โจวอวี่ฟังจนงง และจึงพอจะเข้าใจว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงขนอาหารคาวไปถุงใหญ่ ทว่า…
“ทำไมใต้เท้าท่านจึงรู้ละเอียดเช่นนี้”
โจวอวี่มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างข้องใจ ใต้เท้าผู้นี้ท่าทางเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ในราชธานีชัดๆ ต่อให้รู้เรื่องราวประเภทยิงนกตกปลาบ้าง หรือต่อให้เติบโตมาในชนบท ก็ไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้นี่นา!
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองด้วยหางตา คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “แล้วเจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
แววตานั้นเย็นเยียบมิมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ทำเอาโจวอวี่สะดุ้ง
เขาจ้องมองชิวเยี่ยไป๋แน่วนิ่งไม่พูดอะไร ที่วาบขึ้นในสมองคือพลังฝีมือขั้นสูงของอีกฝ่าย นึกถึงความเฉียบขาดขณะต่อสู้ นึกถึงตนเองที่ดื่มสุราพิษจอกนั้น…แต่ละฉากแต่ละตอนเริ่มปะติดปะต่อเป็นภาพสรุปที่เลอะเลือน
“ท่าน…”
อินชวนกงถ่อเรือพลางหัวร่อเคี๊ยกๆ อีกครั้ง หัวร่อเยาะโจวอวี่ที่โง่เง่า “ดูท่าเจ้าติดตามผู้ใดอยู่ก็ยังมิรู้ ไม่รู้ว่าทำไมคุณชายสี่เย่ถึงได้รับเอามือตีนสุนัขเช่นเจ้าไว้!”
โจวอวี่มองชิวเยี่ยไป๋อีกครั้งแต่ยังคงเงียบงัน มิได้ถามต่อ เพราะไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าชิวเยี่ยไป๋ย่อมมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดาในยุทธจักร
สุราพิษจอกนั้นคงเป็นสุราแห่งความภักดีแล้ว
โจวอวี่บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร เดิมทีก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าตนทั้งสติปัญญาและวิสัยทัศน์ บัดนี้ดูแล้วระยะยิ่งยืดห่างอีกมากโข
ขับม้าขวางดาบกรีดจันทรา เมามายแย้มยิ้มปล่อยตัวก็ดี
ฆ่าหนึ่งคนในสิบก้าว ไม่ทิ้งร่องรอยในพันลี้ก็ดี
ล้วนเป็นเรื่องในยุทธจักรที่พวกบุตรหลานหยิบหย่งของตระกูลใหญ่เคยเห็นแต่ในหนังสือหรือฟังจากคนเล่านิทานทั้งสิ้น เขตแดนแห่งเลือดระอุด้วยคุณธรรมของคนเยาว์วัย เป็นส่วนที่วงการขุนนางข้าราชการจะไม่ไปข้องแวะโดยง่าย
เพียงคิดว่าบรรดาวีรบุรุษนักสู้หรือโจรร้ายประดานั้นน่าจะเป็นคนหยาบกร้านป่าเถื่อน หรือไม่ก็เป็นนักพรตนักบวชไว้หนวดไว้เคราถือแส้
จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าที่แท้คนข้างกายของตนจะเป็นถึงจอมยุทธ์ แถมยังงามสง่าคมสันในอาภรณ์ขาวสะอาดเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์
เขารู้สึกสับสน การติดตามจอมยุทธ์ วันข้างหน้าคงมีลมคาวฝนเลือดไม่มากก็น้อย
เป็นดั่งที่อินชวนกงกล่าว ตนเองวรยุทธ์ธรรมดามาก ใต้เท้ายอมให้คนฝีมือต่ำต้อยเป็นผู้ติดตาม และจงใจให้เขารับรู้ศักดิ์ฐานะที่แท้จริง ย่อมมิใช่เพราะเห็นแก่ชาติตระกูลของเขากระมัง
แม้พวกจอมยุทธ์จะขับม้าโผนกระโจนในยุทธจักร ฆ่าคนดุจหั่นผักปลา แต่น้อยคนที่จะข้องแวะกับราชการ
จู่ๆ โจวอวี่ก็อดรู้สึกมิได้ว่าชิวเยี่ยไป๋ล่อตนให้ตกหลุมพราง
แล้วตัวเขาเองเล่า จะยอมเป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ธรรมดาสามัญไปตลอดชีวิตหรือ
ตนเองก็เลื่อมใสยุทธจักรตามที่ได้ฟังจากคนเล่านิทานมิใช่หรือ
ชิวเยี่ยไป๋เห็นโจวอวี่เงียบงัน ก็รู้ดีว่าเขากำลังสับสนในใจ นางไม่ปริปากเพียงนั่งอย่างเกียจคร้านต่อไป มองดูอินชวนกงแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “อินชวนกง หนทางข้างหน้ายังอีกไกล ผู้เยาว์จิตใจกลัดกลุ้ม พอจะมีสุราดีๆ สักป้านให้ดับกลุ้มไหม”
นางยังจำได้ว่าสุราฝั่งโน้นของอินชวนกงรสชาติหอมหวนเหมาะกับสตรี แม้แต่นางที่คอไม่แข็งก็ยังดื่มได้เป็นไห
อินชวนกงถ่อเรือช้าๆ พลางแค่นเสียง “เจ้าคอไม่แข็งยังอยากดื่มอีก คงเพราะจดจำรสชาติสุราฝั่งโน้นของข้าได้ดีสินะ เจ้าลงเรือคราวก่อนบอกว่าจะนำสุรามาให้ข้าไม่เห็นพกมาเลย!”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มจนตาหยี “อินชวนกงจำแม่นจริง เอาอย่างนี้ คราวนี้ข้าขอแลกสุราป้านหนึ่งด้วยห่านย่างตัวหนึ่งเอาไหม”
อินชวนกงไม่ตอบ โจวอวี่ดูท่าทางอินชวนกงแล้วก็หยุดฟุ้งซ่านชั่วคราว นึกในใจว่ารสชาติของห่านย่างก็แค่ธรรมดา ซื้อหาได้ทั่วไป แต่สุราของตัวประหลาดนี้น่าจะเป็นของดี ต่อให้ใต้เท้าเราเสนอแลกด้วยห่านย่างสิบตัว อินชวนกงน่าจะไม่ยินยอม
นึกไม่ถึงว่าอินชวนกงพลันหัวร่อลั่น แล้วตอบอย่างไม่ลังเล “ตกลง”
โจวอวี่งงงัน ตัวประหลาดผู้นี้แม้จะไม่เหมือนยอดคนผู้เร้นกายดังที่ฟังจากคนเล่านิทาน แต่อย่างน้อยคงเป็นคนประหลาดที่เก็บงำคัมภีร์พลังฝีมือไว้มากมาย ทำไม…ทำไมจึงยอมรับห่านย่างธรรมดาตัวหนึ่งเล่า!
ชิวเยี่ยไป๋แลดูโจวอวี่สั่งว่า “ไปเอาห่านย่างมาตัวหนึ่ง”
โจวอวี่ครุ่นคิดปัญหานี้พลางหยิบห่านย่าง โดยมิได้รู้สึกตัวว่ากำลังทำตามคำสั่งของชิวเยี่ยไป๋
อินชวนกงเห็นห่านย่างที่ล้วงออกจากถุงก็หัวร่อเคี๊ยกๆ บาดหู ยื่นมือไปคว้าห่านย่างจากโจวอวี่ พลางใช้นิ้วที่เหลือแต่กระดูกจับห่านย่างขึ้นสูดดม ด่ากลั้วหัวร่อว่า “คุณชายสี่เย่ช่างเจ้าเล่ห์จริง ยังอุตส่าห์จำ…จุดอ่อนของข้าได้!”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่สนใจคำถากถางยื่นมือให้ “เอามา ได้ห่านไปแล้วเอาสุรามาแลก!”
อินชวนกงก็ไม่โอ้เอ้ ไม้ถ่อในมือตวัดขึ้น สุรากระปุกเล็กก็โผล่ขึ้นเหนือน้ำและตกลงในมือของชิวเยี่ยไป๋อย่างแม่นยำ
ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้ใส่ใจว่ากระปุกสุรานั้นเปียกน้ำทำเอาแขนเสื้อเปียกไปด้วย เอื้อมมือบีบดินที่ปิดปากกระปุกออก ก้มลงดมอย่างพอใจและกระดกกระปุกจิบไปอึกหนึ่ง รสชาติรุนแรงหอมหวานพลันซ่านไปทั่วกาย นางพอใจจนหยีตาลง “อืม ฝีมือของอินชวนกงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม”
พริบตาที่เปิดฝากระปุกสุรา กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย โจวอวี่จึงได้กลิ่น
เขานึกหงุดหงิดที่ทำไมถึงยอมทำตามคำสั่งคนที่ล่อลวงตน ยามนี้พอได้กลิ่นหอมของสุรา ก็กระเถิบเข้าไปใกล้ๆ อย่างอดมิได้
เห็นชิวเยี่ยไป๋กำลังดื่มด่ำกับรสสุรา ขณะเดียวกันก็ชมดูการแสดงของอินชวนกง…ที่ฉีกห่านย่างเคี้ยวกร้วมๆ ถ่มกระดูกไปทั่ว!
อินชวนกงมือหนึ่งถ่อเรือ อีกมือคว้าห่านย่าง ใบหน้าหัวกะโหลกเต็มไปด้วยแววพึงพอใจและเจ็บปวด อ้าปากเขมือบเนื้อห่านย่างอย่างดุดัน ราวกับกำลังฉีกกระชากเนื้อศัตรู แต่เขาเคี้ยวไปถ่มไปทั่ว ยังดีที่เขากับชิวเยี่ยไป๋อยู่ห่างกัน ไม่เช่นนั้นคงถ่มใส่ตัวพวกเขาด้วย
แต่มีหมูตัวหนึ่งมิได้โชคดีเช่นนี้…หลวงจีนที่เปียกโชกทั้งตัวยังหลับได้เหมือนหมู บัดนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยเศษเนื้อเศษกระดูกห่านที่อินชวนกงถ่มออกมา
แต่ชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่ต้องประหลาดใจ เพราะสีหน้าคนที่หลับใหลคล้ายกำลังมีความสุขอย่างยิ่ง แถมยังแลบลิ้นเลียริมฝีปาก พึมพำคำหนึ่ง
“อมิตตาพุทธ…”
อินชวนกงเสพสุขกับเนื้อห่านในปากแล้วถ่มเศษเนื้อใส่หลวงจีนที่เกลือกกับพื้น ใต้เท้ามีแต่น้ำฝนและน้ำลายคละเคล้ากับสารรูปแสนสุขของหลวงจีน พริบตานั้นทำให้ชิวเยี่ยไป๋นึกถึงภาพวาดผนังที่เป็นภาพของพระอรหันต์กำลังพ่นน้ำอมฤตช่วยชีวิตสาวกที่กำลังจะคอแห้งตาย