“ชัยชนะไม่ได้ขึ้นอยู่กับทนาย แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยืนหยัดต่อหน้ากฎหมายได้ไหม คุณหวังคะ ในเมื่อคุณมองว่าความรักเป็นเรื่องของธุรกิจ อีกฝ่ายก็ย่อมมีสิทธิ์ปฏิบัติต่อคุณตามกฎของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เหมือนกัน”
เดิมทีถังอี้ก็เป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว มวยคนละชั้นแบบนี้จะเอาอะไรไปชนะเขาได้
“ฮึ เนี่ยนะทนายมือดี ไร้สาระทั้งเพ”
หวังหย่าตั๋วส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาก่อนจะกระแทกรองเท้าส้นสูงอย่างหงุดหงิดแล้วเรียกแท็กซี่ออกไปจากที่นั่น
หลังจากแพ้คดีแถมยังถูกลูกความด่า อารมณ์ที่จะดีของเหยียนสือเซี่ยก็กลับแย่ เธอเปิดประตูรถโดยตั้งใจว่าจะไปหาที่ระบายอารมณ์สักพัก แต่กลับถูกแขนแข็งแรงของใครบางคนยื่นมาขวางไว้
“คุณนั่นเอง”
เมื่อเหลือบไปมองคนที่ขวางเธอไว้เหยียนสือเซี่ยก็ขมวดคิ้วมุ่น ผู้ชายที่ชื่อถังอี้คนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
“ผมเอง คุณทนายคนสวย ทุกข์ใจสุดๆ ไปเลยไหมที่แพ้คดี?”
ถังอี้สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก นี่เป็นครั้งแรกที่ถังอี้คนนี้มีคดีฟ้องร้องกับผู้หญิง ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาเขาคงไม่มีหน้าออกไปเจอใครอีก
“เป็นการฉลองหลังชนะคดีหรือคะคุณถัง?”
เหยียนสือเซี่ยที่แค้นขึ้นมาหน่อยๆ ตอบโต้อย่างไม่หวาดหวั่น คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะหยาบคายขนาดนี้ แถมยังทำตัวเหลิงอย่างไม่รู้สึกกระดาก ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะความหน้าด้านหรือเพราะไม่รู้จักคำว่าละอายใจมาตั้งแต่แรกกันแน่
“เอางี้ เรามาฉลองด้วยกันไหมคุณทนายสาวผู้อ่อนหัด ไม่แน่ว่าภายในคืนเดียวผมอาจจะยกคฤหาสน์หนึ่งหลังกับรถหนึ่งคันให้คุณก็ได้”
ถังอี้มองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เธอสวมชุดสูทสีดำทั้งชุด นัยน์ตาสีดำ รวบผมเป็นหางม้าไว้กลางศีรษะด้านหลัง ดูรวมๆ แล้วไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นว่าเธอกำลังจะไปเขาก็ทนไม่ได้ขึ้นมา
เพื่อระงับโทสะที่เกิดขึ้น เหยียนสือเสี่ยจึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก แววตาฉายแววแห่งความดูถูก “ที่คุณชายถังยอมให้มากขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะต้องการปิดปากไม่ให้คนอื่นรู้ว่าความจริงคุณคุยกันใต้ผ้าห่มตลอดทั้งคืนหรอกนะ ทำไมรึ? ดูคดีของคุณชายถังกับคุณหวังสิ เมื่อก่อนคุณไม่เคยเป็นแบบนี้นี่ หรือว่าจะประสบอุบัติเหตุจนเกิดกระทบกระเทือนขึ้นมานะ ถ้าใช่ละก็ คุณต้องเข้ารับการบำบัดแล้วละ!”
