สำหรับคำพูดของหนานอู๋เฮิ่น ทำให้มู่หว่านโหรวฉายแววตาดูถูกเหยียดหยาม
แน่นอนว่าแววตาที่เหยียดหยามนี้ไม่ได้เจาะจงไปที่หนานอู๋เฮิ่น แต่เป็นคนที่เขากล่าวถึง ผู้ที่มีรูปร่างงดงามนายน้อยลู่นั่นเอง โฮ่วจิ้นมีสามคนผู้เป็นที่โดดเด่นของยุค ลู่เจี้ยผู้มีโฉมงามโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน หรงจิ่งผู้มากความสามารถจนเป็นที่ตะลึงไปทั่วโลก ฉินเทียนอีกลับเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกเพราะทำตัวเสเพล
ทั้งสามคนนี้ เมื่อเทียบกับหรงจิ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลู่เจี้ยหรือฉินเทียนอีราวกับว่าหาที่เปรียบไม่ได้ ผู้ชายมีโฉมหน้าที่งดงามแล้วจะใช้ประโยชน์อะไรได้หรือว่า ใช้ความสวยรับใช้คนแล้วอีกคนที่ไม่ทำอะไรไปวันๆ จะเทียบกับหรงจิ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถได้อย่างไร
แววตาดูถูกของมู่หว่านโหรว ไม่มีใครสังเกตเห็น
หนานอู๋เฮิ่นโบกมือให้คนที่มารายงานข่าวถอยลงไป หมดอารมณ์ในการร่ำสุราไปไม่น้อย เฮ่อเหลียนเฟิงสังเกตเห็นถึงสิ่งนี้ รีบพูด “ท่านอาจารย์หนานไม่ไต้องเสียใจมากนัก เดิมทีนายน้อยลู่มีร่างกายที่อ่อนแอ น้อยนักที่จะไปมาหาสู่คน อย่าพูดถึงท่านเลย แม้ข้าที่เป็นถึงเจ้าเมืองซูหนานมานานหลายปี ได้พบนายน้อยลู่เพียงครั้งเดียวเอง”
“หืม” คำพูดเฮ่อเหลียนเฟิง ดึงดูดความสนใจของหนานอู๋เฮิ่น “ได้ยินว่าความงดงามของนายน้อยลู่ทำให้คนทุกบ้านออกมาจากตรอกซอยทั้งหมดเพื่อที่จะมาต้อนรับ แม้กระทั่งท้องฟ้ายังเปลี่ยนสี ข้าศึกเองก็ศิโรราบ ในเมื่อท่านเจ้าเมืองเคยเจอ ไม่ทราบว่าสมตามคำร่ำลือหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเฟิงตะลึงอยู่ครู่นึง เขาไม่คิดว่าหนานอู๋เฮิ่นจะให้ความสนใจในตัวลู่เจี้ยขนาดนี้ หลังจากที่โดนปฏิเสธไป ไม่เพียงไม่โมโหแต่กลับทำความเข้าใจให้มากยิ่งกว่าเดิม
เขาแอบเหลือบมองมู่หว่านโหรว เห็นสีหน้าไม่แยแสของนาง เสมือนไม่ได้ให้ความสนใจกับหัวข้อสนทนานี้เลยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “นายน้อยลู่เกิดมางดงามจริงๆ”
แล้วพูดต่อเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนากับมู่หว่านโหรว “องค์หญิงเสด็จมาดูงานประลองชิงเจียว ให้กระหม่อมจัดเตรียมที่นั่งให้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” องค์หญิงท่านนี้ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นถือว่าเป็นตำนานเลยทีเดียว เขาเองไม่กล้าที่จะสบประมาทและไม่กล้าที่จะเดาความคิดของนางได้
“ลำบากท่านเจ้าเมืองแล้ว” เสียงของมู่หว่านโหรวราวกับสายลมที่พัดมาจากยอดเขาหิมะ
แค่คำพูดเดียว เฮ่อเหลียนเฟิงรับรู้ว่าตนเองจะต้องทำอย่างไร เขายิ้มอย่างสุขภาพ ต้อนรับแขกท่านอื่นต่อ
