หลังจากที่เจียงหลีกล่าวจบ สายตาของนางเป็นประกาย เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามเป็นอย่างยิ่งของลู่เจี้ยหัวเราะออกมาในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่า การตอบกลับของเจียงหลีเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
“เดิมพันหรือ” เย่ว์ชิงหลิวหัวเราะแบบเย็นชา “เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรอย่างนั้นหรือ”
เจียงหลีก็หัวเราะ “ข้าเพียงถามว่าเจ้ากล้าหรือไม่”
“เจ้าจะเดิมพันด้วยสิ่งใด” เย่ว์ชิงหลิวขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นชา ท่าทีที่เย่อหยิ่งของเจียงหลี ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด เขาไม่รู้ว่าระหว่างนั้นได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างจึงทำให้หญิงสาวที่มีนิสัยชอบเก็บตัวแถมยังขี้ขลาดกลายเป็นคนแข็งกระด้างขึ้นมาได้ หรือว่าการเปลี่ยนที่อยู่ จะทำให้คนหนึ่งสามารถมีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้จริงๆ คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เย่ว์ชิงหลิวมองว่าที่เจียงหลีต่างไปจากเดิม เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเปลี่ยนที่อาศัย
“ที่เจ้ามาที่นี่ เพียงเพราะว่ารู้สึกเสียหน้าที่ตระกูลเย่ว์ของเจ้าถูกสาวใช้ยกเลิกพิธีแต่งงาน เช่นนั้น ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ข้าจะท้าทายกับเย่ว์หนานซีอย่างซึ่งๆ หน้า ถ้าหากเขาแพ้ ข้าไม่ขออะไรมากไปกว่าให้เขาประกาศเสียงดังต่อหน้าทุกคนว่าเขาไม่เหมาะสมกับข้า”
“แล้วถ้าเจ้าแพ้ล่ะ” เย่ว์ชิงหลิวพูดพลันกัดฟันกรอด
ลูกชายเขาจะแพ้อย่างนั้นหรือ
เจียงหลี ผู้ที่ไม่เคยได้ยินว่ามีเนตรญาณใด ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่าตอนที่นางยังเด็ก พิธีปลุกเนตรญาณก็ล้วนแต่ล้มเหลวเสมอ เหตุไฉนจึงได้มีความมั่นใจเช่นนี้
“ถ้าหากว่าข้าแพ้ ก็เช่นเดียวกัน ข้าจะประกาศแก่ทุกคนทั่วเมืองซูหนานว่าเป็นเพราะข้าเจียงหลีไม่เหมาะสมกับลูกชายตระกูลเย่ว์ที่มีพรสวรรค์อย่างเย่ว์หนานซี เกรงว่าจะเป็นการเสียเวลาเขา จึงได้ยกเลิกพิธีแต่งงาน” เจียงหลีกล่าวด้วยความภาคภูมิ
ท่าทีที่ตรงไปตรงมาของนาง ทำให้คนทั้งสามจากตระกูลเย่ว์สงบลง
ถ้าหากว่าเจียงหลีมีท่าทีลังเล หรือแสดงความหวาดกลัวออกมา พวกเขาจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่า นางกลับแสดงออกตรงไปตรงมาเช่นนี้ และดูมีความภาคภูมิใจ ทำให้หัวใจพวกเขาทั้งสามขึ้นลงไม่สามารถตัดสินใจได้ ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตาในความเงียบ
เย่ว์คงเอ่ยถาม “การเดิมพันครั้งนี้ ตระกูลลู่จะยอมรับผลการตัดสินได้ไหม ”
นี่ เป็นการถามความคิดของลู่เจี้ย และตระกูลลู่ด้วย
ลู่เจี้ยหัวเราะ “ขอเพียงแค่ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ ที่เหลือแพ้ชนะให้ฟ้าตัดสิน”
เย่ว์คงคลายกังวล มองไปยังเย่ว์ชิงหลิวที่ค่อยๆ พยักหน้า แต่เย่ว์ชิงหลิวยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ถามอีกว่า “เดิมพันน่ะทำได้ แต่ต้องมีการกำหนดเวลา ไม่เช่นนั้น ถ้าเจ้าเลื่อนไปอีก จะทำเช่นใด”
“ถ้าเช่นนั้นก็กำหนดเป็นสามเดือนนับจากนี้” ลู่เจี้ยกล่าวขึ้นมาในทันใด
สามเดือนนับจากนี้หรือ
เจียงหลีมองไปที่ชายผู้นี้ หลังจากที่เย่ว์หนานซีปลุกเนตรญาณ ก็เริ่มต้นฝึกฝน จนตอนนี้อายุสิบหกปี นับเป็นระยะเวลาเกือบสิบปี เพิ่งได้เป็นหลิงซื่อระดับห้า แต่นี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ของเมืองซูหนานแล้ว นางเพิ่งจะเบิกเนตรญาณ แต่มีเวลาฝึกฝนเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น
ไม่ว่าจะคิดคำนวณเช่นไร เจียงหลีก็ยังรู้สึกว่าชายคนนี้กำลังขุดหลุมพรางให้นาง แต่ทว่านางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ และนางก็ไม่กลัวความยากลำบากด้วย
สามเดือน ก็สามเดือน!
นางไม่เชื่อหรอกว่าเวลาในการฝึกฝนสามเดือนของนางจะไม่สามารถเอาชนะชายที่ไม่เอาไหนได้
“ยอดเยี่ยม งั้นก็สามเดือนนับจากนี้” หลังจากที่เจียงหลีมีคำตอบในใจ ก็เงยคางที่เล็กและแหลมขึ้น กล่าวต่อคนทั้งสามของตระกูลเย่ว์
สามเดือน เป็นช่วงเวลาจัดงานประลองชิงเจียวพอดี นั่นเป็นช่วงเวลาดีที่เทียนเจียวผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลเย่ว์อย่างเย่ว์หนานซีจะได้กระจายชื่อเสียง ก็ดี ใช้โอกาสวันนั้น จัดการเรื่องน่าชังนี้ให้เสร็จสิ้น
เย่ว์ชิงหลิวก็มีคำตอบในใจแล้ว เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดีล่ะ สามเดือนนับจากนี้แล้วกัน หลังจากสามเดือน หนานซีลูกชายข้าจะเข้าร่วมงานประลองชิงเจียว เจียงหลี หนานซีจะรอเจ้าในวันงานประลองชิงเจียว ก็ต้องดูว่าเจ้าจะโชคดีและชีวิตเดินไปอยู่ต่อหน้าลูกชายข้าได้หรือไม่”
เจียงหลีขมวดคิ้วเบาๆ ค่อยๆ ค้นหาข้อมูลของงานประลองชิงเจียวจากความทรงจำ
“นายน้อยลู่ เรื่องนี้ก็ได้กำหนดเสร็จแล้ว พวกข้าขอตัวก่อน แต่ทว่า นายน้อยลู่ ข้าหวังว่าท่านจะรับปากข้าสักเรื่อง” เย่ว์ชิงหลิวกล่าวแก่นายน้อยลู่
“ท่านว่ามาเถิด” ลู่เจี้ยกล่าวเบาๆ
เย่ว์ชิงหลิวมองเจียงหลีด้วยสายตาที่ดุเดือด “ถ้าเจียงหลีแพ้ ขอให้ส่งตัวนางกลับให้ตระกูลเย่ว์”
เจียงหลีเหล่ตามอง เย้ยหยันในใจ ตาแก่นี่ เหมือนกับตัดสินไปแล้วว่านางจะแพ้!
“เช่นนี้ ท่านก็ได้วางเดิมพันเพิ่มแล้ว ก็ได้ หากเย่ว์หนานซีแพ้ ท่านก็ต้องนำผลผลิตครึ่งหนึ่งของตระกูลเย่ว์ มอบให้แก่ข้า” ลู่เจี้ยกล่าวด้วยวาจาสุขุม
หึ!
ผลผลิตครึ่งหนึ่งของตระกูลเย่ว์อย่างนั้นหรือ เย่ว์คงกับเย่ว์เซิงใจหายวาบ
เย่ว์ชิงหลิวตอบกลัยอย่างมั่นใจ “ตกลงตามนี้”
ลู่เจี้ยหัวเราะ รอยยิ้มที่งดงามนี้ทำให้ทั้งสามจากตระกูลเย่ว์มึนงง จนไม่รู้จะออกจากจวนตระกูลลู่มาได้อย่างไร
หลังจากที่ออกจากจวน เย่ว์คงเพิ่งได้สติ กล่าวแก่เย่ว์ชิงหลิว “นายท่าน การเดิมพันครั้งนี้ มันเสี่ยงเกินไปหรือไม่”
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ท่านคิดว่านังเด็กเจียงหลีจะชนะหนานซีได้จริงอย่างนั้นหรือ” เย่ว์ชิงหลิวกล่าวแบบไม่เห็นด้วย พวกเขาเชื่อในความสามารถของเย่ว์หนานซีอยู่แล้ว
“กลับกันเถิด สามเดือนนับจากนี้ หนานซีจะชำระความอัปยศในวันนี้ให้แก่ตระกูลเย่ว์ของพวกเรา” เย่ว์ชิงหลิวจากไปด้วยความกริ้ว
…
“ท่านหลอกใช้ข้าหรือ” เจียงหลีถามลู่เจี้ย หลังจากคนทั้งสามจากตระกูลเย่ว์กลับ
ลู่เจี้ยยิ้มอ่อน “พูดเหมือนว่าเจ้าชนะแล้วอย่างนั้นแหละ”
เจียงหลียิ้มอย่างไม่แยแส
นางไม่มีทางแพ้เด็ดขาด!
นางไม่ได้มั่นใจเกินกว่าเหตุ แต่ว่านางมีความเชื่อมั่นในตัวเอง! ใครว่าแค่มีระดับสูง แล้วจะชนะหรือ การจะชนะใครคนหนึ่งได้มันมีวิธีที่มากมาย เด็กน้อยที่ใฝ่สูงอย่างเย่ว์หนานซี ทำไมนางจะโค่นลงไม่ได้เล่า
“ในเมื่อท่านต้องการผลผลิตของตระกูลเย่ว์ ทำไมไม่ถือโอกาสนี้ช่วงชิงมาทั้งหมดล่ะ”
“ผลผลิตของตระกูลเย่ว์มีเพียงครึ่งเดียวที่ใช้ประโยชน์ได้ แล้วข้าจะเอามาทำไมเล่า ยิ่งกว่านั้น ถ้าตระกูลเย่ว์สูญเสียผลผลิตไปครึ่งหนึ่ง ก็จะมีคนมาทับถมทันที แล้วเหตุใดข้าต้องไปเป็นคนเลวให้เสียชื่อด้วยเล่า” ลู่เจี้ยพูดพรางหัวเราะ
ท่าทางของเขาเช่นนี้ ทำให้เจียงหลีรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นสุนัขจิ้งจอก
เขาคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าเย่ว์ชิงหลิวจะเชื่อว่าเย่ว์หนานซีต้องชนะ ไม่เต็มใจที่ปล่อยนางไป ดังนั้นตอนที่เขาเพิ่มเดิมพัน ทำทีเรียกร้องขอผลผลิตครึ่งหนึ่งของตระกูลเย่ว์
เย่ว์ชิงหลิวไม่คิดด้วยซ้ำว่าเย่ว์หนานซีจะแพ้ แล้วจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร
นี่เป็นกับดักที่เขาวางไว้
“เจ้าไปเถอะ เวลาสามเดือน ไม่ถือว่านาน พรุ่งนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง” ลู่เจี้ยโบกมือให้เจียงหลี เพื่อให้นางกลับไป
เจียงหลีจากไป และผู้อารักขาคนนั้นก็เดินตามหลังนางไป
หลังจากจากไป นางเพิ่งสบโอกาสถาม “เหตุใดท่านถึงมาเป็นผู้อารักขาของข้าได้”
“คุณหนู ข้าน้อยหม่าหยวนจย่า เป็นผู้อารักขาระดับสามของจวนตระกูลลู่ สัญญาด้วยชีวิตของข้า นับจากนี้จะขอติดตามคุณหนู คอยรับคำสั่งของท่าน”
“ผู้อารักขาระดับสามงั้นหรือ” เจียงหลีกระซิบ แล้วเหตุใดลู่เจี้ยถึงได้มอบหมายให้หม่าหยวนจย่ามาติดตามข้า นางคิด น่าจะเป็นเพราะต้องการสอดส่องนาง
“ใช่ขอรับ คุณหนู ภายในจวนลู่มีผู้อารักขาทั้งหมดหกระดับ ระดับที่หนึ่งแข็งแกร่งที่สุด ล้วนแต่เป็นผู้อยู่ในระดับหลิงเจี้ยง และเป็นผู้อารักขาประจำตัวของตระกูลลู่ ที่เหลือจะอยู่ในระดับหลิงซื่อ ก็จะมีระดับมากน้อยต่างกัน พวกข้าเหล่าผู้อารักขา ส่วนมากจะเบิกเนตรญาณไปแค่สามดวง พรสวรรค์ไม่มากนัก นอกเสียแต่ผู้อารักขาประจำตระกูล” หม่าหยวนจย่าอธิบายอย่างใจเย็น
เจียงหลีพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรอีก เนื่องจากนางยังไม่เชื่อใจหม่าหนวนจย่า จึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้มาก “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรข้าค่อยเรียกเจ้า”