“เธอ…”
ตอนแรกเขาตั้งใจจะทำให้คนอื่นอับอาย แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเขาที่โดนเสียเอง ถังอี้แทบจะฉีกผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นชิ้นๆ แต่ว่าทำไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ
“ถ้าคุณชายถังไม่มีอะไรแล้วก็รบกวนปล่อยมือด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะคิดว่าคุณต้องการให้ฉันขอให้คนรู้จักช่วยหานักบุรุษเวชวิทยาให้คุณ ฉันคิดว่าเรายังไม่สนิทกันมากพอ คุณชายถังไม่ควรจะรบกวนฉันแบบนี้นะคะ”
เหยียนสือเซี่ยพูดจบก็ชี้ไปที่มือของถังอี้ที่ยังขวางอยู่ที่ประตูรถไม่ยอมปล่อย กล้าขวางเธอแบบนี้ก็ระวังไว้เถอะ พรุ่งนี้เธอจะปล่อยข่าวลือใส่ร้ายเขาให้ทั่วซั่นเป่ยเลยคอยดู
“ช่างกล้ามากนะคุณผู้หญิง แล้วเรามาคอยดูกัน”
มีเปลวไฟเล็กๆ ปะทุขึ้นในแววตาของถังอี้ เขาจำผู้หญิงคนนี้ไว้แล้ว คอยดูเถอะว่าเขาจะจัดการกับเธออย่างไรในอนาคต
“ฉันจะจำไว้ค่ะคุณชายถัง หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งในศาลนะคะ”
วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วเธอจะทำให้เขาเดินออกมาจากศาลอย่างพ่ายแพ้จนหมดรูป
“ให้ตายเหอะ!”
ถังอี้สบถพลางขึ้นรถเฟอร์รารี่ที่อยู่ข้างๆ วินาทีถัดมารถก็พุ่งออกไปจากบริเวณใกล้ๆ เธอพร้อมกับส่งเสียงดังหวีดหวิว เธอเกือบจะตายเพราะสำลักไอเสียที่พุ่งออกมา
“ถังอี้เป็นบ้าอะไรของเขา!”
พอสบถไปแล้วเหยียนสือเซี่ยก็ขึ้นรถของตัวเอง ผู้ชายรวยๆ นี่ไม่มีอะไรดีเลยสักนิด
……
เฉียวชูเฉี่ยนแก้ไขเอกสารอยู่ที่บริษัทตลอดช่วงบ่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือเปล่า เอกสารที่คิดว่าสมบูรณ์แบบแล้วในตอนแรก พอลองอ่านอย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่ามันยังมีหลายจุดที่ไม่สมบูรณ์ จากที่ไม่เต็มใจแก้ก็กลายเป็นหมกมุ่น เมื่อพิมพ์แผนงานออกมาใหม่จนเสร็จเรียบร้อยก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
“แย่ละ ลืมไปรับจิ่งเหยียนเลย”
เธอกระวีกระวาดปิดคอมพิวเตอร์แล้วรีบวิ่งลงไปที่ฉันล่างเพื่อเรียกแท็กซี่ไปรับเจ้าตัวน้อย “ขอพระเจ้าช่วยอวยพรอย่าให้เจ้าตัวน้อยโกรธเล้ย”
เธอคอยเร่งคนขับแท็กซี่อยู่หลายครั้งจนในที่สุดรถก็หยุดอยู่หน้าประตูโรงเรียน ทว่าเจ้าตัวน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เมื่อสอบถามครูประจำชั้นจึงทราบว่าหลังเลิกเรียนมีคนจากตระกูลเฉินมารับเจ้าตัวน้อยกลับไปแล้ว
เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยลูกชายของเธอก็ปลอดภัย จากนั้นจึงนั่งแท็กซี่กลับไปที่บ้านตระกูลเฉิน เมื่อคนรับใช้เห็นเธอกลับมาจึงรีบเข้ามาช่วยถือกระเป๋าให้ “นายหญิง คุณชายน้อยกำลังเล่นอยู่ในบ้านค่ะ”
“ขอบใจนะ”
เมื่อก้าวเข้าไปข้างในจึงเห็นว่าจิ่งเหยียนกำลังเล่นอยู่กับท่านผู้หญิงในห้องรับแขกอย่างสนุกสนาน
“กลับมาแล้วหรือยายหนู วันนี้ย่าไม่มีอะไรทำ เฉินเป่ยชวนเพิ่งกลับมาพอดี ย่ากับเขาก็เลยไปรับจิ่งเหยียนกลับมาจากโรงเรียน”
ท่านผู้หญิงอธิบายยิ้มๆ อย่างรู้สึกชื่นอกชื่นใจ คนในวัยอย่างเธอไม่มีอะไรให้ทำนอกจากรอความตายไปวันๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเพราะมีเหลนให้ดูแล ได้ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน ชีวิตความเป็นอยู่จึงค่อยดีขึ้นเยอะ
“ขอบคุณนะคะคุณย่า พอดีวันนี้งานยุ่งนิดหน่อย กว่าจะออกมาก็ช้าแล้ว”
เฉียวชูเฉี่ยนพูดแล้วก็เหลือบไปมองเฉินเป่ยชวนที่นั่งอยู่ที่โซฟา มีคนบางคนจงใจสั่งให้เธอแก้งาน ไม่อย่างนั้นโรคชอบทำงานเพลินของเธอคงไม่กำเริบและก็คงไม่ไปรับลูกกลับจากโรงเรียนสายแบบนี้
“เป่ยชวน เป็นเจ้านายประสาอะไรกันน่ะ ยายหนูเป็นภรรยาเธอนะ เธอจะใช้งานพนักงานในบริษัทเยี่ยงทาสก็ช่างปะไร แต่ทำไมถึงไม่ดูแลหลานสะใภ้ของย่าให้ดี ยายหนูเป็นเลขา ไม่ใช่คนใช้แรงงาน ให้คอยเสิร์ฟชาชงชาก็พอแล้ว คราวหน้าถ้าย่ารู้ว่าเธอใช้งานยายหนูหนักอีกละก็ คอยดู ย่าจะตีให้ตายเลย”
สายตาของท่านผู้หญิงมองอย่างรู้ทัน มองแค่นิดเดียวก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียวชูเฉี่ยนขมวดคิ้ว คนที่คอยเสิร์ฟชาไม่ใช่เลขาแต่เป็นสาวใช้ เธอยอมให้เฉินเป่ยชวนสั่งให้เธอทำงานล่วงเวลาเพื่อแก้ไขแผนงานยังจะดีกว่า
“ยังไม่ถึงคิวเธอเสิร์ฟน้ำชา”
เฉินเป่ยชวนทำเสียงฮึนิดหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร
“ยายหนูกลับมาทันเวลาอาหารเย็นพอดี อาหารพร้อมแล้ว รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวดีกว่า ไม่กี่วันมานี้ดูหนูผอมลงไปเยอะ”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วยิ้ม ก่อนจะจูงมือเฉียวชูเฉี่ยนไปที่ห้องรับประทานอาหาร
อาหารเย็นถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยเต็มโต๊ะอาหาร ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูโปรดของเธอทั้งนั้น เธอวางมือลงที่หน้าท้องแฟบๆ ของตนเอง วันนี้ทั้งวันเธอทำงานยุ่งจนหัวหมุน ตอนนี้จึงรู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อย
“ลองชิมหมูตุ๋นน้ำแดงวันนี้หน่อย ย่าแค่ได้กลิ่นนิดเดียวก็รู้สึกแล้วว่ากลิ่นหอมกว่าทุกวัน” ท่านผู้หญิงพูดพลางตักหมูตุ๋นน้ำแดงใส่ลงในถ้วยของเธอ
“คุณแม่ขา สาวๆ สมัยนี้เขาไม่กินข้าวกันแล้วเพราะรักษาหุ่น คุณแม่อย่าตักเนื้อใส่ถ้วยคนอื่นอย่างนั้นสิคะ บางทีเขาอาจจะไม่อยากกินก็ได้ คุณแม่กระตือรือร้นตักเนื้อให้เขาแบบนี้มันไม่เหมาะนะคะ น่าอายจริงๆ”
เว่ยชูหรงที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ เธอทนมองท่านผู้หญิงปฏิบัติต่อเฉียวชูเฉี่ยนอย่างรักใคร่ไม่ได้ เธออยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งหลายปี แต่ท่านผู้หญิงไม่เคยปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้มาก่อนเลย
“เธออย่ามาพูดจาซี้ซั้วไร้สาระ ยายหนูผอมจนแทบจะเป็นตะเกียบอยู่แล้ว ถ้าไม่บำรุงเพิ่มแล้วต่อไปจะให้กำเนิดเหลนสาวให้ฉันได้ยังไง”
“…”
เดิมทีเธอคิดว่าบรรยากาศก็อึดอัดอยู่แล้ว พอท่านผู้หญิงพูดแบบนี้ขึ้นมาใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม เธอกับเฉินเป่ยชวนอย่ากันมาตั้งเจ็ดปีแล้ว จะมีลูกด้วยกันอีกได้อย่างไร