ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 192 ข้าต้องการให้โฮ่วจิ้นล่มสลาย

อวี้เฉิน! “เจียงหลีหรี่ตาลงและพยายามที่จะจับเขากลับมา  

 

 

แต่ทว่า อวี้ซูได้จับเสื้อของนางไว้แน่นไม่ปล่อยให้นางออกตัวไปได้  

 

 

เจียงหลีหันสายตามองไปที่นาง  

 

 

ใบหน้าเล็กๆ เริ่มซีดจางของอวี้ซูกำลังเครียดเขม็ง เนื่องจากการกลั้นน้ำตาของนาง ปากก็พลอยสั่นไปด้วย “แม่นาง ปล่อยให้เขาไปเถอะ นี่เป็นสิ่งที่พวกข้าจะต้องทำอยู่แล้ว”  

 

 

เจียงหลีกัดฟันแน่นและจ้องไปที่นาง พร้อมกับถามนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ถ้าเขาไปมันจะหมายความว่าอย่างไร”  

 

 

อวี้ซูหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ข้ารู้ ถ้าหากสามารถตายแทนแม่นางได้ก็คุ้มแล้ว”  

 

 

“ปล่อยข้า เขาไม่จำเป็นต้องตายด้วยซ้ำ” เจียงหลีพูดเสียงแข็ง  

 

 

อวี้ซูส่ายหัวอย่างสุดความสามารถ “แม่นาง รีบหนีไปเถอะ อย่าทำให้น้ำใจของอวี้เฉินนั้นเสียเปล่าเลย”  

 

 

คำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ก็ได้ยินเสียงตะโกนของอวี้เฉิน ที่กำลังดึงดูดความสนใจของเหล่าทหารจากระยะไกล “ข้าอยู่นี่! พวกเจ้าเข้ามาสิ!”  

 

 

เจียงหลีสัมผัสได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นเทาของอวี้ซูได้อย่างชัดเจน  

 

 

แต่ทว่า หญิงสาวที่แข็งแกร่งผู้นี้ ก็ได้ลากนางไปทางเข้าสู่ภูเขาอย่างรวดเร็ว   

 

 

ข้าเป็นเพียงบุคคลที่มาเยือนโลกนี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่เจียงหลีตัวจริง…  เจียงหลีที่กำลังถูกอวี้ซูจับมือวิ่งหนีอยู่นั้น ได้พูดความในใจออกมา  

 

 

แต่ก่อน นางมองโลกนี้ราวกำลังดูละครอยู่ตลอดเวลา จุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวของนางก็คือการกลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นค่อยหาทางออกจากที่นี่  

 

 

แม้กระทั่ง เรื่องหายนะในอีกสามร้อยปีต่อมาที่วิญญาณตนนั้นพูดถึง นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย  

 

 

แต่ทว่า เพราะเหตุใดกัน ทั้งๆ ที่นางเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังมีคนอื่นที่คอยเสียสละเพื่อนางอยู่เสมอ  

 

 

การปกป้องจากลู่เจี้ย การดูแลเอาใจใส่ของเจียงเฮ่าแล้วก็ลู่เสวียน อวี้ซู อวี้เฉิน…ถ้าหากว่าการดูแลเอาใจใส่ของเจียงเฮ่า เป็นเหมือนเพียงความรักที่มีต่อน้องสาวนั้น แล้วลู่เจี้ยล่ะ เขารู้แต่ต้นอยู่แล้วว่าตนไม่ใช่เจียงหลีตัวจริง เจียงหลีที่ลู่เสวียนพวกเขารู้จัก ก็เป็นตัวนางเอง!  

 

 

โลกนี้ช่าง…โลกนี้ช่าง…  

 

 

ถ้าหากมีคนเสียสละเพื่อนาง สามารถทำเพื่อนางได้โดยไม่ห่วงอะไรเลยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนางก็จะไม่สามารถแยกออกจากโลกนี้ได้อย่างสิ้นเชิง  

 

 

อ้ากก!  

 

 

เสียงกรีดร้องจากทางด้านหลัง ทำให้อวี้ซูสะดุ้งและหยุดอยู่กับที่   

 

 

เจียงหลีเองก็หยุดตามการเคลื่อนไหวของนาง  

 

 

นางมองไปที่หญิงสาวที่กำลังหันหลังให้นางอยู่นั้น ก็เห็นถึงไหล่ทั้งสองของนางที่กำลังสั่นอยู่  

 

 

“ไปซะ!” เสียงของอวี้ซูลอยมา นางไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง จับมือเจียงหลีวิ่งต่อไป เมื่อจดจ่ออยู่กับแผ่นหลังบางๆ ของหญิงสาวผู้นี้ เจียงหลีก็รู้สึกถึงลำคอที่เหมือนถูกปิดกั้นไว้ของนาง จมูกที่เริ่มตันและดวงตาที่เริ่มเจ็บและไม่สบายของนาง  

 

 

เสียงร้องของอวี้เฉินค่อยๆ หายไป   

 

 

เสียงเย้ยหยันของเหล่าทหารพวกนั้น ก็ค่อยๆ ห่างไกลออกจากใบหูของเจียงหลี  

 

 

อวี้เฉินดึงดูดความสนใจของเหล่าทหารได้สำเร็จ ส่วนอวี้ซูก็วิ่งต่อไปโดยไม่ห่วงใดๆ ทั้งสิ้นและพานางเข้าสู่ภูเขาลูกนั้นได้สำเร็จ  

 

 

หลังจากเข้าไปยังภูเขาแล้ว เจียงหลีก็ได้สะบัดมือของอวี้ซูออก และหันตัวกลับแล้ววิ่งไปยังยอดภูเขาลูกหนึ่ง  

 

 

“แม่นาง!” อวี้ซูตกใจพร้อมกันหันกลับและวิ่งตามหลังเจียงหลีไป  

 

 

เจียงหลีว่องไวมากราวกับสายลมในป่าเขา ใบหน้าอันเล็กของนางยังคงเคร่งเครียดอยู่ ศักดิ์ศรีที่นางไม่เคยคิดถึงมาก่อนค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของนาง   

 

 

อวี้เฉินนั้น ช่วยไว้ไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน  

 

 

แต่นางต้องไปเห็นสภาพของอวี้เฉินครั้งสุดท้ายด้วยตาของนางเอง!  

 

 

เจียงหลีได้หมอบลงบนยอดเขา ใช้กายภาพของภูเขาปิดบังร่างกายของนางไว้ ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นสถานการณ์นอกภูเขานั้นได้  

 

 

ที่ตรงนั่น มีเหล่าทหารกำลังขี่ม้าวนรอบๆ ที่เดิม ธุลีที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้ตาของนางพร่ามัว  

 

 

อวี้เฉินล่ะ  เจียงหลีพยายามมองหา  

 

 

ในเวลานี้อวี้ซูก็ได้วิ่งไปถึงข้างนาง แล้วก็ได้หมอบลงกับภูเขาเช่นเดียวกับนาง มองไปที่นอกเส้นทางของป่าเขา  

 

 

ขณะนี้เหล่าทหารที่อยู่ตรงเส้นทางนอกป่าเขาค่อยๆ ออกไป ผงฝุ่นที่ฟุ้งก็ค่อยๆ จางหายไป มีร่างที่เปื้อนเลือดอยู่ตรงพื้นร่างหนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง  

 

 

ฮือ…  เมื่อเห็นร่างที่เปื้อนเลือดตรงพื้นนั้นอย่างชัดเจนแล้ว อวี้ซูก็เอามือทั้งสองข้างปิดปากของตนเอง เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้ของตนดังออกมา  

 

 

แต่ทว่า น้ำตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้น ก็ยังไหล่ออกจากดวงตาทั้งสองข้างของนาง   

 

 

สารเลว!  

 

 

สายตาของเจียงหลีแหลมคมรางกับมีด และกัดฟันแน่น ควบคุมความโกรธของตนเองที่กำลังจะปะทุออกมา  

 

 

เหล่าทหารพวกนั้น ขี่ม้าและเหยียบย่ำศพไม่หยุดหย่อน มือที่ถือไม้แส้ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ อีกทั้งยังทำเหมือนเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเขาอีก  

 

 

พวกเขาทรมานอวี้เฉินเจียนตายจริงๆ!  

 

 

สายตาของเจียงหลีค่อยๆ เย็นลง ชายหนุ่มที่ยอมเสียสละชีวิตตนเองเพื่อนางผู้นั้น เมื่อตายไปแล้วยังถูกดูถูกเช่นนี้อีก!  ราชวงศ์โฮ่วจิ้นต้องล่มสลาย!  

 

 

ด้านล่างภูเขา เหล่าทหารพวกนั้นเล่นกันเพลิน เพิ่งนึกถึงเรื่องภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และสืบค้นต่อไปเรื่อยๆ  

 

 

อวี้ซูกลั้นน้ำตาไว้พร้อมกับดึงแขนเจียงหลี “แม่นาง เราไปกันเถอะ”  

 

 

เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งแล้วลุกขึ้นยืน พาอวี้ซูเดินหน้าต่อไป  

 

 

ขณะที่พวกเขาค่อยๆ ห่างออกจากเหล่าทหารพวกนั้นนั้น นางถึงได้เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน “อวี้ซู เจ้าฟังข้าให้ดี ข้าจะพูดเพียงรอบเดียวเท่านั้น เจ้าเป็นคนของข้า ถึงแม้ต้องตายก็ต้องตายด้วยน้ำมือของข้า”  

 

 

อวี้ซูตกใจ น้ำตาคลอเบ้าและมองไปทางร่างสูงของเจียงหลี  

 

 

การปกป้องที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น นางจะไม่รู้ได้อย่างไร  

 

 

“แม่นาง…” หล่อนกระซิบ ความเจ็บปวดที่สูญเสียน้องชายไปนั้น เวลานี้ได้รับการปลอบใจแล้ว  

 

 

 …  

 

 

ห้าวัน เพียงเวลาห้าวันก็เพียงพอที่จะเกิดเรื่องต่างๆ มากมายแล้ว  

 

 

ในขณะที่เจียงหลีกำลังพาอวี้ซูเดินทางลัดเพื่อกลับไปยังเมืองซูหนานอยู่นั้น มู่เจิ้งเฟิงได้ออกคำสั่งให้คนไปตรวจสอบขุนนางของตระกูลลู่ แต่ก็พบเพียงซากปรักหักพังที่ถูกไฟไหม้เท่านั้น  

 

 

ทั้งในและนอกเมืองซั่งตู เพื่อที่จะจับตัวลู่เจี้ยและเจียงหลีตอนนี้ผู้คนต่างก็พากันเคียดแค้น ผู้บริสุทธิ์บางคนก็ต้องถูกพัวพันไปด้วย  

 

 

ลู่เสวียนยังคงอยู่ที่ซั่งตู เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะออกจากที่นี่ เพียงแค่หลบตัวอยู่ในที่ลับและเริ่มแก้แค้นด้วยวิธีของเขาเอง  

 

 

หม่าหยวนจย่าที่ถูกเจียงหลีเก็บไว้ก็คอยคุ้มกันเขา และร่วมมือกับเขาอย่างเปิดเผย ทำให้สามารถลอบสังหารสมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ต่างแดนได้ไม่น้อยเลย  

 

 

กองทัพของจักรวรรดิได้ล้อมรอบสถาบันไป๋หยวนไว้เป็นเวลาห้าวัน แต่ทว่าข้างในสถาบันไป๋หยวนก็ยังเงียบกริบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

 

 

แม้แต่คนจากสำนักหลิงอู่ก็ยังมายั่วยุเขา ท้ายสุดก็ถูกหนานอู๋เฮิ่นโต้ตอบกลับไปอย่างไม่ใยดี  

 

 

ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนี้มีกลุ่มคนลึกลับกลุ่มหนึ่งกำลังนำพากลุ่มคนที่ยากลำบากค่อยๆเข้าใกล้ซั่งตูตามคำสั่งของลู่เจี้ย  

 

 

ในที่สุดวันที่เจียงหลีถึงเมืองซูหนานก็มาถึง คุณชายในซั่งตูก็เฝ้ามองฝนตกปรอยๆ ทางนอกหน้าต่าง และกล่าวกับสหายผู้มาเยือนว่า “ลมเปลี่ยนฟ้าก็เปลี่ยน”  

 

 

…  

 

 

ใบประกาศเกี่ยวกับตระกูลลู่ ได้แขวนอยู่ทั่วเมืองซูหนาน   

 

 

เจียงหลีในฐานะสาวใช้ของตระกูลลู่ในตอนนั้น ได้ปลุกปั่นทั่วเมืองซูหนานจนตอนนี้ผู้คนต่างก็รู้จักนางแล้ว ขณะนี้นางไม่สามารถเข้าไปได้อย่างโจ่งแจ้งแล้ว  

 

 

หลังจากอวี้ซูได้ทำการปลอมตัวแล้วนั้น พวกเขาก็กลับไปที่จวนลู่เลยทันทีและได้เห็นซากปรักหักพังที่ถูกไฟไหม้ด้วยตาของพวกเขาเอง  

 

 

จวนตระกูลลู่ที่ใหญ่โตเมื่อก่อนถึงตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากแล้ว  

 

 

คนในตระกูลลู่ล่ะ  

 

 

แล้วลู่เจี้ยล่ะ  

 

 

ในขณะที่เจียงหลีกำลังงุนงงอยู่ ทันใดนั้นก็มีมือๆ หนึ่งตบลงบนหัวไหล่ของนาง  

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset