ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1650+1651

บทที่ 1650 การทดสอบ 1

ห้าวันมานี้เขาร้อนรนปานมดบนกระทะร้อน กระสับกระส่าย ยินดี ไม่สงบ หวาดหวั่น…สารพัดอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ในทรวงอกเขา แน่นอนว่าเขานอนไม่หลับด้วย…

ผลลัพธ์ของการเป็นเช่นนี้คือ ยามที่เขามาถึงแท่นเบิกสวรรค์ด้วยเรือที่มู่เฟิงขับเคลื่อน ใต้ดวงตามีรอบคล้ำสองวงใหญ่

และคลื่นฝูงชนที่อยู่ด้านล่างยิ่งทำให้เขาประหม่าขึ้นเป็นเท่าตัว สองขาสั่นระริกเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้

“ลงไปซะ” เมื่อเรือเหาะมาถึงบนแท่น มู่เฟิงตบไหล่ฮั่วฉีฟางทีหนึ่ง ทำให้ฮั่วฉีฟางสะดุ้งโหยงอีกครั้ง หวิดจะตกลงไปจากเรือแล้ว!

ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มือเท้าจึงเย็นเฉียบไปหมด

ยามที่กระโดดลงสู่พื้นก็สะดุดจนเซเล็กน้อย

มู่เฟิงลอบส่ายหัว หลายปีมานี้เขาเคยพบ ‘ผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์’ มาไม่รู้เท่าใดแล้ว เจ้าเด็กนี้เป็นคนหนึ่งที่ธรรมดาที่สุด ใจเสาะ ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้

เขาน่าจะไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์กระมัง? สานุศิษย์สวรรค์ตัวจริงไหนเลยจะมีท่าทีขลาดเขลาเช่นนี้?

“ฝ่าบาทเสด็จ!” มีเสียงกู่ตะโกนแว่วมาแต่ไกล

จักรพรรดิก็มาด้วยเหมือนกัน!

ฮั่วฉีฟางประหม่ากว่าเดิมแล้ว!

หรงเจียหลัวมาแล้วจริงๆ ซ้ำยังพาขุนนางข้าราชบริพารมาด้วย จัดขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่ ประชาชนย่อมแหวกทางจนเกิดเสียงดังครืนๆ

หรงเจียหลัวตรงไปยังแท่นชมพิธีที่เตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ แล้วนั่งลงไป

เหล่าขุนนางรวมถึงประชาชนที่อยู่ด้านล่างแท่นย่อมทำคุกเข่าถวายบังคมไปทางแท่นชมอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แซ่ซ้องดังกึกก้องว่าทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี

ฮั่วฉีฟางมิใช่ชาวเฟยซิง อีกทั้งต้องสงสัยว่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ย่อมไม่ต้องคุกเข่าถวายบังคมต่อจักรพรรดิ ดังนั้นแค่ค้อมตัวทำความเคารพก็พอแล้ว

ระหว่างที่ทำความเคารพฮั่วฉีฟางถือโอกาสมองจักรพรรดิแวบหนึ่ง มองเห็นว่าจักรพรรดิองค์นี้อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้า รูปโฉมหล่อเหลายิ่งนัก หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย มุมปากอมยิ้ม ยามมองผู้คนชวนให้รู้สึกว่าอ่อนโยนดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ

สายตาของทั้งสองคนประสานกันกลางอากาศโดยไม่ตั้งใจ ฮั่วฉีฟางรีบก้มหน้าลง ใจเต้นเล็กน้อย

ไม่น่าเชื่อเลยว่าจักรพรรดิองค์นี้จะมีดวงตาที่เจือสีม่วงไว้รางๆ! สีม่วงนี้ทรงเสน่ห์ยิ่งนัก ส่องตรงสู่ใจคนได้!

ฮั่วฉีฟางไม่กล้ามองอีก รีบละสายตาไป กวาดตามองบนแท่นแวบหนึ่ง

บนแท่นมีเพียงเขากับพวกมู่เฟิงทั้งสี่ ทว่าไม่เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ทำให้จิตใจเขาหวาดผวาเลย

“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมายามไหนหรือ?” เขากระซิบถามมู่เฟิง เขาไม่ชินกับการเป็นจุดรวมสายตา โดยเฉพาะเมื่อมีสายตาของผู้คนมากมายปานนี้จับจ้อง ยิ่งอยากทดสอบให้เสร็จโดยเร็ว สิ้นสุดลงโดยเร็ว

เขาค่อนข้างเก็บตัว ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว และไม่ชอบฟังข่าวซุบซิบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทราบว่าคนที่ทดสอบเขาในวันนี้ถูกเปลี่ยนตัวแล้ว…

“ผู้ทดสอบเจ้าในวันนี้คือท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินกู้”

ฮั่วฉีฟางตะลึงงันไปแวบหนึ่งก่อน จากนั้นสายตาก็ส่องประกาย “เป็นท่านทูตสวรรค์กู้ที่บังเอิญพบระหว่างทางวันนั้นหรือ?”

มู่เฟิงเหลือบมองเขาอีกแวบ เจ้าเด็กนี้ปกติเป็นจอมลืมหน้าคนผู้หนึ่ง จำใครไม่ค่อยได้ นึกไม่ถึงว่าได้เห็นกู้ซีจิ่วผ่านๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำได้ด้วย!

อายุยังน้อยแต่กลับฉายแววชีกอเสียแล้ว!

มู่เฟิงค้นพบข้อเสียอีกประการหนึ่งของเจ้าเด็กนี่ กระแอมออกมาคราหนึ่ง “ย่อมเป็นนาง” แล้วเอ่ยตักเตือนอีกประโยคว่า “เมื่อนางมาถึงอย่าได้มองนางด้วยสีหน้าลุ่มหลง ระวังจะมีคนควักลูกตาเจ้าออกมาเตะเหมือนลูกหนัง!”

ฮั่วฉีฟางตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ทำอยู่แล้ว!” กล่าวเสริมอีกว่า “ข้าเคารพยกย่องนาง บูชานางดั่งเทพเซียน”

มู่เฟิงไม่พูดอะไรอีก

“ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินมาถึงแล้ว!” มีเสียงใครบางคนตะโกนก้องกลางอากาศ

ฝูงชนพากันเงยหน้า มองเห็นรถม้าหยกขาวที่เทียมด้วยสัตว์พาหนะวิเศษสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งเหาะมากจากทางทิศตะวันออก สารถีเป็นเด็กหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่ง สง่างามเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน ดวงเนตรสุกใสเป็นประกาย ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก เขาคือผู้ที่เปล่งเสียงตะโกนนี้ออกมา

————————————————————————————-

บทที่ 1651 การทดสอบ 2

เมื่อม่านรถม้าเปิดขึ้น หญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกายบนรถม้า

เกศายาวสลวยประบ่าดุจม่านน้ำตก อาภรณ์สีดำน้ำหมึก ปกคลุมเรือนกายเพรียวบาง แต่ปิดบังความงามล่มเมืองนั้นไว้ไม่มิด นอกจากแถบผ้าบนศีรษะแล้ว บนตัวนางก็ไม่มีเครื่องประดับอื่น ทว่าไม่ได้ดูเรียบง่ายสบายๆ เลย

ท่าทีของนางค่อนข้างเย็นชา ทั้งยังสวมอาภรณ์สีดำเช่นนี้ จึงยิ่งเย็นเยือกดุจน้ำค้างแข็ง ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เบื้องหลัง ประหนึ่งปกคลุมร่างกายนางด้วยรัศมีสีเงินอ่อนชั้นหนึ่ง ทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว แทบไม่อาจละสายตาได้

“ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน!” ชาวบ้านด้านล่างแท่นส่งเสียงอื้ออึง

ดวงตาฮั่วฉีฟางยิ่งส่องประกาย!

เมื่อสักครู่จักรพรรดิหรงเจียหลัวเสด็จมา เขาไม่ได้คุกเข่า ยามนี้เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วที่ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย เขาเหมือนเห็นเทพธิดา จึงอดไม่ได้คุกเข่าหมอบกราบลงไป

กู้ซีจิ่วร่อนลงผืนดินอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาดุจวารี กวาดมองไปโดยรอบจากบนแท่น

เธอมองเห็นพวกมู่เฟิงและเสาเหล่านั้นบนแท่นพิธี สายตาพลันวาบไหวเล็กน้อย

เธอย่อมไม่แปลกตากับที่แห่งนี้ สิบกว่าปีก่อนเธอถูกทดสอบที่นี่ และหลังจากนั้นสิบกว่าปี เธอกลับกลายเป็นผู้ทดสอบ

เรื่องราวในอดีตที่ถูกทดสอบเมื่อสิบกว่าปีก่อนผุดขึ้นในสมองเธอ และถูกเธอกดทับเข้าไปในความทรงจำส่วนลึกที่สุดอย่างเงียบสงบ

อดีตผ่านพ้นดุจเมฆควัน ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป เธอไม่มีความจำเป็นต้องจดจำ

กู้ซีจิ่วทำการสิ่งใดตรงไปตรงมา หลังจากเธอมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สายตาพลันหันมองบนร่างฮั่วฉีฟาง มองเห็นเด็กคนนี้จ้องมองมาที่ตัวเองด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ ขาทั้งสองข้างค่อนข้างสั่นเทา…

เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ประหม่านัก!

เมื่อเห็นเขาก็นึกถึงตัวเองเมื่อสิบปีก่อน ความจริงตัวเองในตอนนั้นก็ประหม่าเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่จิตใจเธอเข้มแข็ง ไม่แสดงอะไรออกมาก็เท่านั้น

ความรู้สึกโดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบในตอนนั้นยังคงชัดเจนในความทรงจำจวบจนทุกวันนี้…

กู้ซีจิ่วถามฮั่วฉีฟางอยู่หลายคำ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ควรถามเมื่อทดสอบสานุศิษย์สวรรค์

รูปแบบของเธอแตกต่างกับตี้ฝูอี

เมื่อตี้ฝูอีรับผิดชอบการทดสอบนี้จะไม่สนใจไยดีทว่ากลับมีรัศมีแก่กล้า คนใจเสาะถูกเขาทำให้ตกใจกลัวจนฉี่ราดได้ แทบทุกคนที่ถูกเขาทดสอบล้วนเกรงกลัวเขา เมื่อเห็นเขาเหมือนแมวเจอหนู

ส่วนกู้ซีจิ่วถึงแม้จะดูเย็นชา ทว่ายามซักถามกลับนุ่มนวล สุ้มเสียงนุ่มลึกแฝงด้วยพลังปลอบประโลมคน

ฮั่วฉีฟางที่เดิมทีประหม่าจนริมฝีปากสั่นเครือ พูดจาติดๆ ขัดๆ หลังจากพูดคุยกับกู้ซีจิ่วไม่กี่ประโยค ความรู้สึกประหม่าของเขากลับผ่อนคลายลง เมื่อตอบคำถามอีกครั้งก็พูดจาได้ว่องไวมากขึ้น

หลังจากกู้ซีจิ่วถามคำถามเหล่านี้เสร็จสิ้น ในใจหวั่นไหวเล็กน้อย

คำถามที่เธอถามเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องถามตามกฎเกณฑ์ในม้วนตำราที่ตี้ฝูอีมอบให้เธอ แน่นอนว่าจะถามอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะแสดงความสามารถออกมาอย่างไร

เดิมทีเธอก็ไม่ได้มองฮั่วฉีฟางผู้นี้ในด้านดีเท่าใดนัก ทว่าหลังจากซักถามคำถามเหล่านี้ เธอกลับรู้สึกประหลาดในใจ บางทีเด็กคนนี้อาจเป็นสานุศิษย์สวรรค์จริงๆ ก็ได้! มิน่าตี้ฝูอีถึงพาเขากลับมาทดสอบ เขาก็น่าจะไม่มั่นใจเช่นกัน…

เธอรับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้เป็นครั้งแรก สิ่งที่ต้องทำระหว่างการทดสอบมีมากมายหลากหลาย เธอจัดการไปทีละจุดๆ อย่างเป็นระเบียบแบบแผน การเคลื่อนไหวดุจเมฆาเคลื่อนวารีไหล

พวกมู่เฟิงรู้เรื่องราวเป็นอย่างดี รู้ว่านางเพิ่งเริ่มศึกษาสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อคืน ยังกังวลว่านางจะทำได้ไม่ดี แอบวางแผนช่วยเหลืออยู่ทุกชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นการกระทำต่อไปเหล่านี้ของนาง พวกเขาก็ยอมรับแต่โดยดี!

ขั้นตอนที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองพลังวิญญาณขนาดนี้ นางกลับทำออกมาได้ดี!

ผู้คนด้านล่างกลั้นหายใจมองดู สายตานับพันนับหมื่นมองบนแท่นพิธี ตกลงบนร่างกายนาง

————————————————————————————-

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset