ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 629 หิมะขาวดอกเหมยแดง / ตอนที่ 630 เตรียมไว้ไม่เสียหาย

ตอนที่ 629 หิมะขาวดอกเหมยแดง  

 

 

 

 

 

อวี้อาเหรายื่นมือออกมา รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ร่างกายสัมผัสถึงความหนาวเย็นของหิมะ นางไม่ได้สัมผัสหิมะมานานมาก รู้สึกว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องสดใหม่ นางหันกลับไปมองที่ไหล่ของฉู่ป๋าย “ผมของเจ้ามีหิมะติดอยู่น่ะ”  

 

 

ฉู่ป๋ายยื่นมือออกไปปัด ทว่าอวี้อาเหรากลับไวกว่า พูดจบนางก็ยื่นมือออกไปปัดหิมะให้เขาเสียแล้ว  

 

 

ทว่าหิมะกลับยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำอย่างไรก็ปัดออกไม่หมด เช่นนั้นนางก็ขี้เกียจจะปัดออกเสีย  

 

 

ราวกับหิมะค่อยๆ กลบทุกอย่างในบริเวณนี้เสียจนเหมือนเสื้อคลุมสีขาวเงิน อวี้อาเหราที่สวมเสื้อคลุมสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาว ราวกับแต้มสีแดงเข้มเหมือนเลือดบนหิมะ ไม่ว่าอย่างไรนางก๋ดูงดงามเสียจนไม่อยากจะถอนสายตา  

 

 

ฉู่ป๋ายมองนางที่เหม่อมองท้องฟ้า ชะงักไปเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เจ้าชอบหิมะมากหรือ”  

 

 

“อืม” อวี้อาเหราตอบรับเสียงเบา “หิมะสะอาดจะทำให้โลกกลายเป็นสีขาวไร้มมลทิน…”  

 

 

“แต่ก็ทำให้โลกทั้งโลกเปลี่ยวเหงาเสียแทบตาย” ฉู่ป๋ายว่าง่ายๆ เพื่อหยุดความคิดเพ้อฝันของนาง  

 

 

เขาก็กล่าวถูกต้องยิ่งนัก หิมะขาวนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมและความใสสะอาดในโลกนี้ แม้ว่าจะกลบร่องรอยแปดเปื้อนเอาไว้จนหมด แต่ก็มีสักวันที่จะหลอมละลายเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งยังปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าในเวลาเดียวกัน โลกทั้งใบก็จะมีเพียงสีเดียว โลกนี้ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่สมบูรณ์แบบ และเข้าใจถึงเหตุผลเหมือนกันหมด โลกไม่อาจเป็นสถานที่ที่ดีงามเหมือนกันหมดได้เลย  

 

 

ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่สีสันและรูปร่างของสิ่งต่างๆ ถักทอออกมาเป็นสิ่งเดียวกัน หากต้องการให้โลกทั้งใบกลายเป็นโลกที่ใสสะอาด ก็คงไม่อาจเป็นไปได้  

 

 

ทำได้แต่เพียงค้นหาสถานที่เหมาะสมกับตัวเองในโลกอันแสนขุ่นมัวนี้ สถานที่แห่งนั้นก็คงจะมีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าจะอยากออกไปค้นหาหรือไม่  

 

 

เพียงแค่มองเห็นหิมะขาวเท่านั้น ในใจของคนที่สองก็เข้าใจอะไรบางอย่าง  

 

 

ฉู่ป๋ายเงียบงันไปนาน กุมมือเย็นจัดของนางเอาไว้ จากนั้นจึงกล่าวว่า “พวกเรากลับกันก่อนเถิด มิเช่นนั้นหิมะจะตกหนัก คงจะกลับไม่ได้ง่ายๆ”  

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็ถามต่อไปว่า “เจ้าจะกลับไปที่จวนหลิงอ๋องหรือไม่”  

 

 

“ตอนนี้ข้าก็ไม่อยากพบเขา” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า  

 

 

“ใครกัน” อวี้อาเหราชะงัก  

 

 

“น้องสามของเจ้าอย่างไรเล่า” ฉู่ป๋ายว่าห้วนๆ น้ำเสียงของเขาฟังดูห้วนทั้งยังดูไร้เดียงสา  

 

 

ไร้เดียงสาหรือ? เขาก็แสดงอารมณ์เช่นนี้เป็นด้วยหรือ  

 

 

ไม่ง่ายเอาเสียเลย!  

 

 

ความประทับใจแรกที่อวี้อาเหรามีต่อเขาก็คือความขรึม เงียบงัน เย็นชา ทว่าตอนนี้กลับแตกต่างจากที่เข้าใจในตอนแรก หากจะให้พูดตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อก่อนคงมีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้สัมผัส ทว่านี่คงเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา เมื่อก่อนนั้นคงเป็นภาพที่เขาอยากให้คนอื่นเห็นเสียมากกว่า  

 

 

เหมือนกับอวี้อาเหรา ที่ในใจตอนนี้ปิดบังสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย  

 

 

ความลับเหล่านี้เกี่ยวกับความเป็นความตาย อย่างไรนางก็ไม่มีทางพูดออกไปแน่ ทว่าฉู่ป๋ายก็ฉลาดยิ่งนัก เขาคงจะไม่ไล่ถามตรงๆ แน่  

 

 

เดินไปหนึ่งก้าว ปลายนิ้วของอวี้อาเหราก็พลันมีความเจ็บปวดแล่นขึ้นมา นางมองไปยังตำแหน่งที่ถูกหนามตำก่อนหน้านี้อย่างไม่ตั้งใจ จึงพบว่ามันกลายเป็นสีดำเสียแล้ว เหมือนกับรอยแผลที่ต้องพิษ นางเข้าใจขึ้นมาในทันที ที่แท้แล้วการที่อวี้จื้อดูดเลือดของนาง ก็เป็นเพราะว่าหนามของดอกไม้มีพิษนี่เอง  

 

 

ไม่อย่างนั้น พิษคงแล่นสู่ภายในร่างกายของนางเสียนานแล้ว  

 

 

ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ เลือดที่ไหลเวียนในร่างของนางนั้นไม่เหมือนเลือดของคนทั่วไป เพราะเป็นเลือดที่สามารถล้างพิษได้เอง แต่เหตุใดตอนนี้ถึงไม่ได้ผลเสียแล้วเล่า? หรือเป็นเพราะนางอยู่ในร่างกายนี้ ทว่าหากเป็นเพราะร่างกายและวิญญาณแตกต่างกันจริงๆ ตอนแรกที่นางสวมร่างเข้าร่างนี้ เหตุใดนางจึงสามารถฟื้นฟูร่างกายที่อวี้จื่อเยียนลอบวางพิษเสียตั้งแต่ตอนนั้นได้  

 

 

นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?  

 

 

ทว่านี่ก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถของนางนั้นค่อยๆ ถดถอยลงเมื่อนางย้อนยุคมา  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 630 เตรียมไว้ไม่เสียหาย  

 

 

 

 

 

นางจำได้ว่าเมื่อครั้งที่โดนหญิงสาวสวมหน้ากากฟาดฝ่ามือพิษเข้าใส่ นางก็แทบจะสิ้นชีวิตลง จึงสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าความสามารถของนางค่อยๆ ถดถอยลงไป  

 

 

ตอนนี้นางก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม  

 

 

แล้วความสามารถที่ใช้ดวงตาสะกดผู้อื่นได้ของนางจะสูญเสียไปเมื่อใดกัน?  

 

 

หรือว่า นางจะสูญเสียมันไปเสียแล้ว?  

 

 

เรื่องนี้นางไม่อาจแน่ใจได้เลย เพราะความสามารถนี้ของนางไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้ว ในโลกนี้ นางเพิ่งจะใช้ครั้งล่าสุดตอนที่อาการโรคกระหายโลหิตของฉู่ป๋ายกำเริบเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ใช้มันอีกเลย  

 

 

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็มีหลายเรื่องทีเดียวที่ไม่เข้ากัน  

 

 

ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องลี้ลับที่คาดเดาไม่ออกทั้งนั้น  

 

 

ในใจของอวี้อาเหราสั่นไหว มองไปทางนิ้วมือที่ต้องพิษ  สีหน้าก็แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่วุ่นวาย  

 

 

“มือของเจ้า…” ฉู่ป๋ายสังเกตนิ้วมือของนาง เช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง “นั่นคือนิ้วที่เพิ่งถูกหนามตำมิใช่หรือ? มันมีพิษหรือ”  

 

 

เขาช่างฉลาดนัก ไม่ต้องให้อวี้อาเหราบอกก็คาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  

 

 

ตอนนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือว่าเหตุใดอวี้จื้อจึงมีเจตนาดูดพิษให้นาง?  

 

 

ฉู่ป๋ายเรียกหานสือเข้ามาทันที เมื่อให้เขานำยาเข้ามาแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยังสกัดชีพจรของนางหลายๆ จุด เพื่อไม่ให้พิษกระจายไปไกล ยังดีที่สามารถยับยั้งเอาไว้ได้ทัน ตอนนี้อาการของพิษจึงค่อยกำเริบ คงเป็นเพราะอวี้จื้อดูดพิษออกไปบางส่วน ขอเพียงทายาสักเล็กน้อย ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว  

 

 

ทว่าเหตุใดจู่ๆ จึงมีดอกไม้พิษที่จวนหลิงอ๋องได้เล่า?  

 

 

หลิงอ๋องทราบดีว่าอนุรองนั้นตั้งครรภ์อยู่ และยังต้องคำนึงถึงสุขภาพของคนทั้งหมดในจวน อย่างไรก็คงไม่ปลูกดอกไม้มีพิษเอาไว้ในจวนแน่ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นผู้อื่นที่จงใจทำให้เกิดเรื่องขึ้น  

 

 

ในยามนี้ ไม่ใช่ว่าอวี้อาเหราจะไม่รู้  

 

 

คนที่มีความคิดเช่นนี้ในจวน และคนที่คิดจะกำจัดนางออกไปให้เร็วที่สุด นอกจากอนุรองและลูกสาวแล้ว ก็มีอนุสาม แล้วจะเป็นใครได้อีก?  

 

 

ทว่าเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้นางไตร่ตรองเรื่องนี้ได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น  

 

 

นับตั้งแต่ที่อวี้จื้อดูดพิษให้นางครั้งนั้น แสดงว่าเขารู้อยู่แล้วว่าดอกไม้นั้นมีพิษ แต่ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรกัน? แต่เมื่อคิดว่าแล้วก็คงมีอยู่สองสาเหตุ หนึ่งก็คือเขารู้ว่าเป็นอนุรองและลูกสาวที่เป็นคนทำ สองเป็นเพราะเขาเองทราบอยู่แล้วว่าดอกไม้นี่มีพิษ เพราะอย่างนั้นจึงคอยระวังให้นาง แต่นางคงไวกว่าเขาหนึ่งก้าว  

 

 

หากเขาต้องการที่จะทำร้ายนางจริงๆ เช่นนั้นก็คงไม่คิดที่จะดูดพิษออกให้นาง  

 

 

เพราะดอกไม้ก็อยู่ตรงนั้น เป็นนางเองที่ไปแตะโดนมันอย่างไม่ตั้งใจ หากนางจะตายก็ไม่เกี่ยวกับใครอื่นเลย นางคงจะต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตนเองก่อน เพื่อที่หลิงอ๋องจะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรมาก ที่นั่นก็มีดอกไม้มากมายหลากหลาย ใครจะไปรู้ว่าต้นไหนมีพิษหรือไม่มีพิษ คงยากที่จะตรวจสอบได้  

 

 

เป็นเพราะเหตุผลนี้ คงจะมาสามารถเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นอนุรองที่ทำเรื่องดอกไม้นี่ขึ้นมา  

 

 

และนางยังมีความคิดที่รอบคอบถึงเพียงนี้  

 

 

อวี้จื่อเยียนนั้นมีความกล้าแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่มีทางวางแผนเช่นนี้ได้แน่ ดังนั้นคงไม่ใช่นาง  

 

 

ส่วนอนุสามทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้เรื่องรู้ราว และยิ่งไม่มีทางสรรหาวิธีซับซ้อนเช่นนี้มาทำร้ายคนอื่นได้  

 

 

อนุสี่เองก็ไม่มีความแค้นอะไรกับนาง  

 

 

ดังนั้นแล้วจึงสามารถที่จะเดาได้ ว่าน่าจะเป็นอนุรองแน่  

 

 

อย่างมากที่สุด อวี้จื่อเยียนก็คงเป็นเพียงผู้รู้เห็นเหตุการณ์  

 

 

สำหรับอวี้จื้อ นางก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาคงไม่อยากจะเอาชีวิตนางหรอก  

 

 

มิเช่นนั้นก็คงเพียงนั่งดูอยู่ห่างๆ แล้ว  

 

 

เมื่อนึกถึงเช่นนี้ นางก็วางใจลงเล็กน้อย ขอเพียงอวี้จื้อไม่ร่วมมือกับอนุรองทำร้ายนาง นางก็คงจะไม่ทำร้ายเขา แต่หากมีหลักฐานว่าเขาร่วมมือกันทำเรื่องนี้ นางคงไม่เบามือแน่ สำหรับคนที่ต้องการชีวิตของนาง อย่างไรนางก็ไม่ปล่อยเอาไว้แน่!  

 

 

ความคิดในใจหมุนตลบไปทั่ว ฉู่ป๋ายก็ป้ายยาใส่มือของนางเสียจนเรียบร้อยแล้ว  

 

 

อวี้อาเหราแปลกใจ “เหตุใดเจ้าจึงมียาติดตัวเอาไว้ด้วยเล่า”  

 

 

“เตรียมเอาไว้ก็ไม่เสียหาย” ฉู่ป๋ายมองนาง จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน  

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

วิญญาณของ อวี้อาเหรา หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังถูกองค์รัชทายาทที่นางรักมานานหลายปีผลักตกเหวจนตายอย่างไร้เยื่อใย! หลังจากที่อวี้อาเหราได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของร่างเดิมทำให้นางต้องทนรับกับอาการป่วยไข้หลังจากที่ถูกน้ำซัดไปเป็นเวลานาน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตานัก ที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ ฉู่ป๋าย ซื่อจื่อผู้โดดเด่นแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ต่อหน้าบุรุษผู้โดดเด่นเช่นเขา นางไหนเลยจะกระโจนเข้าหาเฉกเช่นสตรีนางอื่น สิ่งที่นางทำนั้นคือการหลีกเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเสียแล้ว… … “คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งครรภ์แล้ว!” เสียงสาวใช้เอ่ยบอกด้วยความตกใจ “เหลวไหล! ข้ายังไม่เคยข้องเกี่ยวกับบุรุษใด แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉับพลันนั้นเซิ่นซื่อจื่อที่นั่งอยู่ข้างกายจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าลำบากใจนัก เช่นนั้นข้าจะรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset