ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1345+1346

บทที่ 1345+1346

บทที่ 1345 ท่านมีเรื่องอะไรอยู่ในใจใช่ไหม?

เพียงแต่โชคดีที่ทุกคนแค่ไม่พอใจความเรื่องมากเขานิดหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งช่วยเหลือทั้งหมู่บ้านไว้ในยามคับขัน ดังนั้นทุกคนจึงบ่นกันเป็นการส่วนตัวไม่กี่ประโยค ทว่าไม่มีใครไปต่อว่าเขาอย่างจริงจังเลย…

กู้ซีจิ่วมองไปทางเรือนหลังนั้น เรือนมืดสนิท แสงสว่างสักเสี้ยวก็ไม่มี เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาไม่ได้ไปพำนักที่นั่น

กู้ซีจิ่วถอนหายใจ นึกไม่ออกชั่วขณะว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนอีก คนผู้นี้หากว่าจงใจหลบซ่อนขึ้นมา ต่อให้เธอมีสุนัขล่าเนื้อสิบตัวก็หาตัวเขาไม่พบอยู่ดี

เธอเคยถามเจ้าหอยยักษ์แล้ว ถามว่าสรุปแล้วหลายวันมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฝึกฝนอยู่ที่ไหนกันแน่?

เจ้าหอยยักษ์ทำตัวลับลมคมใน บอกว่าต้องรักษาความลับ แพร่งพรายแก่ภายนอกไม่ได้เด็ดขาด เพียงแต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยบอกไว้ ให้มันบอกแก่เจ้านายได้…เจ้าหอยยักษ์พล่ามจุกจิกเป็นกระบุง ในที่สุดก็เอ่ยเข้าประเด็น บอกว่ามันกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ รากอากาศใต้ต้นถันภังคี ตรงนั้นเป็นจุดรวบรวมแก่นแท้ของฟ้าดิน ความเร็วในการฝึกฝนจะรวดเร็วกว่าปกติถึงสิบกว่าเท่า…

เพียงแต่สถานที่แห่งนั้นเสมือนเขาวงกต อีกทั้งต้องใช้โลหิตสดๆ ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหยดลงบนเปลือกมันด้วย มันถึงมีความสามารถพอมุดเข้าสู่สถานที่แห่งนั้นได้

เจ้าหอยยักษ์เล่าอย่างมหัศจรรย์พันลึก เดิมทีกู้ซีจิ่วอยากรอนั่งลงแล้วพูดคุยถามไถ่กับเขาดีๆ ผลคือ…

ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นฟูแล้ว จะมุดเข้าไปฝึกฝนที่นั่นอีกหรือเปล่า หรือว่าจะจากไปทันทีเลย?

สองทางนี้ไม่ว่าจะทางไหน กู้ซีจิ่วล้วนอย่าคิดว่าจะตามหาเขาได้ ในยามนี้จึงไม่รับรู้อะไร

หลัวจั่นอวี่ก็คล้ายว่ามีเรื่องในใจเช่นกัน หยิบสุราออกมาไหหนึ่งแล้วชวนเธอไปร่ำสุราในเรือนเขา

กู้ซีจิ่วก็อยากใช้สุรามาปลดเปลื้องความโศกหมองกลัดกลุ้มที่ยุ่งเหยิงนี้ ดังนั้นจึงตามไปที่เรือนของเขา

ขณะที่กำลังร่ำสุรากัน หลัวจั่นอวี่ก็เอ่ยถามเธอ “ในเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้ามาได้ก็น่าจะมีวิธีออกไปได้กระมัง? บางทีพวกเราอาจจะได้ออกไปในไม่ช้า” สุ้มเสียงเขาแฝงความโศกหมองยิ่งนักเอาไว้

เขามีวิธีไหมน่ะหรือ?

กู้ซีจิ่วไม่รู้จริงๆ เธอยังไม่ทันได้ถามเลย…

“ทำไมล่ะ? ท่านไม่อยากออกไปหรือ?” น้ำเสียงของเขาทำให้กู้ซีจิ่วค่อนข้างแปลกใจ สภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนี้แร้นแค้นถึงเพียงนี้ หลัวจั่นอวี่ยังอาลัยการอาศัยอยู่ที่นี่อีกหรือ?

หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า ดื่มสุราต่อเงียบๆ

กู้ซีจิ่วสะกิดใจเล็กน้อย “ท่านมีเรื่องอะไรอยู่ในใจใช่ไหม?”

มือของหลัวจั่นอวี่ที่กุมจอกอยู่ชะงักไปเล็กน้อย ไม่พูดอะไร เพียงเงยหน้ากรอกสุราลงไปอีกจอก

ประสาทสัมผัสของกู้ซีจิ่วยังคงค่อนข้างเฉียบไว “เป็นเพราะเมิ่งซู่เหยียนหรือ?”

หลัวจั่นอวี่ตกตะลึง เงยหน้ามองกู้ซีจิ่ว “เจ้ารู้ได้ยังไง…”

กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “ท่านเสแสร้งได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ เพียงแต่แววตาของท่านเปิดโปงท่าน…” พี่ชายคนนี้ของตนไม่ว่ามองผู้ใดล้วนมองอย่างซื่อสัตย์เป็นธรรม แต่บางครั้งเมื่อมองไปตามสายตาของเขา กู้ซีจิ่วทราบว่าเขามีความรู้สึกพิเศษให้แก่เมิ่งซู่เหยียนโฉมงามผู้เยือกเย็นนางนั้น แต่ผู้อื่นมีคนในใจอยู่แล้ว หลัวจั่นอวี่จึงทำได้เพียงกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ในใจ ถึงขั้นที่ไม่อยากใหอีกฝ่ายได้รับรู้

บางทีอาจเป็นเพราะกู้ซีจิ่วล่วงรู้ความลับเรื่องนี้แล้ว หรืออาจเป็นเพราะหลัวจั่นอวี่อยากหาคนที่ไว้ใจได้สักคนเพื่อระบายความในใจ ดังนั้นในที่สุดเขาจึงบอกล่าเรื่องราวในใจออกมา “เสี่ยวจิ่ว ข้าชอบนางจริงๆ เพียงแต่นางมีคู่หมั้นอยู่ด้านนอกแล้ว คนที่นางคะนึงหาก็คือบุรุษผู้นั้น ข้าไม่อยากเข้าไปแทรกระหว่างผู้อื่น…”

เขายิ้มอย่างขมขื่น “เพียงแต่เนื่องจากเมื่อก่อนทุกคนหาวิธีออกไปไม่พบมาโดยตลอด ข้าเองก็นึกว่าจะต้องแก่ตายอยู่ที่นี่ ในใจข้ายังคงโอบกอดความหวังเล็กน้อยที่มีต่อนางไว้ หวังว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงความคิดนาง บางทีอีกหลายสิบปีให้หลัง นางคงจะรับรักข้า…”

เขาดื่มสุราเข้าไปอีกจอก “เสี่ยวจิ่ว เจ้ารู้สึกว่าข้าเลวทรามมากใช่หรือไม่?”

————————————————————————————-

บทที่ 1346 คนแปลกหน้าอย่าได้เข้าใกล้โดยแท้

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ชมชอบคนผู้หนึ่งมิใช่ความผิด ยิ่งไปกว่านั้นคือท่านไม่ได้บังคับฝืนใจนาง นางถึงขั้นที่ยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ท่านมีต่อนางด้วยซ้ำ…”

“ใช่ไหมเล่า?” หลัวจั่นอวี่คอไม่แข็งเท่าไหร่ สุราลงท้องไปกว่าสิบจอกแล้ว ดวงตาหรี่ปรือเล็กน้อยด้วยฤทธิ์สุรา “เมื่อครู่ข้าเห็นนางนั่งอยู่ที่สนามฝึกยุทธ์ ในมือถือปิ่นเล่มหนึ่งไว้อย่างใจลอย ข้าเดินเข้าไปคุยกับนาง ถึงได้ทราบว่าปิ่นเล่มนั้นเป็นของแทนใจที่บุรุษคนนั้นมอบไว้ให้นาง กว่าสิบปีมานี้นางพกติดตัวอย่างทะนุถนอมมาตลอด เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่นางยิ้มให้ข้า บอกว่าในที่สุดก็มองเห็นความหวังที่จะได้ออกไปแล้ว นางสามารถกลับไปอยู่กับคู่หมั้นของนางได้แล้ว ซ้ำยังถามข้าด้วยว่านางสวมชุดใดแล้วดูดีบ้าง ยามที่ออกไปได้นางอยากสวมไปให้บุรุษคนนั้นชม ให้เขาได้เห็นด้านที่ดูดีที่สุดของนาง…”

กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอไม่รู้ว่าควรปลอบใจหลัวจั่นอวี่อย่างไร เมิ่งซู่เหยียนเป็นหญิงที่ดีคนหนึ่ง แต่นางกับหลัวจั่นอวี่กลับไร้วาสนาต่อกัน ผู้ชายอาจเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ แต่ปกติแล้วสิ่งที่ผู้หญิงปรารถนาคือการครองคู่กันไปชั่วชีวิต…

สองพี่น้องล้วนมีเรื่องในใจ ดื่มสุรากันอย่างผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วก็กรึ่มๆ นิดหน่อยแล้ว…

จู่ๆ เสียงขลุ่ยเอ้อระเหยสายหนึ่งแว่วก็แว่วมาจากที่ไกลๆ แผ่วหวิวล่องลอย ราวกับบุกตะลุยดั้นด้นมาจากสุดขอบฟ้า แว่วอยู่ในราตรี เสนาะหูยิ่งนัก

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นทันที

เป็นเขา! ตี้ฝูอี! เขาไม่ได้จากไป! เช่นนั้นเธอต้องไปหาเขา…

เนื่องจากร้อนใจเกินไป จึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปตรงๆ แต่เนื่องจากค่อนข้างกรึ่มๆ สุรา อาศัยเพียงเสียงไม่อาจกะระยะใกล้ไกลได้ การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ของกู้ซีจิ่วจึงเลยไปไกล เคลื่อนย้ายไปโผล่ที่ในภูเขาด้านหลัง เกือบชนเข้ากับร่างของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่กำลังหาอาหารอยู่!

สัตว์ร้ายย่อมต้องการขย้ำ ‘เนื้อสดน้อย’ ที่หล่นลงมาจากฟ้าชิ้นนี้ จึงคำรามเสียงดังแล้วโจมตีเธออย่างรุนแรง กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง สร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อย

สัตว์ร้ายตัวนั้นเป็นสัตว์ขั้นเจ็ด เนื่องจากหิวโหยจึงดุร้ายยิ่งนัก สู้สุดชีวิตเพื่ออาหารคำหนึ่ง

ส่วนกู้ซีจิ่วถึงอย่างไรก็เมามายอยู่บ้าง แข้งขาไม่ปราดเปรียว สุดท้ายถึงแม้จะซัดสัตว์ร้ายตัวนั้นจนตายไป แต่แขนของเธอก็ถูกคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายงับเข้า เจ็บแสบปวดร้อนยิ่งนัก

เธอสบถเสียงต่ำคราหนึ่ง พันแผลอย่างลวกๆ จากนั้นก็จับทิศทางเสียงขลุ่ยแล้วเคลื่อนย้ายกลับไปอีกครั้ง

ยามนี้ตี้ฝูอีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมพัดพาอาภรณ์สีม่วงของเขาให้พลิ้วปลิวไสว เบื้องหน้ามีโต๊ะเล็กตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะเล็กมีสุราและมีกับแกล้ม

ไม่ง่ายเลยกว่ากู้จิ่วจับทางกลับไปได้ เสียงขลุ่ยที่อ้อยอิ่งกลับหยุดลงพอดี สตรีในชุดสีเงินอ่อนจางนางหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืด ยืนชดช้อยอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี และทำความเคารพเขา “หวงซังเซียงคารวะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”

ตี้ฝูอีไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงตอบอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือรินสุราให้ตนเอง

แววตาหวงซังเซียงวูบไหวคราหนึ่ง รีบก้าวไปทันที “ให้ข้าน้อยทำเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเลิศด้านการรินสุรา รินสุราให้เต็มปริ่มได้โดยไม่หก…”

ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีเยียบเย็นเล็กน้อย โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง หวงซังเซียงคล้ายถูกผลักออกไปโดยแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด มีคำพูดหนึ่งของตี้ฝูอีตามมาด้วย “ไสหัวไป!”

เห็นได้ชัดเจนนักว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอารมณ์ไม่ดียิ่ง คนแปลกหน้าอย่าได้เข้าใกล้โดยแท้

หวงซังเซียงหวิดจะถูกผลักล้มคว่ำ เซถอยไปหลายก้าวถึงยืนให้มั่นได้ สีหน้านางซีดเซียว ทว่ายังคงไม่ถอดใจ ยากนักที่จะมีโอกาสได้อยู่กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตามลำพังเช่นนี้ นางไม่อยากพลาดไป “ทะ…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าน้อยมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงรู้สึกซาบซึ้งที่วันก่อนท่านช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ ดังนั้นถึงอยากทุ่มเทกำลังอันน้อยนิดเพื่อทดแทนคุณ…”

นางยังคิดจะพูดพล่ามอีกหลายประโยค ตี้ฝูอีพลันชี้มือ เสียงของหวงซังเซียงหยุดลงทันใด

————————————————————————————-

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset