เฉียวชูเฉี่ยนหาข้ออ้างไล่เจ้าตัวน้อยออกไปจนได้ เธอหยิบกระเป๋าแล้วแอบออกไปเงียบๆ ขับรถตรงไปที่บริษัทโดยไม่ลืมโทรไปขอให้เซี่ยเซี่ยมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตัวน้อยในตอนเที่ยง
……
นี่เป็นการเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของเฉียวชูเฉี่ยนในวันที่สองของการทำงาน ซึ่งเธอมีหน้าที่หลักคือการจดบันทึกการประชุม
เวลา 9.30 น. เฉินเป่ยชวนในชุดสูทสีดำก็เดินนำคณะผู้บริหารเข้ามาในห้องประชุม
สีหน้าเฉยเมยและกลิ่นอายของความเย็นชาทำให้เฉียวชูเฉี่ยนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวสั่นจนเอกสารเกือบหลุดจากมือ
เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแต่ก็พยายามบังคับให้ตัวเองให้เยือกเย็นเข้าไว้
เฉียวชูเฉี่ยน… เธอแค่ต้องปฏิบัติต่อเขาในฐานะหัวหน้ากับลูกน้อง อย่าไปคิดเรื่องอื่น!
อาจเพราะเป็นไข้อยู่ด้วย ไม่ทันไร ขณะที่จดรายงานการประชุมอยู่ เฉียวชูเฉี่ยนก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะมากเรื่อยๆ เหงื่อไหลเต็มหลัง ใบหน้าที่สวยงามเริ่มซีดเผือด
ทันใดนั้นน้ำเสียงที่เป็นทางการของเฉินเป่ยชวนก็ดังกระทบโสตประสาทของเธอ “เลขาเฉียว คุณคิดว่ายังไง”
มือของเฉียวชูเฉี่ยนที่วางอยู่บนแป้นพิมพ์สั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เธออยากจะดูรายงานการประชุมเพื่อหาประเด็นสำคัญมาตอบคำถามของเฉินเป่ยชวน เอกสารเหล่านั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือละลานตา แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พิมพ์รายงานการประชุมเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ
“เลขาเฉียวนี่เยี่ยมจริงๆ ใจลอยได้ทั้งที่ยังอยู่ในเวลาประชุม”
เฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็นเมื่อเห็นเฉียวชูเฉี่ยนไม่พูดอะไร สีหน้าของเขาเย็นชาเกือบจะไร้ความปรานี เคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ออกไป เรียกลินดาเข้ามา”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจมากๆ
เฉียวชูเฉี่ยนกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าที่กลางฝ่ามือ หันไปยอมรับผิดกับเฉินเป่ยชวน
“ขอโทษค่ะท่านประธานเฉิน ขอความกรุณาท่านทบทวนอีกครั้ง หลังสิ้นสุดการประชุม ดิฉันจะพิจารณาตัวเองค่ะ”
แววตาของเฉินเป่ยชวนเย็นชาขึ้นกว่าเดิม พูดชัดๆ ทีละคำว่า “ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น ออกไป!”
“…ค่ะ” เฉียวชูเฉี่ยนกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วลุกออกไปจากห้องประชุม
การประชุมสิ้นสุดลงภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พนักงานทุกคนในบริษัทรู้ว่าเลขาคนใหม่เหม่อลอยระหว่างการประชุมจนถูกผู้อำนวยการไล่ออกมา
หลายคนแอบด่าเธออย่างสมน้ำหน้า
ลินดานำรายงานการประชุมที่สรุปเสร็จแล้วมาให้เฉียวชูเฉี่ยนพร้อมถือกล่องยามาให้
“เลขาเฉียว คุณน่าจะมีไข้ กินยานี่แล้วกลับไปพักผ่อนดีกว่า งานที่เหลือเดี๋ยวฉันช่วยจัดการให้เอง”
“ขอบคุณมากนะลินดา แต่ไม่เป็นไร” เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มน้อยๆ และปฏิเสธเธออย่างสุภาพ
ถ้าเธอลาไปโรงพยาบาลเพราะไม่สบาย พนักงานคนอื่นๆ ในบริษัทคงคิดว่าเธอเป็นพวกถือดี และต่อจากนี้จะพูดถึงเธอลับหลังว่าอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
“อย่างงั้นก็ตามใจ คุณดูแลตัวเองด้วยก็แล้วกัน”
เฉินเป่ยชวนส่งเอกสารสัญญาสองฉบับมาให้เธอทางอีเมลและสั่งให้จัดการให้เสร็จก่อนวันพุธหน้า
ด้วยเหตุนี้เฉียวชูเฉี่ยนจึงทำงานอย่างเคร่งเครียดตลอดทั้งบ่าย โชคดีที่กินยาแล้วจึงไม่ค่อยเวียนหัวมากนัก
เมื่อจวนจะถึงเวลาเลิกงาน พนักงานต้อนรับก็ต่อสายเข้ามา “เลขาเฉียว มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งรอคุณอยู่ที่ล็อบบี้ค่ะ”
เด็กผู้ชาย?
หรือว่าเจ้าตัวน้อยจะมาหาเธอ?
จริงอย่างที่คิด พอเฉียวชูเฉี่ยนลงลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง เจ้าซาลาเปาน้อยที่รออยู่ที่ล็อบบี้นานแล้วก็กระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มสดใส เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
“หม่ามี๊ ผมคิดถึงหม่ามี๊!”
“หม่ามี๊ก็คิดถึงจิ่งเหยียนเหมือนกัน” เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อย เฉียวชูเฉี่ยนก็หายเหนื่อยและอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
“คุณแม่เซี่ยเซี่ยพาลูกมาที่นี่หรือ? ไปไหนซะล่ะ?”
“แม่ทูนหัวเซี่ยเซี่ยต้องไปทำธุระ บอกให้ผมรอหม่ามี๊ที่นี่”
“หม่ามี๊ ผมอยากกินชานมไข่มุก!”
เพราะกลัวว่าเฉียวชูเฉี่ยนจะถามอะไรมาก เฉียวจิ่งเหยียนจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย จูงมือเธอเดินไปที่ลิฟต์อีกครั้ง “ไปกันเถอะๆ เราขับรถไปกันเถอะ!”
เจ้าตัวน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปมาทำให้เฉียวชู่เฉี่ยนต้องกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้