บรรยากาศในสวนไม้ดอกนั้นราวกับสวนสรรค์ก็มิปานหากเเค่มิใช่เพราะความสวยสดงดงามของไม้ดอกเพียงเท่านั้น
หากเป็นไอรักไอความสุขที่เเผ่จากหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ยืนยิ้มอยู่ ณ เบื้องหน้าของกันเเละกัน
“เกอเกอ ท่านมานี้? ” หยาเหยานางเอ่ยขึ้น วูบเเรกนางประหลาดใจดีใจที่ได้พบ วูบที่สองเเววตาของนางก็เกิดหลุบต่ำลง เมื่อครู่เขาจะได้ยินประโยคที่นางเอ่ยกับหลงจูผู้นั้นหรือไม่?
“ยินดีหรือไม่? ” เผิงอวิ๋นเอ่ยถามนางได้ท่าทีที่สุขุมหากเเต่อบอุ่น
“ยินดี? ” หยาเหยานางไม่เข้าใจนัก
“ที่พบข้า” เผิงอวิ๋นยิ้มอีกหน ในตอนนี้รอยยิ้มของเขาบ่งบอกได้เลยว่าเขารู้สึกสุขล้นมากเพียงใด
ยามนี้ที่กั้นกลางระหว่างนางกับเผิงอวิ๋นก็เป็นเพียงพุ่มไม้ดอกกลมๆ นั้น
ก่อนที่หยาเหยานางจะเอ่ยคำใด หลงจูนางก็ได้เดินตามนางมาเสียก่อน….
“คุณชายเผิง” หลงจูนางย่อกายทำความคารพ
เผิงอวิ๋นเขายิ้มเเละพยักหน้า….. หากเเต่กระทำต่อหยาเหน้า สายตาเขามองมาที่หยาเหยาเพียงเท่านั้น
“ยินดีกับท่านทั้งสองด้วย หลงจูได้ยินชื่อเสียงของท่านมาบ้าง นับว่าเหมาะสมกันยิ่งเเล้วเจ้าค’ะ” หลงจูนางเอ่ยขึ้น
หยาเหยานางยิ้มเจือนๆ ให้หลงจู อะไรกันเมื่อครู่ยังจะขอร้องนางให้กลับไปหาหลู่เมิ่งอยู่หยกๆ น่าตายจริงๆ
“เจ้ายิ้มเจื่อนเช่นนั้นมิเห็นด้วยกับเเม่นางผู้นี้หรอกหรือ” เผิงอวิ๋นเอ่ยขึ้น
“ไม่…. ไม่ใช่!! ” หยาเหยานางร้องอุทานขึ้น จากนั้นนางก็ได้เเต่เม้มปาก นางทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเห็นด้วยกับคำพูดของหลงจู เเละปฎิเสธว่านางมิมิได้ยินดีซ้ำซ้อนกันไปอีก
เผิงอวิ๋นอมยิ้มอย่างชอบใจ เขาหยอกนางได้อีกหน ท่าทีรนรานซุกซนที่เก็บซ้อนภายใต้คราบของคุณหนูเพียงหนึ่งเเก่งขจวนอัครเสนาบดีนั้น มักจะหลุดออกมาบ่อยๆ
ในตอนนั้นหลงจูนางสัมผัสได้ถึงความรักของเผิงอวิ๋นที่มีให้กับหยาเหยา จนทำให้นางนั้นเเทบจะกลายเป็นธาตุอากาศที่ไร้ตัวตนไปในพริบตา
ใจหนึ่งนางก็ยินดีใจหนึ่งนางก็มิยินดี ออกจะอิจฉาริษยาเสียด้วยซ้ำ
ข้อหนึ่งซื้อหยาเหยานางงดงามพื้นเพนางก็สูงส่ง ตบเเต่งบุรุษก็ได้เเต่งกับนายทัพเเม้นหย่าขาดได้ชื่อว่าเป็นสตรีร้างเรือนหอก็ยังมีบุรุษที่พร้อมพรั่งด้วยรูปทรัพย์ ยศฐาที่ควรคู่เสียอีก นางช่างมีโชคดีเป็นทรัพย์โดยเเท้
ในตอนที่หยาเหยานางกำลังเหม่อๆ ก้มๆ หลบๆ ของนางอยู่นั้นจู่ๆ ร่างของเผิงอวิ๋นก็มาปรากฎอยู่ข้างกายนาง
พร้อมกับร่มสีน้ำเงินขลิบขาวคันหนึ่งที่กางอยู่เหนือศรีษะของนาง ก่อนที่นางจะหันมาสบตากับเผิงอวิ๋น ริมฝีปากของเขาที่เสมอกับดวงตาของนางพอดิบพอดี
“น้องพี่เเต่เล็กเจ้าก็ชอบออกมาตากเเดดจากลมเช่นนี้ หากล้มป่วยไปที่โทษได้พี่ก็ได้เเต่โทษตัวพี่เองนี่เเล้ว” เผิงอวิ๋นกระทำราวกับว่าโลกใบนี้มีเขากับนางเพียงเท่านั้น
เผิงอวิ๋นเขาประคองไหล่ของหยาเหยาที่ออกจากตัวเเข็งหากเเต่ก็โอนอ่อนเดินตามเผิงอวิ๋นอย่างว่าง่าย เผิงอวิ๋นพาร่างบางเดินจากไปจากตรงนั้นโดยทันที
หลงจูที่มองดูก็ทำสิ่งใดมิถูก…… เผิงอวิ๋นผู้นั้นดีต่อหยาเหยาโดยเเท้มิเเปลกที่หยาเหยาจะเอ่ยคำว่าไม่รัก ไม่รู้สึก!! ใดๆ กับหลู่เมิ่งนั้นเเล้ว เเต่หลู่เมิ่งเล่ายามนี้เป็นคน…. หากเเต่ไม่เต็มคน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
ชั่วเวลาไม่นานที่ต่างหนึ่งสตรี หนึ่งบุรุษโชคชะตากลับพลิกผลัน….. ผู้หนึ่งเคยรักมั่นหากเเต่มิใยดีผู้หนึ่งเคยมิใยดีกับใช้ชีวิตอย่างสงบเมื่อขาดนางมิได้
นี่จะเรียกได้ว่ารักหรือไม่? หรือหลู่เมิ่งเพียงเเต่เสียดายนางเท่านั้น หรือเห็นผู้ที่เหนือกว่าได้นางไปครองจึงทนมิได้เช่นนั้นหรือ?
ข้อนี้นอกจากสวรรค์เบื้องบนหรือใจหลู่เมิ่งจะทราบดีเเก่ใจเเล้วนั้น ก็มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะยืนยันทุกสิ่งทุกอย่าง
หลงจูมองเผิงอวิ๋นกับหยาเหยาเดินจากไป….. ใจนางก็คิดตาม
“คู่ควรเเล้ว” หลงจูนางรำพึง ดูท่าเเม่ทัพของนางคงจะสิ้นวาสนาเสียเเล้ว