“ต่อให้คุณไม่โทรมา ฉันก็จะตั้งใจจะโทรไปบอกข่าวคุณเรื่องผู้หญิงคนนั้นพอดี”
“ข่าวอะไร?”
หลินเฟยเอ๋อร์ฟังแล้วขมวดคิ้วทันที เธอมั่นใจว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนแน่ๆ
“ยัยเฉียวชูเฉี่ยนคนนั้นพาลูกเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าของตระกูลเฉินแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาเฉินเป่ยชวนกับสองแม่ลูกนั่นก็ดูรักใคร่กันดี แม้แต่ฉันยังรู้สึกว่าพวกเขาดูเหมือนเป็นครอบครัวหวานชื่นที่มีกันสามคนพ่อแม่ลูกเลย”
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
หลินเฟยเอ๋อร์ถามเสียงสูง เฉียวชูเฉี่ยนน่ะหรือพาลูกเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าของตระกูลเฉิน?
จะเป็นไปได้ยังไง?
“แล้วเด็กนั่นล่ะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ภายในอาทิตย์หน้าคุณต้องบอกฉันให้ได้ว่าเด็กนั่นมันเป็นลูกชายของเฉินเป่ยชวนจริงหรือเปล่า!”
เธอพูดอย่างระงับความโกรธไว้ไม่ได้ก่อนจะวางสายในทันที เฉียวชูเฉี่ยน เฉินเป่ยชวนเป็นของฉัน!
วันรุ่งขึ้นเฉียวชูเฉี่ยนนอนหลับโดยไม่ต้องพะวงเลยว่าจะตื่นสาย ดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์เธอจึงไม่ต้องไปทำงาน ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ
หลังจากล้างหน้าแต่งตัวเรียบร้อยเธอจึงลงไปที่ชั้นล่าง ทันใดนั้นท่านผู้หญิงก็หันมาถามเธออย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “เมื่อวานนี้เหนื่อยหรือเปล่ายายหนู เมื่อคืนคงนอนหลับสนิทเลยใช่ไหม”
“…”
อุตส่าห์หลีกเลี่ยงความอับอายที่ต้องไปทำงานสายมาได้ แต่กลับหลีกเลี่ยงคำถามที่ชวนให้คิดลึกของท่านผู้หญิงไม่ได้ เมื่อนึกถึงบทรักอันร้อนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนเหมือนเป็นการยอมรับโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
“เยี่ยมจริงๆ ย่าหวังว่าพวกหนูจะพยายามให้มากขึ้นนะ ให้ย่าได้อุ้มเหลนเร็วกว่านี้หน่อย”
ท่านหวังจริงๆ ว่าซุปเมื่อคืนจะมีประโยชน์ ถ้าเป็นแบบนั้นหลังจากนี้ไปอีกแปดเดือนกว่าท่านคงจะได้เป็นย่าทวดอีกครั้ง
“คุณย่า ถ้าคุณย่าพูดแบบนี้อีกหนูจะย้ายออกไปนะคะ”
ใบหน้าของเธอร้อนผะผ่าว แม้จะรู้ว่าคุณย่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องดีต่อตัวพวกเขา แต่เธอก็ยังรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง ยังไงหนูกับเป่ยชวนและเหลนรักของย่าก็ต้องอยู่ที่นี่”
ท่านผู้หญิงรู้ว่าเธอเป็นคนคิดมากและอ่อนไหวง่าย ตอนนั้นเองเฉียวชูเฉี่ยนเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนรับใช้กำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน และในห้องครัวยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก
“วันนี้เป็นวันอะไรหรือคะคุณย่า”
“วันนี้จิ้นถงกลับมาจากต่างประเทศน่ะ คิดว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็คงจะนั่งเครื่องมาถึงแล้วละ”
ท่านผู้หญิงตอบยิ้มๆ แม้ว่าท่านจะไม่ชอบเว่ยชูหรงเอามากๆ แต่ว่าจิ้นถงก็นับว่าเป็นหลานและเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเหมือนกัน
“เขากลับมาแล้วหรือคะ?”
ความประทับใจของเธอที่มีต่อเฉินจิ้นถงยังคงประทับอยู่ในภาพความทรงจำที่งดงามเมื่อเจ็ดปีก่อน เวลาเจ็ดปีผ่านไปในชั่วพริบตา
“เด็กคนนี้ไปเรียนต่อต่างประเทศ พอไปแล้วก็ไม่อยากจะกลับมา ดีแล้วที่ตอนนี้จิ้นถงกลับมาได้ ในที่สุดครอบครัวของเราก็จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที”
ทันทีที่เว่ยชูหรงซึ่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินที่ท่านผู้หญิงพูด เธอก็เอ่ยแทรกขึ้นมายิ้มๆ “ใช่แล้วค่ะ สองสามปีที่จิ้นถงไปเรียนต่อต่างประเทศเขาไม่เคยรบกวนครอบครัวเรื่องค่าใช้จ่ายเลยสักนิด หน่วยงานที่จิ้นถงทำงานอยู่ที่นั่นพอรู้ว่าจิ้นถงจะกลับมา ประธานบริษัทถึงกลับมาขอร้องให้เขาอยู่ต่อด้วยตัวเองเลยนะคะ ลูกชายของหนูเนี่ย เก่งกว่าหนูที่เป็นแม่ของเขามากเลยละค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนอยากจะทำเป็นไม่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าหล่อนพยายามจะยกยอลูกชายตัวเองอย่างไม่พยายามเก็บอาการเลยสักนิด เธอเองก็เป็นแม่คน ถึงแม้ว่าในสายตาของเธอจิ่งเหยียนจะเป็นเด็กที่ดีเลิศที่สุดในโลก แต่เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา
“จิ้นถงเก่งกว่าเธอจริงๆ นั่นละ คงเป็นเพราะยีนของตระกูลเฉินของเราถ่ายทอดมาดี”
ท่านผู้หญิงรับไม่ได้กับน้ำเสียงที่เว่ยชูหรงเอ่ยออกมาจึงอดไม่ได้ที่จะทำเสียงฮึ่มฮั่มอย่างไม่พอใจ หลานชายทั้งสองคนของท่านไม่ใช่คนเลวร้าย พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นลูกหลานของตระกูลเฉินเหมือนกัน แต่หล่อนยังจะเอาพวกเขามาเปรียบเทียบกันอยู่ได้
“คุณแม่พูดถูกค่ะ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะยีนดีๆ ของตระกูลเฉิน หนูคิดว่าจิ้นถงกับเป่ยชวนต้องยอดเยี่ยมพอๆ กันแน่เลยค่ะ”
เว่ยชูหรงรีบกล่าวเสริมทันที ยายแก่หนังเหนียว ตอนนี้ทำมาบอกว่าทุกอย่างเป็นเพราะยีนของตระกูลเฉิน แต่ตอนมีเรื่องกันก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเฉินให้เจ้าเด็กเถื่อนนั่น ทำไมไม่คิดบ้างว่าตระกูลเฉินยังมีจิ้นถงอยู่อีกคน
ท่านผู้หญิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น แต่เว่ยชูหรงกลับหมุนเอวบางๆ นั้นหันกลับไปที่ห้องครัวเสียแล้ว “แม่หลิว วันนี้ต้องทำอาหารเพิ่มอีกนะ จิ้นถงไม่ได้กลับมานานแล้ว ต้องทำอาหารที่เขาชอบไว้เยอะๆ”
ครั้งก่อนที่เฉินเป่ยชวนกลับมา ยายแก่หนังเหนียวบอกให้แม่บ้านหลิวทำแต่อาหารที่เฉินเป่ยชวนกับเฉียวชูเฉี่ยนชอบ ซึ่งลูกชายชองของหล่อนไม่ควรจะต้องมาทนทรมานกับอะไรแบบนั้น
“ค่ะ คุณหญิง”
“คุณย่า เดี๋ยวหนูไปดูทีวีเป็นเพื่อนนะคะ”
ถึงอย่างไรเฉียวชูเฉี่ยนก็เคยอาศัยอยู่ในตระกูลเฉินมาตลอดหนึ่งปี เธอรู้จักนิสัยใจคอของเว่ยชูหรงกับท่านผู้หญิงเป็นอย่างดี จึงรีบประคองท่านผู้หญิงแล้วพาไปที่ห้องนั่งเล่น
สายตากวาดมองไปภายในห้องนั่งเล่น หรือว่าเฉินเป่ยชวนจะไปรับเฉินจิ้นถง?
“เป่ยชวนพาจิ่งเหยียนออกไปซื้อสมุดมาทำการบ้านน่ะ อีกเดี๋ยวก็คงกลับ”
ไม่คิดเลยว่าแค่มองแค่นี้คุณย่าจะอ่านความคิดของเธอได้ทะลุปรุโปร่ง เธอก้มหน้ามองอย่างอึดอัด “หนูยังไม่ได้ถามอะไรเลยนะคะคุณย่า”
หลังจากนั่งดูละครเป็นเพื่อนคุณย่าอยู่หนึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงรถมายบัคดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะเงียบลงในที่สุด
“หม่ามี๊ ผมกลับมาแล้วฮะ ดูสิฮะ ผมซื้อสมุดปากกามาเพียบเลย”
เจ้าตัวน้อยหยิบอุปกรณ์ที่เขาซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตออกมาให้ดูด้วยรอยยิ้ม นอกจากนี้เขายังแวะกินไอศกรีมมาด้วย รู้สึกว่าเวลามีคนนิสัยไม่ดีอย่างเฉินเป่ยชวนไปด้วยนั้นเป็นอะไรที่ดีมากๆ
“งั้นก็รีบไปทำการบ้านที่ครูให้มาให้เสร็จนะ อีกเดี๋ยวจะมีคนมาที่บ้าน”
เฉียวชูเฉี่ยนมองมุมปากที่เลอะไอศกรีมของเขาซึ่งยังไม่ได้เช็ดให้สะอาดโดยไม่ว่าอะไร รีบเร่งให้เจ้าตัวน้อยขึ้นไปทำการบ้านเสียก่อน
“ใครจะมาฮะ?”
เจ้าตัวน้อยมองผู้คนที่กำลังทำงานกันยุ่ง เป็นคนแบบไหนกันนะถึงทำให้ในบ้านวุ่นวายได้ขนาดนี้
“คุณอาของหนูจ้ะ เขาเป็นน้องชายของพ่อหนู”
ท่านผู้หญิงตอบยิ้มๆ แล้วรีบดึงเจ้าตัวน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ท่านละอยากจะกอดเขาแบบนี้ไปทุกๆ วัน
“ผมมีคุณอาด้วยเหรอฮะ?”
เด็กน้อยมองไปที่เฉินเป่ยชวนและเฉียวชูเฉี่ยนด้วยความสงสัย ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยบอกเลยล่ะว่าเขามีคุณอาด้วย
“ขึ้นไปทำการบ้านก่อนไป”
เฉินเป่ยชวนออกคำสั่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากขึ้นไปข้างบนอีกแต่ก็จำต้องขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง อีกเดี๋ยวเขาคงจะได้เห็นว่าคุณลุงคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่ เป็นคนดีหรือว่าเป็นคนเลว?
“จิ้นถงใกล้จะกลับมาแล้วสินะ?”
หลังจากมองนาฬิกาข้อมือเขาก็หันกลับไปมองด้านนอกประตูด้วยแววตาที่ไม่ค่อยคาดหวังอะไรนัก
“ใกล้แล้วล่ะ คิดว่าตอนนี้คนขับรถคงกำลังพาเขากลับมา”
ท่านผู้หญิงเองก็มองตามเขาไปเหมือนกัน ลูกหลานกลับมากันหมดแล้ว ขอเพียงแต่ครอบครัวเฉินมีความสุข ต่อให้ท่านจะต้องตายในวันพรุ่งนี้ท่านก็พอใจแล้ว
อีกยี่สิบนาทีต่อมารถยนต์ของที่บ้านก็กลับมาถึง คนขับดับเครื่องแล้วรีบวิ่งลงไปเพื่อเปิดประตูให้ผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลัง แต่ก่อนที่จะดึงประตูให้เปิดออก ประตูก็ถูกผลักออกมาจากทางด้านใน
เฉินจิ้นถงลงมาจากรถ เขาสวมชุดสูทสีขาวที่เรียบหรูและดูดีซึ่งดูเหมือนจะช่วยลดภาพความเข้มงวดของชุดที่เป็นทางการลง ทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เครื่องหน้าที่โดดเด่นนั้นดูคล้ายกับเฉินเป่ยชวน เขาใส่แว่นตากรอบทองซึ่งรับกันพอดีกับจมูกที่โด่งเป็นสัน ดูสง่าและอ่อนโยน
“ตายแล้ว จิ้นถงลูกรักของแม่ ลูกกลับมาแล้วจริงๆ แม่คิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
เว่ยชูหรงรีบถลันออกมาจากคฤหาสน์ทันทีและทำท่าเหมือนจะอุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน แต่หล่อนจะอุ้มลูกชายที่สูงตั้งหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรขึ้นมาง่ายๆ ได้อย่างไร กลับกัน เฉินจิ้นถงยิ้มให้แล้วเป็นฝ่ายดึงหล่อนเข้ามากอดไว้ในอ้อมกอดของเขาแทน
“แม่ครับ ผมบอกไปแล้วนี่นาว่าผมแค่ไปเรียนต่อ เรียนจบแล้วเดี๋ยวก็กลับ”