเส้าหยุน

“บ้าเอ้ย เจ้าไม่ควรสังหารผู้อื่นขณะที่พบกัน ไม่ใช่หรือไง?” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงลูกศรที่เข้าใกล้ และหลบอย่างรวดเร็ว กงฉินหยินนั้นแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน แม้จะเทียบไม่ได้กับเซี่ยงเส้าหยุนก็ตาม ในความจริงแล้ว ทั้งสองมีระดับยุทธ์ที่เท่ากัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกงฉินหยินที่แม้จะพยายามยิงลูกศรให้โดนเซี่ยงเส้าหยุน แต่ก็ล้มเหลวไปเสียทั้งหมด

เมื่อนางมองเห็นผู้ดูแลตรงเข้ามา นางกล่าวอย่างรรวดเร็ว “ท่านผู้ดูแลที่เคารพ โปรดจับเจ้าคนผิดให้เราด้วย!”

กงฉินหยินเป็นถึงศิษย์ส่วนตัวของเจ้าตำหนัก หยางเกาฉวน และนางต่างครอบครองจุดสูงสุดของตำหนัก จึงทำให้คำของนางนั้นมีน้ำหนักยิ่ง แต่โชคร้าย เมื่อพวกยามคุ้มกันเห็นว่านางพยายามจะจับใคร พวกเขาทั้งหมดต่างหยุดนิ่ง

“ทะ ท่านฉินหยิน ขะ เขาคือเซี่ยงเส้าหยุนนะ! เราไม่สามารถจับกุมเขาได้” เหล่าผู้ดูแลกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“หมายความว่าอย่างไร?” กงฉินหยินถาม ด้วยความสับสน นางไม่อยู่เพียงแค่สามเดือน ดังนั้นนางจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นในตำหนักตลอดสามเดือนนั่น

ผู้ดูแลตอบกลับ “เข้าเป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสจื่อฉางเหอ และยังเป็นผู้มีห้าดวงดาวสถิตร่างเช่นท่าน เขาเพิ่งเข้าร่วมกับทางตำหนักเมื่อสองเดือนก่อน และแม้แต่เจ้าตำหนักเองก็ยังสนใจเขาไม่น้อย ทรัพยากรภายในตำหนักยุทธ์ทั้งหมดนั้นมีไว้สำหรับเพื่อเด็กคนนี้ พวกเราจึงไม่มีอำนาจจับกุมขอรับ”

กงฉินหยินเผยใบหน้าสำนึกเล็กน้อย แต่ไม่ช้านางก็หัวเราะออกมา “เยี่ยมไปเลย ด้วยที่แห่งนี้คือตำหนักยุทธ์ เพราะงั้นเจ้าไม่สามารถหลบหนีจากข้าไปได้”

หลังจากได้ยินคำของผู้ดูแล นางจึงไม่รีบจะสอนบทเรียนแก่เซี่ยงเส้าหยุน นางจึงหยุดไล่ตาม และมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของเจ้าตำหนักแทน เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนพบว่ากงฉินหยินไม่ไล่ตามเขาแล้ว จึงมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ของผู้อาวุโสที่สิบเอ็ด

เด็กสาวผู้ดูดุร้ายเป็นคนของตำหนักยุทธ์ ดูเหมือนจะต้องพบกับปัญหามากมายในภายหน้า เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจ เขาส่ายหัว และโยนเอาปัญหาที่กวนใจทิ้งไว้เบื้องหลัง ด้วยร้องเรียกจากด้านนอกที่พำนัก “ผู้อาวุโสที่สิบเอ็ดอยู่ที่นี่หรือ? เซี่ยงเส้าหยุนขออนุญาติเข้าไปชมด้านในขอรับ”

มีร่างเบาบางเดินออกจากที่พำนัก เป็นเด็กสาวที่ดูงดงาม ใบหน้าที่ดูสวยราวกับดอกไม้บาน ผิวของนางสวยราวกับหยกขาวสะอาด และพลังอันอ่อนเยาว์รายล้อมรอบ นางสวมอาภรณ์ด้วยชุดผ้าไหมหรูหราเผยรูปร่างราวกับนาฬิกาทราย ด้วยมีอายุราวสิบแปดซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางจึงดูต่างกันกับเด็กสาวทั้งหลายในตำหนัก

เมื่อหญิงสาวมองเห็นเซี่ยงเส้าหยุน นางยิ้มอย่างสุภาพ และกล่าว “เจ้าคือคนที่ศิษย์น้องของข้าตกหลุมรัก เซี่ยงเส้าหยุนใช่ไหม? เจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว”

“ท่านช่างรสนิยมดีนัก ศิษย์พี่หญิง ท่านก็ดูงดงามเช่นกัน” เซี่ยงเส้าหยุนยกย่องหญิงสาวผู้นั้นเช่นกัน

“ดูงดงามรึ? เจ้าหมายถึงงดงามแบบใด? ข้ามิได้งดงามไปกว่าศิษย์น้องสาวลู่หรอก ใช่ไหม?” หญิงสาวรำพึงอย่างไม่พอใจ

“เหะ เหะ พวกท่านทั้งสองต่างสวยงามในแบบของตน นางดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ในขณะที่ท่านมีเสน่ห์ชวนมอง!” เซี่ยงเส้าหยุนแสดงความคิดเห็น

“แหม เจ้าช่างสรรหาคำพูด ข้าไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์น้องสาวลู่จะฝันถึงเจ้าแม้ยามหลับ” หญิงสาวกล่าวแกล้งเด็กหนุ่ม

“เช่นนั้นหรือ? ท่านเห็นนางไหม?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม

“ไม่เห็นนะ” หญิงสาวกล่าว เผยใบหน้าเจ้าเล่ห์

“เหตุใดกัน? บาดแผลของนางเลวร้ายมากเลยหรือ?” เซี่ยงเส้าหยุนถามอย่างใจจดใจจ่อ

“นางสบายดี หากเจ้าต้องการจะพบนาง จะต้องตอบสนองความต้องการของข้าเสียก่อน” หญิงสาวกล่าว

“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วความต้องการของท่าน คือสิ่งใด?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม ขณะทำท่าทางสนุกสนาน

“ง่าย ๆ ก็แค่กล่าวชมข้า หากข้ารู้สึกยินดีกับคำเยินยอของเจ้า ข้าจะให้เจ้าเข้าไป” หญิงสาวกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“นี่มันเหมาะสมแล้วหรือ? ท่านนั้นงดงามมากนัก หากข้ากล่าวเชยชมท่านต่อ แม้แต่เทพีฉางเอ๋อบนดวงจันทร์เองก็ต้องซีดเซียวเมื่อเทียบกัน หากเห็นแก่ดวงจันทร์ ข้าว่าควรลืมมันไปเสีย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ

“ฮ่า ฮ่า นี่เจ้าจะกล่าวว่าข้างามกว่าฉางเอ๋อหรือไร?” รอยยิ้มกว้างเผยบนใบหน้าของหญิงสาวเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น

“เหตุใดจะไม่? หากท่านถามข้า ข้าว่าแม้แต่เทพีฉางเอ๋อเองก็งดงามไม่ได้ครึ่งหนึ่งของท่านเสียด้วยซ้ำ ข้าคงใช้เวลาหมดไปถึงแปดชั่วอายุคน จึงได้พานพบท่านวันนี้” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวต่อ ต้องยอมรับว่าฝีปากของเด็กหนุ่มนั้นมีพลังมากกว่ามือของเขาเสียอีก ด้วยเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้หญิงสาวหัวเราะไม่หยุด

“ฉินน้อย เจ้าทำสิ่งใดอยู่? ให้เส้าหยุนเข้ามา” เสียงของผู้อาวุโสที่สิบเอ็ดดังขึ้นจากภายในที่พำนัก หญิงสาวหยุดหัวเราะทันที และกระซิบกับเซี่ยงเส้าหยุน “เอาล่ะ เจ้าผ่าน เข้าไปข้างในเสีย จงจดจำเอาไว้ ข้าเป็นศิษย์พี่หญิงนาม เฉินฉิน”

“ท่านกล่าวผิดแล้ว ต้องเป็นศิษย์พี่ฉางเอ๋อสิ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว

“ข้าไม่แปลกใจเลยทำไมศิษย์น้องลู่จึงตกหลุมรักเจ้าเช่นนี้ ข้าต้องห้ามปราบให้นางอยู่ห่างจากเจ้าเสียแล้ว เจ้าเป็นคนพูดจากะล่อนเกินไป!” เฉินฉินกล่าว ดูเหมือนนางจะชื่นชม และตักเตือนเขาในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน

เซี่ยงเส้าหยุนเผยรอยยิ้มก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อถึงที่สวน เขากับเหอหยิงฮวาเดินออกจากที่พำนักเช่นกัน เมื่อนางเห็นเซี่ยเส้าหยุนจึงยิ้ม และกล่าว “เข้ามา และนั่งก่อนเถิด เส้าหยุน”

ศิษย์ทั่วไปจะไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้อาวุโสเช่นนี้แน่นอน พวกเขาปฏิบัติเช่นนี้ต่อเซี่ยงเส้าหยุนเท่านั้น

“คำนับ ผู้อาวุโสเหอ” เซี่ยงเส้าหยุนคำนับอย่างสุภาพ

“เจ้าช่างสุภาพนัก ข้ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับศิษย์พี่ของเจ้า หากไม่ดูถูกจนเกินไป โปรดเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิง” เหอหยิงฮัวกล่าวอย่างกระตือรือร้น เมื่อเฉินฉินได้ยินเช่นนั้น นางเดินโซซัดโซเซ และแทบจะเอาหน้ามุดลงกับพื้น นั่นทำให้เหอหยินฮวาส่งสายตาไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าจึงซุ่มซ่ามเช่นนี้?”

“มะ ไม่มีสิ่งใด ท่านอาจารย์ ขะ ข้าลืมมองที่พื้น” เฉินฉินกล่าวอย่างรวดเร็ว นางตะโกนเข้าไปด้านใน ‘เด็กหนุ่มเรียกอาจารย์ของตนว่าศิษย์พี่ ความอาวุโสจะนั้นจะไม่เป็นปัญหาหรือเมื่อเขาแต่งงานกับศิษย์น้องลู่ในอนาคต? โอ้พระคุณเจ้า!’

ควรยอมรับว่าเฉินฉินนั้นมีจินตนาการอันกว้างไกล

“ขอบคุณต่อความกรุณาที่ท่านแสดงต่อข้า ท่าน—ศิษย์พี่หญิงเหอ แล้วลู่เสี่ยวฉิงล่ะ?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม

“นางปลอดภัยดี เจ้าจะพบนางที่ด้านใน” เหอหยินฮวากล่าวก่อนจะบอกให้เฉินฉินพาตัวเด็กหนุ่มไปหาลู่เสี่ยวฉิง เซี่ยงเส้าหยุนมิอาจทราบได้เลยว่า การมาเยี่ยมเยียนลู่เสี่ยวฉิงจะต้องมาพานพบกับสถานการณ์เช่นนี้

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset