บทที่ 1440 เธอกลับมาแล้ว
ในความเป็นจริงคือ กู้ซีจิ่วไม่พบคนเหล่านี้เลยสักคน ถึงขั้นที่ไม่พบเห็นผู้คนที่มีชีวิตเลยสักคน
นกกา ต้นหญ้าเหี่ยวเฉา อาคารเปลี่ยวร้าง
สำนักศึกษาที่เคยคึกคักมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสายกลายเป็นคฤหาสน์ผีสิงหลังใหญ่ เงาร่างมนุษย์สักคนก็ไม่พบเห็นเลย ถึงขั้นที่จิ้งหรีดเรไรสักตัวก็ไม่กระโดดออกมาเลย ทั่วทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตเลย
ภายในห้องทุกห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้เลย โต๊ะตั่งม้านั่งล้วนยังอยู่ดีทั้งหมด ไม่คล้ายว่าถูกรื้อค้นอันใดเลย ราวกับคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อพยพออกไปอย่างเร่งด่วน แถมยังอพยพออกไปอย่างเป็นระบบระเบียบด้วย มิใช่การอพยพไปอย่างฉุกละหุกวุ่นวายประเภทนั้น…
ต้องทราบก่อนว่าการสร้างสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้มิได้ง่ายดายเลย หลายอย่างไม่อาจสร้างขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน ถึงขั้นที่บางสถานที่ต้องสร้างกันอยู่หลายสิบปีถึงจะเสร็จสมบูรณ์ อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นของที่นี่ล้วนรวบรวมมาด้วยหยาดเหงื่อแรงใจของเหล่าศิษย์อาจารย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ตามที่กู่ฉานโม่เคยว่าไว้คือ หัวอาจขาดได้ โลหิตอาจไหลนองได้ แต่ที่ตั้งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่อาจล่มสลายได้!
แต่ยามนี้เขากลับหายไปแล้ว!
กำลังรบของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แข็งแกร่งเหนือธรรมดา แม้กระทั่งตี้ฝูอีก็บอกว่าที่นี่คือรั้วเหล็กกำแพงสัมฤทธิ์ ต่อให้คนจากทุกสำนักในแผ่นดินนี้รวมตัวกันมาโจมตีที่นี่ก็ยังไม่แน่ว่าจะตีให้แตกได้ อะไรกันที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาต้องจำใจละทิ้งถิ่นฐานที่ก่อตั้งกันมาหลายร้อยปีไป? ประสบเรื่องประหลาดอันใดเข้างั้นหรือ? แล้วพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน?
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองของคนทั้งสอง กู้ซีจิ่วมองสำรวจรอบข้างอีกครั้ง ก็มาพบเบาะแสร่องรอยอันใดเลย
กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอี ตี้ฝูอีก็ดูเหมือนจะใจลอยอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เขาอยู่ข้างกายเธอล้วนยิ้มแย้มอยู่เสมอ ท่าทางอารมณ์ดียิ่งนัก
น้อยนักที่จะแผ่อำนาจอันไร้ลักษณ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาเช่นยามนี้
“พวกเขาคงไม่ได้ประสบเหตุไปหมดแล้วหรอกนะ?” กู้ซีจิ่วเอ่ยงึมงำ
นิ้วมือที่เย็นเฉียบเล็กน้อยของเธอแน่นกระชับ ถูกตี้ฝูอีกุมไว้ “อย่ากลัวไปเลย พวกเขาแค่อพยพไปแล้วเท่านั้น น่าจะไม่มีผู้คนล้มตาย และมิใช้การถูกโจมตีจนสูญเสียอาณาเขต หาวิธีตามหาพวกเขาก็พอแล้ว”
น้ำเสียงสงบราบเรียบของเขาทำให้กู้ซีจิ่วสงบใจลงไม่น้อย
เธอก็คิดเช่นกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะประสบเหตุ แต่สีหน้าเมื่อครู่ของตี้ฝูอีทำให้เธอตกใจ เธอจึงอดไม่ได้คิดจะคิดไปในแง่ร้าย ยามนี้เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็เบาใจไปกึ่งหนึ่งแล้ว
ตี้ฝูอีไม่ได้โกหกเธอ กับบางเรื่องอย่างมากเขาก็แค่ไม่ตอบหรือว่าตอบเลี่ยงไปเสีย แต่ไม่ได้หาข้ออ้างมาโป้ปดเธอไปเรื่อย
ขอเพียงคนไม่เกิดเรื่องข้นก็พอแล้ว อย่างอื่นค่อยๆ สืบหาไปก็ได้
กู้ซีจิ่วใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหลีเมิ่งซย่า ถามว่าหอเงาราตรีของนางมีข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทางด้านนี้หรือไม่
หลีเมิ่งซย่าตอบว่าไม่มีด้วยความละอายใจอย่างสุดซึ้ง นางถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไล่ล่าปานสุนัขกวดกระต่ายอยู่หลายเดือน แทบไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลย ข่าวกรองภายในของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นางก็ไม่กระจ่างเช่นกัน
เนื่องจากไม่อาจเปิดเผยเป้าหมายได้ ดังนั้นหอเงาราตรีจึงยังอยู่ในความรับผิดชอบของประมุขซย่าผู้นั้น ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่เคลื่อนไหวเลยเช่นกัน
เนื่องจากความวุ่นวายครานั้น ภายในหอเงาราตรีจึงค่อนข้างอลหม่าน ข่าวสารที่ได้รับย่อมไม่แม่นยำทันท่วงทีเช่นเมื่อก่อนแล้ว
หลีเมิ่งซย่ารีบติดต่อหาผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหอเงาราตรี ให้เขาไปสืบค้นที่ห้องข่าวสาร ผลคือผู้อาวุโสท่านนั้นตอบกลับมาในภายในครึ่งชั่วยาม บอกว่ามีบันทึกไว้เพียงว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกโจมตีและขับไล่ให้ล่าถอยไปได้อยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหอเงาราตรีไม่มีบันทึกการอพยพของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และไม่มีข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในช่วงสามเดือนนี้เลย
กู้ซีจิ่วสืบหาร่องรอยอยู่ครู่หนึ่ง
—————————————————————-
บทที่ 1441 โสโครกเกินไป! อย่าแตะ
กู้ซีจิ่วสืบหาร่องรอยอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่ระดับสูงยันระดับล่างของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อพยพออกจากที่นี่ยังไม่พ้นสองเดือน แม้กระทั่งเขตแดนที่โอบล้อมอยู่ด้านนอกสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ยังอยู่…
กู้ซีจิ่วยืนวิเคราะห์กับตี้ฝูอีอยู่ตรงนั้น “ของล้ำค่าทั้งหมดในคลังสมบัติล้วนยังอยู่ เครื่องนอนและของใช้ประจำวันของผู้คนก็ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนย้าย ราวกับผู้คนของที่นี่จู่ๆ ก็หายตัวไปทันที ไม่เหมือนอพยพไปด้วยตัวเอง แต่ข้าไปตรวจสอบที่คลังโอสถดูแล้ว โอสถวิญญาณตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปล้วนหายไปหมด โอสถที่เหลืออยู่คือของทั่วไปที่ผู้คนต่างใช้กัน เมื่อดูจากจุดนี้แล้วคล้ายว่าผู้คนของที่นี่จะพกไปเพียงโอสถล้ำค่ารวมถึงศาสตราวุธคู่กาย ไม่พกสิ่งอื่นไปเลย มีสาเหตุอะไรที่ทำให้พวกเราต้องเลือกทำเช่นนี้?”
ตี้ฝูอีพยักหน้าน้อยๆ “บางทีที่นี่อาจปรากฏสิ่งน่าพรั่นพรึงอันใดขึ้น บีบให้พวกเขาต้องทำการอพยพอย่างไม่มีทางเลือก และสิ่งนี้ก็ไม่เป็นที่รู้จักอีกด้วย ผู้คนถึงขั้นที่ไม่ทราบว่าสรุปแล้วสาเหตุของเรื่องคือสิ่งใด ดังนั้นจึงทิ้งของแทบทุกอย่างไว้…”
กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ “แต่พวกเราอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่พบเห็นสิ่งน่าพรั่นพรึงอันใดปรากฏขึ้นเลยนี่…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ไปสอบถามจากละแวกนี้ก่อนเถอะ หาทางตามหาพวกเขาแล้วค่อยว่ากัน”
….
ทั้งสองคนเหาะทะยานลงจากเขา ตรงไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนั้น
ปกติแล้วคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะมาจับจ่ายซื้อของที่เมืองเล็กแห่งนี้อยู่เสมอ เมื่อปีนั้นกู้ซีจิ่วก็เคยสะสางความเข้าใจผิดในชาติก่อนกับหลงซือเย่ที่เมืองนี้ และได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเข้า…
ยามกู้ซีจิ่วอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เคยมาซื้อของเที่ยวเล่นกับเหล่าสหายร่วมสำนักที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง และเมืองเล็กแห่งนี้ก็สงบสุขยิ่งนักเสมอมา ได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยยิ่ง
แต่ยามนี้เมืองเล็กแห่งนี้กลับล่มสลายไปด้วยฤทธิ์สงคราม
ร้านรวงบ้านเรือนในอดีตล้วนกลายเป็นซากปรักหักพัก บนทางเดินศิลาเขียวมีคราบเลือดเกรอะกรังที่เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
เช่นเดียวกับที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ที่นี่ก็ไม่มีเงาร่างมนุษย์ให้เห็นเลยเช่นกัน เพียงสายลมหนาวยะเยือกและหนูที่วิ่งผ่านริมถนนบ้างเป็นครั้งคราว…
หลังจากกู้ซีจิ่วออกมาจากตาค่ายนั้น ได้ยินมาเพียงว่าสงครามครั้งนี้สู้กันอย่างทารุณ เมืองมากมายกลายเป็นเมืองร้าง แต่เมืองเล็กแห่งนี้ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่อยู่ใกล้พรมแดนแคว้นใดเลย ไม่สมควรถูกทำลายจากศึกสงคราม…
เธอตรวจสอบคราบเลือดเหล่านั้นและร่องรอยอื่นๆ ทราบว่าที่นี่ถูกทำลายเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
เพียงแต่ที่น่าอนาถกว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากนัก ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถึงแม้จะไม่มีคนแต่ก็ไม่พบซากศพเลย ที่นี่กลับพบเห็นซากศพอยู่เป็นระยะๆ
กู้ซีจิ่วไม่แยแสความสกปรก ตรวจบาดแผลของศพเหล่านั้นดู หัวใจจมดิ่งเล็กน้อย บนศพเหล่านี้ไม่มีบาดแผลจากคมอาวุธอย่างพบเห็นกันทั่วไป และไม่คล้ายว่าถูกพิษด้วย แต่ค่อนข้างคล้ายว่าถูกบางสิ่งกัดจนตาย
เนื่องจากศพเหล่านั้นเน่าเปื่อยยิ่งนัก จึงมองบาดแผลอันใดไม่ออกแล้ว
ตี้ฝูอีมองนางเดินวนรอบซากศพซากหนึ่ง ซ้ำยังคิดจะยื่นมือไปไปพลิกซากศพร่างนั้นที่เน่าเปื่อยแล้วอีกด้วย เขาจึงขัดขวางเธอไว้ “โสโครกเกินไป! อย่าแตะ!”
กู้ซีจิ่วไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ชาติก่อนเคยพลิกศพที่เน่าเละเทะกว่านี้มาแล้วด้วยซ้ำ
“ข้าอยากดูว่าสรุปแล้วพวกเขาตายได้อย่างไร? มีแต่ต้องค้นหาสาเหตุการตายของพวกเขา ถึงจะตรวจสอบได้ว่าเมืองเล็กแห่งนี้เคยประสบอันใดมา”
กู้ซีจิ่วทราบว่าเขารักสะอาด จึงโบกมือให้เขา “เรื่องนี้ข้าทำคนเดียวก็พอ ท่านไปตรวจสอบอย่างอื่นก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องพลิกแล้ว ข้ารู้สาเหตุการตายของพวกเขา” ตี้ฝูอีตัดบทเธอ
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขา ตี้ฝูอีโบกมือคราหนึ่ง ซากศพนั้นพลิกตัวด้วยตัวเอง เขาสะบัดแขนเสื้ออีกคราหนึ่ง ซากศพเผยแผ่นหลังออกมา…
——————————————————————-