ทว่า เขายังมีความสงสัยอยู่ในใจ คงไม่พียงแต่มีเขาคนเดียวเท่านั้น ผู้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ในใจคงจะสงสัยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงอันผิงและตระกูลนายน้อยลู่ เป็นสิ่งที่รู้ๆ กันอยู่ แต่ว่าจากการสนทนาเมื่อกี้ องค์หญิงอันผิงไม่มีท่าทีที่จะปกปิดความเกลียดชังที่มีต่อนายน้อยตระกูลลู่ เป็นเครื่องยืนยันข่าวลือจากภายนอก
องค์หญิงอันผิง ลูกเทวดาที่น่าภาคภูมิใจ กลับกันนายน้อยของตระกูลลู่ที่มีเพียงความงดงามแต่ไร้ประโยชน์ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังหรือวิทยายุทธ์ก็ไม่ได้เรื่อง คนแบบนี้ไม่เข้าตานางหรอก
ถ้าเป็นเช่นนี้ นางเลือกที่จะมาซูหนานเวลานี้ เพื่อที่มาดูงานประลองชิงเจียวเท่านั้นจริงหรือ
งานประลองชิงเจียว เป็นงานที่จัดขึ้นในทุกแคว้นของราชวงศ์โฮ่วจิ้น นางจะดูที่ไหนก็ได้ แต่ทำไมถึงเลือกมาที่นี่ หรือว่า เป็นเพราะที่แคว้นซูหนานนี้ มีใครบางคน ดึงดูดนางเป็นพิเศษงั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเฟิงคงรู้สึกว่าการที่มู่หว่านโหรวปรากฏตัวที่นี่ นางมีเป้าหมายแอบแฝง แต่คืออะไรก็ไม่อาจทราบได้
…
แคว้นซูหนาน มีทั้งหมดสี่เมือง โดยจวนหลักเป็นเมืองซูหนาน นอกจากเมืองซูหนานแล้ว ยังมีอีกสามเมืองได้แก่ เมืองไป๋ลู่ เมืองเฉาหยาง เมืองเฉาซี ทั้งสี่เมืองนี้ เหมือนดวงดาวที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่บ้านและภูเขาที่แนน่หนางานประลองชิงเจียวเป็นงานยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โฮ่วจิ้น มีการแข่งขันคัดเลือกเทียนเจียว ในเมืองซูหนานเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คนที่มาจากเมืองทั้งสี่เมือง
บนถนนเฮิงสือ ณ สวนในเรือนแห่งหนึ่ง มีบ่าวจำนวนไม่น้อยกำลังทำความสะอาดเก็บกวาด ดูท่าทางของพวกเขาแล้วเพิ่งจะเช่าสถานที่แห่งนี้
“พวกเจ้าทำความสะอาดอย่างดีล่ะ อย่าขี้เกียจ ถ้าหากไม่สะอาด จงระวังตัวไว้ให้ดี” จู่ๆ ก็มีสตรีเดินออกมาจากประตู ชี้นิ้วสั่งบ่าวชายสองคนที่กำลังทำความสะอาดประตู
ทั้งสองคนก้มหัวทำงานอย่างเดียว ไม่ได้ให้ความสนใจ สตรีทำเสียงฮึ่ม หันหลังเดินไปอย่างได้ใจ เมื่อรอนางเดินไกลจากไป บ่าวชายทั้งสองหยุดทำความสะอาด คุยกันเสียงเบา
“แหวะ อะไรเนี่ย ถือตัวเองเป็นเจ้าหรือ”
“เป็นหญิงชราที่มีลูกสาวไว้เชิดหน้าชูตาไม่ใช่หรือพวกเราอย่าไปใส่ใจอะไรกับนางเลย”
“ใครให้ลูกสาวนางกำลังเป็นที่ชื่นชอบของคุณชายเล่า”
ทั้งสองคนพูดกันไม่กี่คำแล้วหยุดบทสนทนา
เวลานี้สตรีที่พวกเขากล่าวถึงได้เดินมาถึงสวนหลังเรือน ห้องที่ถูกประดับด้วยความความสวยงามละเอียดอ่อน เมื่อเห็นร่างบางนั่งสองคันฉ่องแต่งตัวอยู่ที่โต๊ะเครื่อง แววตาฉายรอยยิ้ม แล้วเดินเข้าไป
