น้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าในความทรงจำทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกสบายใจ เมื่อก่อนเธอรู้สึกว่าน้องชายของสามีคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยน หลังจากผ่านไปเจ็ดปีเขากลับยิ่งดูมีสง่ามากขึ้น
“ผมกลับมาแล้วครับคุณย่า คุณย่าไม่รู้หรอกว่าตอนที่อยู่ต่างประเทศ คนที่ผมคิดถึงมากที่สุดไม่ใช่แฟน แต่ว่าเป็นคุณย่า”
หลังจากสวมกอดเว่ยชูหรง เฉินจิ้นถงก็รีบหันไปออดอ้อนท่านผู้หญิงจนท่านหัวเราะออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน “เจ้าเด็กคนนี้ ไปเอาตัวอย่างไม่ดีมาจากต่างประเทศ มาถึงก็พ่นคำหวานใส่ย่าเลยนะ”
เฉินจิ้นถงได้แต่ยิ้มโดยไม่โต้แย้งใดๆ จากนั้นจึงเบนสายตาไปหาเฉินเป่ยชวน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับพี่ ดูหล่อขึ้นนะเนี่ย ยิ่งเห็นผมละยิ่งอิจฉา”
การกอดกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายดูประหนึ่งการหยอกล้อ เมื่อเบนสายตาออกมาเล็กน้อยเขาจึงเห็นเฉียวชูเฉี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่สะใภ้?”
ถ้อยคำที่เรียกออกมาด้วยความประหลาดใจทำให้สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนดูอึดอัด การเรียกเธอด้วยคำคำนี้ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก
“เรียกฉันว่าเฉียวชูเฉี่ยนเถอะค่ะ”
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอกับเฉินเป่ยชวนก็ยังคงเป็นแค่อดีตสามีภรรยา แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้ แต่สมาชิกในตระกูลเฉินรู้ดีว่าพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันใหม่ เพราะฉะนั้นการเรียกเธอแบบนี้จึงไม่เหมาะ
“แบบนั้นละดีแล้ว ผมถือว่าพี่เป็นพี่สะใภ้ของผมมาตลอด”
เขาใช้มือดันแว่นที่สันจมูกพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่สุภาพอ่อนโยนนั้นทำให้เฉียวชูเฉี่ยนเห็นแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย ช่างเขาเถอะ ถึงยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น
“อย่ามัวมายืนอยู่ข้างนอกกันอยู่เลย รีบพาคุณชายรองไปทักทายกันข้างในดีกว่า ย่าให้คนทำความสะอาดห้องนอนไว้ให้แล้ว ลองไปดูสิว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า”
ท่านผู้หญิงทักทายอย่างดีอกดีใจ ส่วนเว่ยชูหรงเป็นคนดึงเขาเข้าไปข้างในบ้าน “จิ้นถง เดี๋ยวแม่พาพาไปดูห้องเองจ้ะ ตั้งแต่ลูกบอกว่าจะกลับมา แม่ก็เปลี่ยนผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนในห้องลูกใหม่ทั้งหมด จะได้แน่ใจว่าลูกจะนอนหลับสบาย”
“แม่ครับ ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย ของเดิมก็ยังไม่ได้เก่าขนาดนั้น”
เฉินจิ้นถงพูดพลางเดินตามเว่ยชูหรงขึ้นไปชั้นบน
เฉียวจิ่งเหยียนออกมาจากในห้องเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว แล้วก็พบเข้ากับเฉินจิ้นถงและเว่ยชูหรงที่ขึ้นมาชั้นบน
นี่คงเป็นคุณอาของเขา ในเมื่อพบหน้ากันแล้วเขาก็ควรเอ่ยทักทายอย่างสุภาพเพื่อจะได้ไม่ให้ใครมาว่าเขาได้ว่าไม่มีใครสั่งสอน
“คุณอา”
“นี่คือ…”
เฉินจิ้นถงมองเจ้าตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ช่างเหมือนพี่ชายของเขาจริงๆ
“นี่คือไอ้เด็กหยาบคายที่ยัยเฉียวชูเฉี่ยนพามา”
เว่ยชูหรงลดเสียงลงกระซิบที่ข้างหูของลูกชาย ตอนนี้จิ้นถงกลับมาแล้ว เจ้าเด็กหยาบคายนี่อย่าคิดว่าจะได้ส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเฉินไปแม้แต่แดงเดียว
“คุณอาไม่ได้ซื้อของขวัญมาให้เลย ไว้วันหลังเดี๋ยวอาพาหนูไปเลือกของขวัญที่ร้านของเล่นดีไหม?”
เฉินจิ้นถงย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉียวจิ่งเหยียนควรจะพยักหน้ารับ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงพยักหน้าไม่ลงและรู้สึกว่าควรปฏิเสธไปด้วย
“ผมไม่อยากได้ของขวัญหรอกฮะ แค่คุณอากลับมาก็ดีแล้ว”
พูดจบเจ้าตัวน้อยก็มุดกลับเข้าห้องของตัวเอง คุณอาคนนี้ก็หน้าตาดีอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบแว่นของเขาเลย
“ลูกของพี่นี่น่ารักจริงๆ”
เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ริมฝีปากบางที่เหมือนริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนกระตุกยิ้มเล็กน้อย ดูเป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกที่มีความสุขดี
เว่ยชูหรงไม่คิดว่าลูกชายของตนจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาและเธอก็อดกังวลไม่ได้ สองสามปีที่อยู่ต่างประเทศจิ้นถงรู้แต่เพียงเรื่องการเรียนอะไรโง่ๆ หรือ ทำไมโตจนป่านนี้แล้วถึงยังโง่เขลาขนาดนี้
ที่ชั้นล่างนั้น เฉียวชูเฉี่ยนไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่าแววตาของเฉินเป่ยชวนกลับเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เฉินจิ้นถงที่ไม่เคยกลับมาจากต่างประเทศเลยทำไมอยู่ๆ ถึงได้กลับมาในเวลานี้
ภายในห้องครัวได้จัดเตรียมอาหารมื้อค่ำที่แสนอร่อยไว้แล้ว เฉินจิ้นถงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง “ของโปรดผมทั้งนั้นเลย นี่กะจะให้ผมเป็นหนุ่มโสดเนื้อทองที่อ้วนที่สุดในซั่นเป่ยหรือเปล่าครับ”
หลังจากพูดติดตลกเขาก็นั่งลงตรงเก้าอี้ถัดจากเว่ยชูหรง
“ไม่ได้เพิ่งบอกหรอกหรือว่ามีแฟนแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นโสดแล้วซะล่ะ?”
ท่านผู้หญิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถามทันที จิ้นถงไม่ใช่เด็กๆ แล้ว และลูกชายของเป่ยชวนก็โตขนาดนี้แล้วด้วย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ควรมีคู่ชีวิตที่มั่นคงได้แล้ว
“ผมอยู่ต่างประเทศไงครับคุณย่า คุณย่าอยากได้สาวฝรั่งเป็นหลานสะใภ้หรือครับ นี่ไง ผมก็เลยไม่รีบกลับมาซั่นเป่ย เดี๋ยวไว้ผมจะหาหลานสะใภ้ตามที่คุณย่าต้องการให้”
เฉินจิ้นถงตอบอย่างใจเย็นและสุภาพ ทั้งยังแฝงไปด้วยอารมณ์ขันจนท่านผู้หญิงอดที่จะหัวเราะอย่างมีความสุขไม่ได้
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างหาเหตุผลมาอ้างได้ตลอด กินข้าวเถอะ กินอิ่มแล้วค่อยไปหาหลานสะใภ้ให้ย่า”
เมื่อถูกเร่งให้หาแฟนเขาก็เหลือบไปมองเฉินเป่ยชวนและเฉียวชูเฉี่ยนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “คุณย่าอยากได้หลานสะใภ้ หลานสะใภ้ก็นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ดวงตาที่อยู่หลังแว่นหันไปมองเฉียวชูเฉี่ยนเป็นนัยๆ แต่ท่านผู้หญิงไม่หลงกลง่ายๆ “ย่าไม่ได้พูดถึงเป่ยชวน ย่าพูดถึงเธอ”
“ก็ได้ครับ ไว้พรุ่งนี้ผมหายจากอาการเจ็ตแล็กแล้วผมจะออกไปตามหาให้ โอเคไหมครับ แต่ว่าเรามาคุยกันก่อนดีกว่าว่าพี่กับพี่สะใภ้จะแต่งงานกันใหม่หรือเปล่า?”
“…”
เฉียวชูเฉี่ยนสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่าแต่งงานใหม่ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบยังไงดี ตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินเป่ยชวนคราวนั้นเธอเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างเองแทบทั้งหมด เป็นเธอเองที่บอกให้พ่อไปเจรจาเรื่องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจกับตระกูลเฉิน
ทว่าคราวนี้เธอไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
และสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปที่จะพูดเรื่องการแต่งงานใหม่
“รอนายหาแฟนให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมายุ่งเรื่องของเราสองคน”
เฉินเป่ยชวนผลักหัวข้อสนทนาให้วกกลับไปที่เรื่องของเขา เฉียวชูเฉียนก้มหน้าลง บางทีคงไม่ใช่แค่เธอที่ยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานใหม่ เฉินเป่ยชวนเองก็คงยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้เหมือนกัน
“พี่นี่สุดยอดจริงๆ พูดแค่นิดเดียวแต่ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น สงสัยผมคงต้องหาแฟนให้ได้เร็วๆ แล้วละ ไม่งั้นลำบากแน่”
มุมปากของเฉินจิ้นถงกระตุกยิ้มอย่างน่ามอง แสงไฟอ่อนๆ ที่ส่องกระทบลงบนโต๊ะอาหารสีขาวสะท้อนขึ้นไปกระทบกับเลนส์แว่นของเขาจนเป็นประกายวาบ
เวลากลางคืนยิ่งดึกก็ยิ่งมืด เฉียวชูเฉี่ยนที่กินอาหารรสเค็มมากไปตอนมื้อเย็นต้องลงมาข้างล่างเพื่อหาน้ำดื่ม ขณะที่กำลังเดินผ่านชั้นสอง สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าไฟในห้องของเฉินจิ้นถงยังเปิดอยู่
นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่นอนอีก? เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะเจ็ตแล็กเขาก็เลยนอนไม่หลับ?
พอคิดจะเดินไปถามว่าเขาอยากได้ยานอนหลับไหม อยู่ๆ ไฟในห้องก็ดับลง
เธอยักไหล่เบาๆ จากนั้นจึงค่อยเดินลงไปชั้นล่าง
ภายในห้องที่มืดสนิท เฉินจิ้นถงยังคงอยู่ในชุดลำลองชุดเดียวกับที่ใส่ลงไปกินข้าว เขายืนอยู่บนพื้นด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า แว่นตาขอบทองถูกถอดออกไปจนเผยให้เห็นดวงตาที่สวยงามของเขา เมื่อเทียบกับดวงตาที่เฉยชาและอ่านยากของเฉินเป่ยชวน ดวงตาของเฉินจิ้นถงซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากเว่ยชูหรงนั้นดูเรียวยาวกว่า เป็นดวงตารูปดอกท้อที่ดูเหมือนฉาบไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
ผ้าม่านตรงหน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดออกไว้เพียงครึ่งหนึ่ง สภาพอากาศภายนอกไม่ค่อยเป็นใจจึงทำให้มองไม่เห็นพระจันทร์ มีเพียงแค่แสงสว่างจากเสาไฟบนท้องถนนเท่านั้น
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่ากำลังมองแสงไฟบนถนน พร้อมกันนั้นก็ดูราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังมองไปทางนั้น
เขาใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงไปบนกระจกที่อยู่ข้างๆ สองครั้ง เขากลับมาแล้ว
ที่นี่มีบางสิ่งที่ทำให้เขาคิดถึงอยู่เสมอ…
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะลงไปชั้นล่างกลับขึ้นไปชั้นบน แล้วริมฝีปากบางของเขากระตุกยิ้ม แฟนน่ะหรือ… เดี๋ยวเขาคงจะหาได้ในเร็วๆ นี้