เฉียวชูเฉี่ยนปวดหัวมากๆ ขณะที่สวมกระโปรงอย่างเงียบๆ และลงจากรถ
ยังไม่ทันที่เธอจะยืนอย่างมั่นคง รถก็แฉลบผ่านตัวเธอไปอย่างรวดเร็วจนเธอโงนเงนเกือบจะล้มลงไปเพราะทรงตัวไม่อยู่
ตรงนี้เป็นที่เปลี่ยวแถมยังดึกมากทำให้หาแท็กซี่ลำบาก เฉียวชูเฉี่ยนพยายามทำใจให้สงบและแสร้งทำเป็นก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างใจเย็น
ถึงแม้จะต้องกลับบ้านไปอย่างคนจนตรอก แต่เธอก็จะไม่ทนอยู่กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว!
……
สองชั่วโมงต่อมา เฉียวชูเฉี่ยนแทบจะลงไปนั่งกองบนพื้นอย่างหมดแรงทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในบ้าน
มีแสงไฟสีเหลืองนวลเปิดอยู่ภายในห้องนั่งเล่นที่อุ่นสบาย ลู่ฉีซึ่งสวมรองเท้าสลิปเปอร์กำลังนั่งพลิกดูอัลบั้มรูปอยู่ในนั้น
คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาค่อยๆ คลายลงทันทีที่ได้ยินเสียงหมุนลูกบิดประตู เมื่อเขาลุกขึ้นเดินไปดูก็เห็นว่าเฉียวชูเฉี่ยนเปิดประตูเข้ามาแล้ว เธอกำลังก้มลงเปลี่ยนรองเท้าอยู่ที่โถงทางเข้า
ลู่ฉีช่วยหยิบกระเป๋าในมือของเธอมาถือไว้ด้วยสีหน้าที่สับสนเล็กน้อย “ชูเฉี่ยน เกิดอะไรขึ้น บาดเจ็บหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร” สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนค่อนข้างซีดเซียวเพราะเสียแรงไปมาก
เธอใส่รองเท้าส้นสูงเดินมาไกลจนหมดเรี่ยวแรงและตัดสินใจถอดรองเท้าออก จากนั้นจึงเดินเท้าเปล่ามาตามถนนยางมะตอยที่ขรุขระโดยถือรองเท้ามาด้วย เดินมานานจนฝ่าเท้าเป็นแผลถลอก
แต่ถึงจะเจ็บก็ไม่เจ็บเท่าเสี้ยวหนึ่งของหัวใจ
เธอเม้มริมฝีปากและยิ้มออกมา “จิ่งเหยียนหลับอยู่หรือเปล่า”
ลู่ฉีตอบรับสั้นๆ และบอกว่า “ผมพาเขาไปนอนในห้องแล้ว”
เขาเหลือบไปเห็นเลือดซึมออกมาที่ไหล่ของเฉียวชูเฉี่ยนและก้าวเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “ชูเฉี่ยน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ไม่มีอะไร แค่บังเอิญไปชนอะไรเข้าน่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่ค่อยชินที่เขามาอยู่ใกล้ขนาดนี้จึงถอยหลังไปสองก้าวโดยที่เขาไม่ทันสังเกต พูดเบาๆ ว่า “ฉี มันดึกแล้ว ฉันอยากพักผ่อน”
ลู่ฉีรู้ว่าเธอกำลังไล่ให้เขากลับ เขาอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้แต่ก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า “เฉี่ยนเฉียน คืนนี้ผมขออยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ได้ไหม”
“…ขอโทษนะ”
เมื่อเป็นแบบนี้ ลู่ฉีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบเสื้อโค้ทและบอกลาเธอ
เฉียวชูเฉี่ยนปิดไฟในห้องนั่งเล่นและขึ้นไปพักผ่อนหลังจากเขากลับไป ขณะที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เธอก็ก้มลงมองที่ไหล่ขวา
ฟันของชายคนนั้นแหลมคมและกัดจนเป็นรอยลึก จนถึงตอนนี้เลือดยังไหลออกมาจากรอยฟันสองรอยนั้นไม่หยุด
เธอยืนอยู่ใต้ฝักบัวและปล่อยให้น้ำร้อนๆ ช่วยชำระล้างบาดแผล รู้สึกปวดร้าวที่หัวใจเล็กน้อย
คืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนเธอรอเขาอยู่ที่บ้านอย่างมีความสุข แต่เขากลับเมามายกลับมา
“เฉียวชูเฉี่ยน คุณรู้อะไรไหม คุณมันก็แค่ของแถมที่ได้จากการแต่งงานทางธุรกิจครั้งนี้!”
คำๆ นี้ทำให้เธอรู้สึกชาไปทั้งหัวใจ
ผู้ชายคนนั้นจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น บีบบังคับเธออย่างหนักโดยไม่สนใจสีหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ ของเธอ ไม่แยแสคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น เขาแค่จ้องมองด้วยแววตาที่เฉยเมยไร้ความปรานี
หลังจากตอนนั้นเขาก็จากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ว่า “เฉียวชูเฉี่ยน ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันตกหลุมรักเธอเด็ดขาด!”
เฉียวชูเฉี่ยนนอนขดตัวอยู่บนเตียงรกๆ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เต็มไปด้วยคราบน้ำตา
เฉินเป่ยชวน คุณรู้ไหมว่าฉันรักคุณมาก
รักคุณมานานเป็นสิบปี
……
เฉียวจิ่งเหยียนตื่นตั้งแต่เช้า ลุกขึ้นมาแต่งตัวเองและต่อม้านั่งเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน
เขาเป็นเด็กที่โตเกินวัยและรู้จักห่วงใยคนอื่น เพื่อให้เฉียวชูเฉี่ยนได้นอนหลับมากขึ้นเขาจึงย้ายม้านั่งไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร รอจนเหมาะสมแก่เวลาจึงขึ้นไปปลุกเธอ
“หม่ามี๊ ลุกมากินข้าวเช้าเถอะ เดี๋ยวไปทำงานสายนะ”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่นุ่มนวลของเจ้าซาลาเปาน้อย เฉียวชูเฉี่ยนก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า รู้สึกวิงเวียนศีรษะและไร้กำลังวังชา
เมื่อเห็นเฉียวชูเฉี่ยนมีสีหน้าไม่ค่อยดี เฉียวจิ่งเหยียนจึงพาร่างเล็กๆ ปีนขึ้นไปบนเตียง เขาใช้มือเล็กๆ ของตัวเองแตะที่หน้าผากของเฉียวชูเชี่ยนแล้วขมวดคิ้ว “หม่ามี๊มีไข้”
เจ้าตัวน้อยกระโดดลงจากเตียงและออกไปหยิบกล่องยาเข้ามา
ความรู้ประสาของเจ้าตัวน้อยทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของเขา “หม่ามี๊ไม่เป็นไรจ้ะลูก ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้หม่ามี๊มีประชุมสำคัญ ต้องรีบไปทำงาน”
“ไม่ได้นะ หม่ามี๊ต้องอยู่บ้านพักผ่อน!” เฉียวจิ่งเหยียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมพลางยื่นปรอทวัดไข้ที่ฆ่าเชื้อแล้วใส่ปากของเฉียวชูเฉี่ยน
“ขาดหม่ามี๊ไปบริษัทของหม่ามี๊ไม่หายไปไหนหรอก ยังไงวันนี้หม่ามี๊ก็ต้องลางาน!”
เฉียวชูเฉี่ยนจึงพยักหน้าเบาๆ ทำเมื่อเป็นสัญญาณว่า OK