“ท่านแม่” เจียงอวี๋เรียกด้วยเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นเงาของแม่สะท้อนในกระจกทองแดง ข้ารับใช้หญิงที่แต่งตัวให้นางได้การกระทำ โค้งคำนับให้นาง
เป็นสองแม่ลูกนี้ที่ถูกตระกูลเย่ว์ขับไล่ นางเหอซื่อกับเจียงอวี๋นั่นเอง สามเดือนก่อน หลังจากพวกเขาโดนตระกูลเย่ว์ขับไล่ ก็ไม่ได้อยู่ต่อที่เมืองซูหนาน แต่ไปเมืองไป๋ลู่แทน ครึ่งเดือนก่อน ด้วยคำชี้แนะของนางที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้เจียงอวี๋ลูกสาวที่เป็นที่รัก ได้รู้จักกับลั่วเทียนเจียว ผู้เป็นเทียนเจียวของตระกลูลั่วแห่งเมืองไป๋ลู๋ ตระกูลนี้ภาคภูมิใจในตัวบุตรชายมาก แม้กระทั่งชื่อก็ตั้งให้ว่า ‘เทียนเจียว’
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองรักกันอย่างดูดดื่ม ตัวติดกันตลอด แม้กระทั่ง งานประลองชิงเจียวครั้งนี้ ภายใต้การยุยงของนางเหอซื่อ ลั่วเทียนเจียวยังพาสองแม่ลูกคู่นี้มาเลย
“อวี๋เอ๋อร์” นางเหอซื่อเอ่ยขึ้นมา เดินไปถึงลูกสาวพลางใช้มือยกใบหน้าลูกสาวขึ้น พูดอย่างชื่นชมว่า “ลูกสาวแม่ช่างงดงามเหลือเกิน” บ่าวสาวซ้ายขาวได้ยินเช่นนั้นต่างหันมามองกันและกันแล้วก้มหน้าต่อ
เจียงอวี๋มีสีหน้าเขินอายทันที แล้วพูดกับข้ารับใช้หญิงทั้งสองว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
เมื่อสองบ่าวได้ออกจากห้องไป เหลือเพียงสองแม่ลูก
“ท่านแม่ ข้าอยากพบพี่เย่ว์หนานซีเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้เพิ่งถอยไป เจียงอวี๋รีบพูดอย่างอดใจไม่ไหว
นางเหอซื่อสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน รีบยื่นมือปิดปากลูกสาวทันที “เจ้าอยากตายหรือ พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ระวังหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง เย่ว์หนานซีมีอะไรดีเจ้าถึงยังคิดถึงเขาอยู่อีก ดูเทียนเจียวสิ ปฏิบัติต่อเจ้าดีกว่าเย่ว์หนานซีอีก อีกทั้งเป็นถึงหลิงซื่อระดับหก แม้จะมีเนตรญาณเพียงห้าดวงเท่ากับเย่ว์หนานซี”
“แต่ว่า…” เจียงอวี๋แสดงสีหน้าหนักใจ
“ไม่มีแต่ว่า” นางเหอซื่อเตือนนาง “เจ้าเองก็ชอบเทียนเจียวไม่ใช่หรือ ดังนั้น อย่าไปคิดถึงเย่ว์หนานซีนั่นอีก และเจ้าก็ระวังด้วย อดใจไว้หน่อย อย่าให้เทียนเจียวได้เอาเปรียบเจ้ามากเกิน สามีอนาคตเจ้าอาจไม่แน่ว่าจะเป็นเขา”
“ท่านแม่” เจียงอวี๋ทั้งรู้สึกโมโหและหงุดหงิด กระทืบเท้าเล็กน้อย บางครั้งนางรู้สึกโมโหแม่มาก ใช้นางเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะไต่ไปที่สูง
“ข้าพูดความจริง หรือว่าเจ้าไม่อยากอยู่เหนือผู้คน” นางเหอซื่อย้อนถาม
“…” เจียงอวี๋พูดไม่ออก ด้วยสายตาของแม่ ได้แต่พยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว”
“อืม เด็กดี อวี๋เอ๋อร์ แม่ไม่ทำลายเจ้าหรอก” นางเหอซื่อยิ้มอย่างพึงพอใจ นำเส้นผมลูกสาวที่หล่นลงมาเกี่ยวหลังใบหู
—–