ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 79 น้องชายสามี

น้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าในความทรงจำทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกสบายใจ เมื่อก่อนเธอรู้สึกว่าน้องชายของสามีคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยน หลังจากผ่านไปเจ็ดปีเขากลับยิ่งดูมีสง่ามากขึ้น

“ผมกลับมาแล้วครับคุณย่า คุณย่าไม่รู้หรอกว่าตอนที่อยู่ต่างประเทศ คนที่ผมคิดถึงมากที่สุดไม่ใช่แฟน แต่ว่าเป็นคุณย่า”

หลังจากสวมกอดเว่ยชูหรง เฉินจิ้นถงก็รีบหันไปออดอ้อนท่านผู้หญิงจนท่านหัวเราะออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน “เจ้าเด็กคนนี้ ไปเอาตัวอย่างไม่ดีมาจากต่างประเทศ มาถึงก็พ่นคำหวานใส่ย่าเลยนะ”

เฉินจิ้นถงได้แต่ยิ้มโดยไม่โต้แย้งใดๆ จากนั้นจึงเบนสายตาไปหาเฉินเป่ยชวน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับพี่ ดูหล่อขึ้นนะเนี่ย ยิ่งเห็นผมละยิ่งอิจฉา”

การกอดกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายดูประหนึ่งการหยอกล้อ เมื่อเบนสายตาออกมาเล็กน้อยเขาจึงเห็นเฉียวชูเฉี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่สะใภ้?”

ถ้อยคำที่เรียกออกมาด้วยความประหลาดใจทำให้สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูอึดอัด การเรียกเธอด้วยคำคำนี้ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก

“เรียกฉันว่าเฉียวชูเฉี่ยนเถอะค่ะ”

ถึงอย่างไรตอนนี้เธอกับเฉินเป่ยชวนก็ยังคงเป็นแค่อดีตสามีภรรยา แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้ แต่สมาชิกในตระกูลเฉินรู้ดีว่าพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันใหม่ เพราะฉะนั้นการเรียกเธอแบบนี้จึงไม่เหมาะ

“แบบนั้นละดีแล้ว ผมถือว่าพี่เป็นพี่สะใภ้ของผมมาตลอด”

เขาใช้มือดันแว่นที่สันจมูกพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่สุภาพอ่อนโยนนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนเห็นแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย ช่างเขาเถอะ ถึงยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น

“อย่ามัวมายืนอยู่ข้างนอกกันอยู่เลย รีบพาคุณชายรองไปทักทายกันข้างในดีกว่า ย่าให้คนทำความสะอาดห้องนอนไว้ให้แล้ว ลองไปดูสิว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า”

ท่านผู้หญิงทักทายอย่างดีอกดีใจ ส่วนเว่ยชูหรงเป็นคนดึงเขาเข้าไปข้างในบ้าน “จิ้นถง เดี๋ยวแม่พาพาไปดูห้องเองจ้ะ ตั้งแต่ลูกบอกว่าจะกลับมา แม่ก็เปลี่ยนผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนในห้องลูกใหม่ทั้งหมด จะได้แน่ใจว่าลูกจะนอนหลับสบาย”

“แม่ครับ ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย ของเดิมก็ยังไม่ได้เก่าขนาดนั้น”

เฉินจิ้นถงพูดพลางเดินตามเว่ยชูหรงขึ้นไปชั้นบน

เฉียวจิ่งเหยียนออกมาจากในห้องเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว แล้วก็พบเข้ากับเฉินจิ้นถงและเว่ยชูหรงที่ขึ้นมาชั้นบน

นี่คงเป็นคุณอาของเขา ในเมื่อพบหน้ากันแล้วเขาก็ควรเอ่ยทักทายอย่างสุภาพเพื่อจะได้ไม่ให้ใครมาว่าเขาได้ว่าไม่มีใครสั่งสอน

“คุณอา”

“นี่คือ…”

เฉินจิ้นถงมองเจ้าตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ช่างเหมือนพี่ชายของเขาจริงๆ

“นี่คือไอ้เด็กหยาบคายที่ยัยเฉียวชูเฉี่ยนพามา”

เว่ยชูหรงลดเสียงลงกระซิบที่ข้างหูของลูกชาย ตอนนี้จิ้นถงกลับมาแล้ว เจ้าเด็กหยาบคายนี่อย่าคิดว่าจะได้ส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉินไปแม้แต่แดงเดียว

“คุณอาไม่ได้ซื้อของขวัญมาให้เลย ไว้วันหลังเดี๋ยวอาพาหนูไปเลือกของขวัญที่ร้านของเล่นดีไหม?”

เฉินจิ้นถงย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉียวจิ่งเหยียนควรจะพยักหน้ารับ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงพยักหน้าไม่ลงและรู้สึกว่าควรปฏิเสธไปด้วย

“ผมไม่อยากได้ของขวัญหรอกฮะ แค่คุณอากลับมาก็ดีแล้ว”

พูดจบเจ้าตัวน้อยก็มุดกลับเข้าห้องของตัวเอง คุณอาคนนี้ก็หน้าตาดีอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบแว่นของเขาเลย

“ลูกของพี่นี่น่ารักจริงๆ”

เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ริมฝีปากบางที่เหมือนริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มเล็กน้อย ดูเป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกที่มีความสุขดี

เว่ยชูหรงไม่คิดว่าลูกชายของตนจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาและเธอก็อดกังวลไม่ได้ สองสามปีที่อยู่ต่างประเทศจิ้นถงรู้แต่เพียงเรื่องการเรียนอะไรโง่ๆ หรือ ทำไมโตจนป่านนี้แล้วถึงยังโง่เขลาขนาดนี้

ที่ชั้นล่างนั้น เฉียวชูเฉี่ยนไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่าแววตาของเฉินเป่ยชวนกลับเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เฉินจิ้นถงที่ไม่เคยกลับมาจากต่างประเทศเลยทำไมอยู่ๆ ถึงได้กลับมาในเวลานี้

ภายในห้องครัวได้จัดเตรียมอาหารมื้อค่ำที่แสนอร่อยไว้แล้ว เฉินจิ้นถงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง “ของโปรดผมทั้งนั้นเลย นี่กะจะให้ผมเป็นหนุ่มโสดเนื้อทองที่อ้วนที่สุดในซั่นเป่ยหรือเปล่าครับ”

หลังจากพูดติดตลกเขาก็นั่งลงตรงเก้าอี้ถัดจากเว่ยชูหรง

“ไม่ได้เพิ่งบอกหรอกหรือว่ามีแฟนแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นโสดแล้วซะล่ะ?”

ท่านผู้หญิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามทันที จิ้นถงไม่ใช่เด็กๆ แล้ว และลูกชายของเป่ยชวนก็โตขนาดนี้แล้วด้วย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ควรมีคู่ชีวิตที่มั่นคงได้แล้ว

“ผมอยู่ต่างประเทศไงครับคุณย่า คุณย่าอยากได้สาวฝรั่งเป็นหลานสะใภ้หรือครับ นี่ไง ผมก็เลยไม่รีบกลับมาซั่นเป่ย เดี๋ยวไว้ผมจะหาหลานสะใภ้ตามที่คุณย่าต้องการให้”

เฉินจิ้นถงตอบอย่างใจเย็นและสุภาพ ทั้งยังแฝงไปด้วยอารมณ์ขันจนท่านผู้หญิงอดที่จะหัวเราะอย่างมีความสุขไม่ได้

“เจ้าเด็กคนนี้ช่างหาเหตุผลมาอ้างได้ตลอด กินข้าวเถอะ กินอิ่มแล้วค่อยไปหาหลานสะใภ้ให้ย่า”

เมื่อถูกเร่งให้หาแฟนเขาก็เหลือบไปมองเฉินเป่ยชวนและเฉียวชูเฉี่ยนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณย่าอยากได้หลานสะใภ้ หลานสะใภ้ก็นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

ดวงตาที่อยู่หลังแว่นหันไปมองเฉียวชูเฉี่ยนเป็นนัยๆ แต่ท่านผู้หญิงไม่หลงกลง่ายๆ “ย่าไม่ได้พูดถึงเป่ยชวน ย่าพูดถึงเธอ”

“ก็ได้ครับ ไว้พรุ่งนี้ผมหายจากอาการเจ็ตแล็กแล้วผมจะออกไปตามหาให้ โอเคไหมครับ แต่ว่าเรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าพี่กับพี่สะใภ้จะแต่งงานกันใหม่หรือเปล่า?”

“…”

เฉียวชูเฉี่ยนสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าแต่งงานใหม่ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบยังไงดี ตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินเป่ยชวนคราวนั้นเธอเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างเองแทบทั้งหมด เป็นเธอเองที่บอกให้พ่อไปเจรจาเรื่องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจกับตระกูลเฉิน

ทว่าคราวนี้เธอไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

และสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปที่จะพูดเรื่องการแต่งงานใหม่

“รอนายหาแฟนให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมายุ่งเรื่องของเราสองคน”

เฉินเป่ยชวนผลักหัวข้อสนทนาให้วกกลับไปที่เรื่องของเขา เฉียวชูเฉียนก้มหน้าลง บางทีคงไม่ใช่แค่เธอที่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานใหม่ เฉินเป่ยชวนเองก็คงยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้เหมือนกัน

“พี่นี่สุดยอดจริงๆ พูดแค่นิดเดียวแต่ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น สงสัยผมคงต้องหาแฟนให้ได้เร็วๆ แล้วละ ไม่งั้นลำบากแน่”

มุมปากของเฉินจิ้นถงกระตุกยิ้มอย่างน่ามอง แสงไฟอ่อนๆ ที่ส่องกระทบลงบนโต๊ะอาหารสีขาวสะท้อนขึ้นไปกระทบกับเลนส์แว่นของเขาจนเป็นประกายวาบ

เวลากลางคืนยิ่งดึกก็ยิ่งมืด เฉียวชูเฉี่ยนที่กินอาหารรสเค็มมากไปตอนมื้อเย็นต้องลงมาข้างล่างเพื่อหาน้ำดื่ม ขณะที่กำลังเดินผ่านชั้นสอง สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าไฟในห้องของเฉินจิ้นถงยังเปิดอยู่

นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่นอนอีก? เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะเจ็ตแล็กเขาก็เลยนอนไม่หลับ?

พอคิดจะเดินไปถามว่าเขาอยากได้ยานอนหลับไหม อยู่ๆ ไฟในห้องก็ดับลง

เธอยักไหล่เบาๆ จากนั้นจึงค่อยเดินลงไปชั้นล่าง

ภายในห้องที่มืดสนิท เฉินจิ้นถงยังคงอยู่ในชุดลำลองชุดเดียวกับที่ใส่ลงไปกินข้าว เขายืนอยู่บนพื้นด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า แว่นตาขอบทองถูกถอดออกไปจนเผยให้เห็นดวงตาที่สวยงามของเขา เมื่อเทียบกับดวงตาที่เฉยชาและอ่านยากของเฉินเป่ยชวน ดวงตาของเฉินจิ้นถงซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากเว่ยชูหรงนั้นดูเรียวยาวกว่า เป็นดวงตารูปดอกท้อที่ดูเหมือนฉาบไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา

ผ้าม่านตรงหน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดออกไว้เพียงครึ่งหนึ่ง สภาพอากาศภายนอกไม่ค่อยเป็นใจจึงทำให้มองไม่เห็นพระจันทร์ มีเพียงแค่แสงสว่างจากเสาไฟบนท้องถนนเท่านั้น

เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่ากำลังมองแสงไฟบนถนน พร้อมกันนั้นก็ดูราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังมองไปทางนั้น

เขาใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงไปบนกระจกที่อยู่ข้างๆ สองครั้ง เขากลับมาแล้ว

ที่นี่มีบางสิ่งที่ทำให้เขาคิดถึงอยู่เสมอ…

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะลงไปชั้นล่างกลับขึ้นไปชั้นบน แล้วริมฝีปากบางของเขากระตุกยิ้ม แฟนน่ะหรือ… เดี๋ยวเขาคงจะหาได้ในเร็วๆ นี้

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset