บทที่สิบเอ็ด
รักนั้นเพราะตัวเจ้ามิใช่สิ่งอื่น ที่พี่รักนั้นคือสตรีทที่อยู่เบื้องหน้า หาใช่พันธะที่ผูกอยู่เบื้องหลัง
……………………………………………………………………………………………………………………………
“เป็นเพราะบิดาของข้าหรือไม่? เป็นเพราะ……. ” หยาเหยานางกลั้นใจเอ่ยถาม หากเเม้นนางมิคิดผู้อืนก็คงคิดเเทนนางในเรื่องนี้อยู่เเล้วว่าสกุลซื่อใช้บุญคุณบีบบังคับให้เผิงอวิ๋นเเต่งนางเพื่อรักษาเกรียตินาง
“ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าล้ำค่า เผิงอวิ๋นผู้นี้ติดค้างหนีชีวิตสกุลซื่อ เเต่ขอเจ้าอย่าได้นำมาเหมารวมว่าเพราะเหตุนั้นพี่เจ้าจึงรักเจ้า หรือเเม้นเเต่มิถือสาเจ้า เพียงให้รู้ไว้นี้คือใจจริงเเท้ เเน่หละเป็นเพราะบุญคุณสกุลซื่อที่ทำให้เราสองได้พบกัน เเต่ใจรักของพี่นั้นหาได้เกิดจากสิ่งนั้น เเต่เป็นเพราะความงดงามในจิตใจของเจ้า รอยยิ้มของน้องพี่ งดงามตราใจพี่ไว้เสียเเต่วันเเรกพบกันนั่นเเล้ว” เผิงอวิ๋นเอ่ยอย่างหนักเเน่นเขาสบตานางอย่างสื่อความหมายหลายร้อยคำ
“เกอเกอ”หยาเหยานางยิ่งได้ฟังยิ่งซึ้งใจ
“หากว่ารักนั้นประมาณได้ด้วยจำนวนของหยดน้ำ รักของพี่ที่มีต่อเจ้านี้ก็คงเปรียบดั่งสายฝนที่มิมีวันหยุดหลั่งจากฟากฟ้า หากประมาณได้ด้วยสิ่งของที่มีขนาดใหญ่เท่าใดเท่านั้นแล้ว ก็มีเพียงแต่ใบหน้าเจ้านี้แล้วที่ปิดบังตาทั้งสองของพี่ไว้ก็เท่านั้น เพราะหากเทียบรักของพี่ที่มีต่อเจ้าแล้วดวงตาพี่ก็มิอาจมองเห็นสิ่งอื่นใดได้อีก”
เผิงอวิ๋นไม่รู้ว่าสามปีที่เขานั้นหายไปไปร่ำเรียนคำหวานหูเหล่านี้มาจากที่ใดกันหรือก็ด้วยกลัวว่าหากเอาแต่เงียบครึมดั่งก่อนก็เกรงว่านางจะมีอันเข้าใจผิดกันไปอีก เขาเสียนางไปแล้วหนหนึ่ง เขาจะมิมีวันทำผิดพลาดเช่นนั้นอีก ชีวิตนี้ของเขาหากไร้ซึ่งซื่อหยาเหยา เป็นตายนับแต่วันนี้ก็มีแต่อยู่ไปไร้ซึ่งความหมาย
ในตอนนั้นซื่อหยาเหยานางหน้าแดงกล่ำ เผิงอวิ๋นอ่อนโยนต่อนางมากพรรณาถึงความรักที่มีต่อนางหรือก็ไม่มีหยุดพัก และด้วยแววตาที่หวานซึ้งตรึงใจนั้นด้วยแล้ว ต่อให้เป็นสตรีที่หนักแน่นที่สุดในแผ่นดินก็เกรงว่าจะต้านบุรุษนี้ไว้ไหว แล้วนี้นางคือผู้ใด? นางคือสตรีที่มีใจรักต่อเขาเพียงหลงผิดไปก็เท่านั้นมิเพียงเขามิถือสายังดีต่อนางมากขึ้นทุกวันๆ ตำหนิสักคำก็มิมีได้ฟังผ่านหู ที่ว่าทราบซึ้งใจคงมิพอ
ซื่อหยาเหยานั่งสบตาเผิงอวิ๋นในขณะที่เขาเอ่ยคำแต่เมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้นๆ จบนางก็ละสายตา นางหลบสายตาไปด้วยว่ากลัวเกรงหรือก็คงจะใช่ก็แววตาที่หวานปานจะกลืนกินนางไปทั้งตัวอยู่แล้วนั้น!!
“เผิงอวิ๋นเกอเกอ….. ข้าทำขายหน้าแล้ว” หยาเหยานางคล้ายจะอ้อนวอนให้เผิงอวิ่นหยุดจ้องนางอย่างนั้นเสียที
“เจ้างามมาก” เผิงอวิ๋นเอ่ย จากนั้นเขาอมยิ้มละก็ละสายตาจากนางไปอย่างที่นางร้องขอ
ในเวลานั้นเผิงอวิ๋นที่เอาแต่อมยิ้มแอบมองหยาเหยาที่เอาแต่ก้มหน้าหรือไม่ก็หันไปทางอื่น นางมิอยากให้เผิงอวิ๋นเห็นว่าในยามนี้ใบหน้าของนางนั้นแดงกล่ำเพียงใดหรือไม่ก็เขินอายเพียงใด
สถานการณ์ภายในห้องก็เป็นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่จนเผิงอวิ๋นเขาเห็นว่าเวลานี้เป็นเวลาอันควรที่เขาจะปล่อยให้หยาเหยาที่รักของเขาได้เข้านอนเสียที แต่รู้หรือไม่นั้นว่าทั้งสองจะนอนหลับหรือไม่ เมื่อผู้หนึ่งก็รักล้นเกินจะเก็บอีกผู้หนึ่งก็เปิดใจต่อกันแล้วหากว่าไร้วาสนา วาสนาก็เชื่อต่อกันแล้ว หากว่าไร้ซึ่งบุพเพโอรสสวรรค์ก็ประทานให้แล้ว หนทางที่ยาวลดและคดเคี้ยววันนี้แม้นจะยากลำบากแม้นจะผ่านบทพิสูจน์ใดๆ หรือก็มาก แต่วันนี้ที่ผ่านพ้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อแต่นี้ก็มีเพียงต่อผสานมือน้อยนั้นไว้ให้แน่น ให้บุพเพวาสนาสวรรค์ลิขิตสองมือกระทำนี้ เนินนาน…… ตลอดไป
“เหยาเหยา” เผิงอวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ
“คะ เจ้าค่ะ” หยาเหยาเอ่ยตอบอย่ารนๆ
“พี่เจ้าจะไปแล้วหนา”
“อ้อ….. นี่ก็ดึกมากแล้ว” เหยาเหยาทำท่าลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ไม่…. ไม่ต้องส่งพี่เจ้า พี่มิอยากให้รู้สึกว่าต้องจากกัน ใจพี่รานจะทนมิไหว” เผิงอวิ๋นกล่าวหยอกหยาเหยา
“เกอเกอ” หยาเหยาใบหน้าแดงกล่ำจนถึงใบหู
“อีกครึ่งเดือน!! ครึ่งเดือนเพียงเท่านั้น” เผิงอวิ๋นเผยยิ้มที่อบอุ่นก่อนที่เขาจะ เดินลับสายตานางไป
หยาเหยานางนิ่งคิดชั่วครู่มิเข้าใจใดๆ นัก…… ส่วนชิงชิงที่รู้งานที่แอบหลบอยู่ด้านนอกยามนี้ก็เข้ามาแล้ว
“คุณหนู…..”
“หืม….”
“สีหน้าท่าน…..?”
“อีกครึ่งเดือน?” หยาเหยาเอ่ย
“เจ้าค่ะ!! ” ชิงชิงนางอมยิ้ม
“เจ้ายิ้ม?”
“อีกครึ่งเดือนท่านกับคุณชายก็มิต้องส่งกันกลับเรือนแล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ชิงชิงอมยิ้มอย่างอายๆ
ในเวลานั้นหยาเหยานางยิ่งมองสายตาของชิงชิงนางยิ่งแดง นางแดงไปทั้งตัวแล้ว เผิงอวิ๋นเกอเกอของนางผู้นี้ร้ายกาจนัก!!
โปรดติดตามตอนต่อไป