“ยายหนู บ้านเรามีห้องมากมาย ไม่เป็นไร”
ท่านผู้หญิงพูดขัดจังหวะทันทีและกล่าวต่อว่ามีห้องว่างมากมาย อย่างน้อยตกแต่งด้วยของเล่นบ้างก็ถือว่ามีประโยชน์
“… ”
เมื่อคิดว่าหล่อนค่อนข้างรักลูกเป็นอย่างมาก เธอก็ขี้เกียจที่จะถกเถียงต่อไป แต่กลับหันไปกล่าวคำขอบคุณกับเฉินจิ้นถงแทน ความสัมพันธ์ของเขากับเฉินเป่ยชวนไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก ถึงขั้นที่พูดได้เลยว่าหากเปรียบเทียบกับพี่น้องคนละแม่ทั่วไป ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนนั้นดีกว่ามาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเจ็ดปีก่อนเธอรู้สึกว่าตัวเองรักษาระยะห่างความสัมพันธ์กับเฉินจิ้นถง จนถึงวันนี้ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่
“พี่สะใภ้ พวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ อีกอย่างผมเองก็ไม่รู้ว่าจิ่งเหยียนยังอยู่ ตอนที่กลับมาก็ไม่ได้ทักทายตามมารยาท ผมเองก็เป็นถึงลุง คุณคงไม่ใจร้ายถึงขั้นไม่อนุญาตให้ผมแสดงความรักกับหลานหรอกนะ”
เฉินจิ้นถงเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มที่มุมริมฝีปากของเธอเผยขึ้นภายใต้แสงไฟของร้านอาหารและเธอก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน “หลังจากแสดงเสร็จในครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็ไม่ต้องฝืนทำแล้วนะ”
เว่ยชูหรงมองดูลูกชายของตนอยู่ด้านข้าง ถึงแม้ว่าจะมีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้า แล้วกลับขมวดคิ้วแน่น จิ้นถงคงจะไม่…
“ยายหนู เป่ยชวนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน? ”
ท่านผู้หญิงหันไปมองยังประตู ไม่กี่วันมานี้ทั้งสองคนมักจะเดินเข้าออกด้วยกันอย่างรักใคร่ แต่วันนี้กลับมีเพียงแค่ยายหนูคนเดียวที่กลับมา?
“เฟิงฉิงกำลังทำการค้ากับลี่จิ่ง เขาต้องไปทานอาหารกับคนรับผิดชอบของฝ่ายตรงข้าม และบอกว่าพวกเราไม่ต้องเขาค่ะ”
การซื้อกิจการทุนเป็นเรื่องปกติมากในปัจจุบัน บริษัทที่ถูกซื้อมาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอีกต่อไปพวกเขาถูกบังคับให้ขายบริษัทอย่างสิ้นหวัง แต่กลับรีบร้อนไปหาเฉินเป่ยชวนที่บริษัท MR
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นพวกเราก็ไม่ต้องรอเขาแล้ว กินข้าวกันเถอะ”
จากนั้นท่านผู้หญิงก็คลายความกังวลลงและรีบพาเฉียวชูเฉี่ยนไปที่ห้องอาหาร
“พี่สะใภ้ คุณทำงานที่ MR เหนื่อยไหม? ทำไมไม่ให้พี่ใหญ่ย้ายคุณไปทำที่สำนักงานใหญ่เฟิงฉิงล่ะ ยังไงซะตอนนี้สถานการณ์ที่ MRจะเรียนรู้อะไรก็ลำบาก ตำแหน่งที่นี่น่ะมีเยอะ มีอะไรให้เรียนรู้มากมาย”
หลังจากเริ่มทานอาหารได้ไม่นาน เฉินจิ้นถงที่อยู่ตรงข้ามก็เริ่มเปิดปากพูด
“ฉันเป็นเลขานุการที่บริษัทส่งไปที่ MR หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่นับว่าเป็นพนักงานของเฟิงฉิง แต่เป็นความสัมพันธ์แบบการร่วมมือ”
แม้ว่า MR จะมีขนาดเล็ก แต่เธอยังสามารถเรียนรู้มากมายจากบริษัท
“แบบนี้นี่เอง อ้อ จริงสิพี่สะใภ้ คุณเคยเรียนแพทย์มาก่อนไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเปลี่ยนสายงานมาเป็นเลขานุการได้ล่ะ?”
คำถามของเฉินจิ้นถงทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังถูกดึงเข้าไปในความทรงจำที่เธอพยายามซ่อนหรือลืมไป แต่ก็พบว่ามันยังคงแปดเปื้อนอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางสลัดออกไปได้
“จิ้นถง เวลากินข้าวอย่าพูดมาแบบนั้นสิ ในประเทศจีนถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะ”
ท่านผู้หญิงรีบหยุดหัวข้อที่ไม่ควรพูด ไม่ง่ายเลยกว่าที่ยายหนูจะคืนดีกับเป่ยชวน อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป จะพูดถึงอีกไปทำไมกัน
“คุณย่า ผมผิดไปแล้ว ผมสัญญาว่าจะไม่พูดอะไรสักคำครับ”
เฉินจิ้นถงก้มหน้าทานอาหารต่อไปอย่างเงียบๆ
เธอที่เดิมทีรู้สึกอยากกินอาหารเพียงกินไปได้ไม่กี่คำ มองดูเด็กชายทำการบ้านเสร็จก็กล่อมเขานอนหลับ เฉียวชูเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะเดินไปยังหน้าต่าง มองไปยังสวนที่ไร้วีแววรถยนต์หรูมายบัคของเฉินเป่ยชวน
แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากด้านนอกและสาดส่องลงบนพื้นราวกับเคลือบด้วยน้ำค้างแข็งสีเงิน แต่กลับทำให้คนรู้สึกเย็นสบาย
เธอโอบกอดไหล่ของตนด้วยสองแขนพลางนั่งลง การเรียนแพทย์เป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัด ช่วยเหลือคนบาดเจ็บด้วยความมุ่งมั่นและพยายาม เธอรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีเกียรติที่สุดในอาชีพ
แต่เพื่อที่จะแต่งงานกับเฉินเป่ยชวนและมีลูกกับเขาเธอต้องพักงานและรอให้ตนคลอดลูกแล้วจะกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่าความฝันอันสวยงามของเธอกลับเปลี่ยนแปลงไป
การเสียชีวิตของพ่อแม่ของเธอทำให้เธอได้รับความเสียหายครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายก็มาจากการซักถามของเฉินเป่ยชวนเอง
ด้วยความผิดหวังเธอตัดสินใจหย่าร้าง และพาลูกในท้องของเธอจากไปให้เร็วที่สุด แต่ในวันนี้ความฝันนั้นกลับพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเธอมาถึงอเมริกา เธอมีลูกที่ต้องดูแลอยู่ในท้อง ยังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่การเรียนแพทย์นั้นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อย่างช้าๆ เธอไม่สามารถรอได้ ดังนั้นจงตัดสินใจทำงานเป็นเลขเพื่อที่จะเลี้ยงดูตนเองและลูก ทำมาเป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว
การนึกถึงสิ่งดีๆ มักจะทำให้คนโหยหามัน และเช่นเดียวกันการนึกถึงความเจ็บปวดก็สามารถทำให้คนรู้สึกราวกับว่าตัวเล็กลงได้ เธอหดขาทั้งสองข้างและกอดมันไว้
ความฝันสุดท้ายนั้นงดงามและสวยงาม แต่มันก็พังทลายด้วยความน่าเศร้าเช่นกัน
เฉินเป่ยชวน คราวนี้ฉันแค่ต้องการความฝันที่ธรรมดาและมีความสุขมัน จะเป็นจริงได้ง่ายกว่าไหมนะ?
กลางดึกคืนนั้น รถยนต์หรูมายบัคจอดอยู่นอกคฤหาสน์ เกรงว่าเสียงเครื่องยนต์จะดังเกินไปที่จะปลุกคนที่กำลังหลับใหล
เขาเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างตั้งใจเบา ๆ และเขาก็เปิดประตูห้องนอนของเฉียวชูเฉี่ยนเข้าไปเบาๆ เพื่อดูว่าสองแม่ลูกนั้นนอนหลับแล้วหรือไม่
ในที่สุดเขาก็เห็นร่างเพรียวของเธอนอนขดตัวอยู่บนเบาะของหน้าต่าง เธอนอนชันเข่าราวกับหลับใหล
เขาขมวดคิ้วแน่น ผู้หญิงคนนี้กำลังรอเขาอยู่งั้นเหรอ?
เขาเดินไปหาเธอเบาๆ และแน่ใจว่าเธอกำลังหลับลึก แสงจันทร์ส่องเข้ามา เย็นเยียบและเงียบเหงา ร่างของเธอยังคงเพรียวบาง เหมือนกับคืนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อน ทุกครั้งที่เขาบ้านดึกก็มักจะเห็นเธอนอนขดอยู่ตรงนี้เพื่อรอเขากลับมา
“ยัยโง่ นอนริมหน้าต่างแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
เขาตำหนิเบา ๆ แต่เขาก็รวบร่างของเธอไว้ด้วยสองแขน
“เป่ยชวน คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงของคนที่ถูกกอดนั้นพูดเจื้อยแจ้ว แต่มุมของริมฝีปากของเฉินเป่ยชวนอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มเบาๆ “ผมกลับมาแล้ว”
และในห้องนอนชั้นล่างเฉินจิ้นถงได้ยืนอยู่หน้าหน้าต่างเงียบ ๆ เฝ้าดูเฉินเป่ยชวน กลับมาจากด้านนอกเงียบ ๆ รอเสียงฝีเท้าที่จะข้ามชั้นสองไปชั้นสาม แต่ก็ไม่ปรากฏขึ้น
ดวงตาที่ไม่ได้ถูกปิดไว้ด้วยแว่นนั้นหรี่ลงด้วยรอยยิ้ม รักกันขนาดนี้ จะไม่ให้คนอื่นอิจฉาได้อย่างไร
วันรุ่งขึ้นเฉียวชูเฉี่ยนลืมตาขึ้นและพบว่าเธอนอนอยู่บนเตียง เธอรู้ทันทีว่าเฉินเป่ยชวนมาที่ของเธอเมื่อคืนนี้ เมฆหมอกอึมครึมในเมื่อคืนจู่ๆ ก็สลายหายไป แทนที่ด้วยความสดใส
เมื่อเวลานานเข้า พนักงานของ MR ก็เริ่มบ่นว่า “พวกเธอคิดสิว่าประธานเป็นว่างแค่ไหนให้งานเฟิงฉิงมากมายแต่กลับไม่สนใจ ก็มีแต่พวกเราที่ทำงานตั้งแต่เช้าจนดึก”