ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 124 เสี่ยวเสวียนจื่อ เชิญเจ้าไปก่อนแล้วกัน

ท่าทางที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอของเจียงหลีนั้น ช่างน่ารักเสียจริง

 

 

แววตาแวววาวดั่งเครื่องแก้วของลู่เจี้ย มีความอ่อนโยนที่สังเกตได้ยากผุดขึ้นมา ขณะที่นางกำลังเฝ้าคอยคำตอบอยู่นั้น เขาก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

“เยี่ยมเลย!” ได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว ดวงตาที่สดใสของเจียงหลี ก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี

 

 

ในขณะเดียวกัน นางก็แอบประหลาดใจอยู่เงียบๆ ลู่เจี้ยไม่มีผู้ใดแนะนำ ค้นหาวิธีการบำเพ็ญเป็นเนี่ยนซือที่ยากที่สุดนี้ได้ด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะบรรลุถึงขั้นเนี่ยนจงได้ขณะอายุยังน้อยเช่นนี้ หากเขาสามารถฝึกฝนเป็นหลิงซือได้ พรสวรรค์ของเขาจะน่ากลัวเพียงใด

 

 

“ข้าจะตั้งค่ายกลให้เจ้าเดี๋ยวนี้” ลู่เจี้ยเอ่ยปาก

 

 

เจียงหลีพยักหน้า เอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านคิดจะปกปิดไปอีกนานเท่าไร”

 

 

ขณะเดียวกัน ก็เอ่ยถามอย่างกังวล “เนี่ยนจงหรือหลิงจงและขั้นที่สูงกว่าของราชวงศ์โฮ่วจิ้นมีมากหรือไม่”

 

 

“ไม่มากนัก” ลู่เจี้ยส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

ขณะที่พูดไป เขาก็ยกมือขึ้น ให้เจียงหลีได้เห็นพลังโปร่งใสที่พันรอบนิ้วมืออันเรียวยาวของเขา ไม่เหมือนกับพลังวิญญาณเลยสักนิด

 

 

“ในโฮ่วจิ้นหรือทั้งพื้นที่ทางใต้นี้ ผู้มีเจ็ดเนตรญาณก็นับว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ประทานแล้ว แต่หากจะมองการณ์ไกล เจ็ดเนตรญาณยังไม่ถือว่าเป็นขั้นสุด หลีเอ๋อร์ ข้าจะตั้งค่ายกลสองชั้นบนกายเจ้า ชั้นแรก ปกปิดเนตรญาณของเจ้าสองดวง ชั้นที่สอง ปกปิดอีกหนึ่งเนตรญาณของเจ้า” เสียงลู่เจี้ยค่อยๆ กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย บ่นพึมพำ “ทำไมถึงได้ยุ่งยากเพียงนี้”

 

 

ลู่เจี้ยกลับหัวเราะออกมา พลังความคิดรอบกายเขา ค่อยๆ กลายเป็นลวดลายอันน่าค้นหา ลวดลายเหล่านั้นเหมือนว่ารวบรวมพลังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ประกอบกลายเป็นกงล้อ ปกคลุมพวกเขาทั้งสองไว้ภายใน

 

 

เจียงหลีรู้สึกว่าพลังจิตของลู่เจี้ยนั้นตกกระทบลงมาบนร่างกายนาง ไม่ได้มีความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร แต่กลับเหมือนดั่งได้แช่อยู่ในน้ำพุร้อน ความอบอุ่นกระจายไปทั่วร่าง สบายตัวยิ่งนัก

 

 

ทันใดนั้น เจียงหลีก็นึกขึ้นได้ และมองลู่เจี้ยอย่างตกใจ เขาช่างเจ้าเล่ห์นัก! ทำไมลู่เจี้ยถึงได้ทำเรื่องให้ยุ่งยาก จะต้องตั้งค่ายกลสองชั้นกัน

 

 

แน่นอนว่าเพื่อเป็นการทำให้ทุกคนเกิดความสับสน!

 

 

เนื่องจาก โดยปกติแล้ว แปดเนตรญาณก็เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้านี้อกสั่นขวัญแขวนกันได้แล้ว ค่ายกลชั้นแรกของนาง เพื่อใช้ปกปิดสองเนตรญาณ ในสายตาคนนอก นางก็คือผู้มีเนตรญาณเจ็ดดวง แต่หากประสบพบเจอยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง หรือในสถานการณ์จำเป็น ค่ายกลชั้นแรกของนางถูกคนมองทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนั้นผู้อื่นก็เห็นเพียงเนตรญาณแปดดวงของนางเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งเก้าเนตรญาณ

 

 

เมื่อค่ายกลชั้นแรกถูกคนมองจนทะลุปรุโปร่ง ตามหลักแล้ว ทุกคนจะไม่นึกว่านางยังมีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่ แล้วจะตัดสินไปว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของนางคือแปดเนตรญาณ

 

 

จะมีใครรู้ได้ว่า นางไม่ได้มีแปดเนตรญาณ แต่เป็นเก้าเนตรญาณกันเล่า

 

 

กล่าวได้ว่า การจัดแจงของลู่เจี้ยนี้ ช่างเข้าใจนิสัยธาตุแท้ของมนุษย์ได้อย่างถ่องแท้เสียจริง แล้วยังใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาปกป้องนางได้อย่างดีอีก

 

 

เจียงหลีประหลาดใจในความชาญฉลาดของชายหนุ่มไม่น้อย ขณะเดียวกันก็แอบกล่าวอยู่ในใจว่า ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เสียดายที่เจ้าไม่รู้ว่าข้าไม่ใช่เก้าเนตรญาณ แต่เป็นสิบเนตรญาณที่แม้แต่ตำนานยังไม่เคยกล่าวถึง! สำหรับเนตรญาณที่สิบนั้น เจียงหลีไม่กังวลนัก เนื่องจากสีสันของมันแตกต่าง อีกทั้งยังไม่โดดเด่นนัก ขนาดลู่เจี้ยยังไม่รู้ คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร

 

 

เจียงหลีไม่รู้ว่าในใจนางนั้นได้ยอมรับความสามารถและความเก่งกาจของลู่เจี้ยไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

 

 

 

 

หลังจากที่ลู่เจี้ยตั้งค่ายกลได้ไม่กี่วัน เจียงหลีและลู่เสวียนก็เดินทางไปรายงานตัวที่สถานบันไป๋หยวนโดยการคุ้มกันของยอดฝีมือในจวนอ๋องลู่

 

 

การสอบเข้าในครั้งที่แล้ว ทำอึกทึกคึกโครมเพียงนั้น เพื่อเป็นการชดเชยให้กับจวนอ๋องลู่ สถาบันไป๋หยวนก็ได้ให้สิทธิพิเศษในการสอบเข้าแก่ทั้งสอง

 

 

ฉะนั้น การเข้าสถาบันไป๋หยวนในครั้งนี้ พวกเขานั้นมิใช่สถานะผู้เตรียมสอบ แต่เป็นศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนอย่างแท้จริง

 

 

“หลียาโถ่ว ในที่สุดเราก็ได้เข้าสถาบันไป๋หยวนนี้แล้ว” เพิ่งจะก้าวเข้าประตูเขาของสถาบันไป๋หยวน ลู่เสวียนก็โล่งใจ

 

 

มองดูสายตาที่ทอดถอนใจของเขาแล้ว เจียงหลีก็ขมวดคิ้ว

 

 

ในความทรงจำดั้งเดิมนั้น ผุดรูปลักษณ์ของเจียงจิ่งขึ้นมา พี่ชายของนาง มีความกระตือรือร้นต่อสถาบันไป๋หยวนนี้เข้าขั้นบ้าคลั่ง การสอบเข้าสถาบันไป๋หยวนเป็นเป้าหมายชีวิตของเขา

 

 

เจียงจิ่งไม่อยู่ในสถาบันไป๋หยวนจริงหรือ เจียงหลีถามตนเองในใจ หากเขาไม่ได้อยู่ในสถาบันไป๋หยวน เช่นนั้นเมืองซั่งตูอันกว้างใหญ่นี้ เขาไปอยู่ที่ไหนกัน

 

 

“โอโห! หลียาโถ่วพวกเรารีบไปกันเถิด มิเช่นนั้นจะสายแล้ว” เสียงรีบร้อนขึ้นมากระทันหันของลู่เสวียน ขัดจังหวะความคิดของเจียงหลีลง

 

 

นางมองหนุ่มน้อยที่ร่าเริ่งคนนี้ด้วยหน้าตามึนงง บนใบหน้านั้นเขียนคำว่าได้โปรดอธิบายด้วยเต็มไปหมด

 

 

“การแข่งขันจัดอันดับของเด็กใหม่เริ่มขึ้นแล้ว เราต้องรีบไป มิเช่นนั้นจะเสียเปรียบเอาได้” ลู่เสวียนรีบอธิบาย

 

 

การแข่งขันจัดอันดับเด็กใหม่หรือ เจียงหลียังคงมึนงง

 

 

แต่ทว่า ก็ยังเดินตามลู่เสวียนไปยังด้านในของสถาบันไป๋หยวน

 

 

“เห็นท่าทางไม่เข้าใจอะไรของเจ้าแล้ว ข้าก็จะอธิบายให้เจ้าฟังด้วยความหวังดีแล้วกัน การแข่งขันจัดอันดับเด็กใหม่เป็นธรรมเนียมของสถาบันไป๋หยวน ในเดือนแรกของการรับเด็กใหม่ในทุกๆ ครั้ง ก็จะจัดตั้งสนามประลองขึ้น เด็กใหม่ทุกคนสามารถเลือกท้าประลองได้ตามอัธยาศัย นับคะแนนตามจำนวนครั้งที่ชนะ สุดท้ายผู้ที่มีคะแนนรวมสูงสุดสิบคน ก็จะมีโอกาสคำนับฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ็ดวีรบุรุษได้ กระโดดข้ามขั้นเป็นผู้นำลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวน”

 

 

คำอธิบายของลู่เสวียน ทำให้เจียงหลีเข้าใจในทันที

 

 

สามารถฝากตัวเป็นศิษย์ของเจ็ดวีรบุรุษได้ เจ็ดวีรบุรุษนั้นล้วนเป็นหลิงไซว่ทั้งสิ้น บรรยากาศการแข่งขันถึงได้อึกทึกเช่นนี้

 

 

“พวกเราต้องอยู่รักษาบาดแผล ส่งผลให้ต้องมารายงานตัวช้าตั้งหลายวัน ตอนนี้คะแนนสะสมของคนอื่นนั้นคงจะไม่น้อยกันแล้ว เราต้องรีบแล้วล่ะ” ลู่เสวียนกล่าวอย่างรีบร้อน ฝีเท้าก็เร็วรี่ยิ่งขึ้น

 

 

คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีคึกยิ่งนัก นางก็เร่งความเร็วตามเขาไป

 

 

เสียงโหวกเหวกคึกคักค่อยๆ ลอยมาจากที่ไกล

 

 

ลู่เสวียนพาเจียงหลีมาหน้าสนามประลอง เบียดตัวเข้าไปในฝูงชนที่มุงดูอยู่

 

 

การแข่งขันจัดอันดับของเด็กใหม่นั้นมีสนามประลองสิบสนาม แต่ละสนามประลองนั้นก็กำลังต่อสู้แข่งขันกันอยู่ บนสนามสู้กันอย่างดุเดือด ฝูงคนล่างสนามก็ดูกันอย่างสนุกสนาน

 

 

ผู้ชมด้านล่างสนามประลองเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงแต่เด็กใหม่เท่านั้น แต่มีศิษย์ปัจจุบันอยู่ด้วยไม่น้อย

 

 

“ลู่…อ้าว?” เดิมทีเจียงหลีจะถามอะไรลู่เสวียนเสียหน่อย แต่จู่ๆ ก็พบว่าเจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว

 

 

สายตากวาดผู้คนในฝูงชนอย่างว่องไว เจียงหลีถึงได้เห็นเงาลู่เสวียนเบียดอยู่หน้าป้ายประกาศ

 

 

นางเดินเข้าไป ยืนข้างลู่เสวียน “นี่คืออะไรหรือ”

 

 

“ป้ายคะแนน เจ้าดูสิตอนนี้คนที่มีคะแนนสะสมสิบอันดับแรกคะแนนสูงมากแล้ว!” ลู่เสวียนกัดฟันกล่าว ดูท่าทางของเขาแล้ว เหมือนจะใส่ใจการเป็นศิษย์ของเจ็ดวีรบุรุษเป็นอย่างมาก

 

 

เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมอง คนที่มีคะแนนสะสมสิบอันดับแรก คะแนนต่ำสุดก็ร้อยกว่าคะแนนแล้ว คะแนนสูงสุด…

 

 

สายตาเจียงหลีค้างชะงัก นางเห็นชื่อหนึ่งที่นางคุ้นเคย

 

 

ไป๋หลี่เฟิ่ง!

 

 

ไป๋หลี่เฟิ่งก็มาสถาบันไป๋หยวน อีกทั้งยังมีคะแนนถึงสี่ร้อยยี่สิบคะแนนในการแข่งขันจัดอันดับเด็กใหม่

 

 

“หากเอาชนะได้หนึ่งสนาม จะบวกเพิ่มสิบคะแนน แต่ทว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง ก็คือท้าประลองคนที่มีคะแนนนำสิบอันดับแรกในขณะนี้ เมื่อชนะแล้ว ก็สามารถเอาคะแนนในตอนนี้ของพวกเขามาเป็นของตนได้” ลู่เสวียนสายตาครุ่นคิดกล่าวพึมพำ เหมือนว่ามีความคิดจะทำอะไร

 

 

เจียงหลีได้ยินดังนั้น กลอกตาหัวเราะ “เสี่ยวเสวียนจื่อ เชิญเจ้าไปก่อนแล้วกัน”

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset