ลิขิตรักสมรสพระราชทาน – ตอนที่ 21 วาสนาสามชาติหากเเม้นจะตัดขาดเสี้ยวลมหายใจก็เกินพอ

วาสนาสามชาติหากเเม้นจะตัดขาดเสี้ยวลมหายใจก็เกินพอ

*****************

หยาเหยาในตอนนั้น ห้วงที่นางหลั่งน้ำตาออกมาอยู่นั้น ระหว่างร่างกายกับดวงใจของนางยามนี้มิรู้เลยว่าที่เจ็บกว่ากันคือที่ใดกันแน่ และที่เจ็บนางเจ็บเพราะเหตุใดสาเหตุยังคงไม่แน่ชัด

หากเเต่เพียงไม่กี่อึดใจจากที่มีน้ำตากลับเหือดแห้ง จากที่เจ็บหนักก็เบาลง จนบางทีบางวูบเศษเสี้ยวลมหายใจนางคล้ายกลับมิรู้สึกสิ่งใดเลย

“ท่านเลือกไม่ได้ ข้าเลือกเอง” จากนั้นซื้อหยาเหยาโดยที่มีชิงชิงคอยประคองอยู่นั้น นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินกลับไปยังเรือนพัก

ทุกก้าวย่างที่นางเดินไปข้างหน้า เจ็บน้อยลงในทุกย่างก้าว หรือจะเป็นใจของนางกันที่คล้ายจะหมดความรู้สึกไปทุกขณะ

ยามนี้เเววตาของนางมองดูคล้ายกับวันที่นางก้าวเดินออกจากจวนสกุลหยางอย่างยิ่ง หรือเวลานี้หนทางของนางกับเผิงอวิ๋นจะซ้ำรอยเดิมอีกหนเช่นนั้นหรือ ต่างกันก็เพียงยามนั้นเป็นนางที่คาดหวังไปเองฝ่ายเดียวผิดหวังไปมันเจ็บอยู่เเต่ก็มิอาจเอ่ยโทษผู้อื่นได้อย่างเต็มปาก

หากเเต่ในยามนี้บุรุษผู้นั้นคือผู้ที่ประดาศกร้าวว่ามีใจรักต่อนางยิ่งกว่าอื่นใด มิใช่ว่าความเห็นเเก่ตนหรืออย่างใด เกิดเป็นสตรีที่ปรารถนาสูงสุดใช่สามีที่มีทรัพย์เงินตราเหนือคณานับ หรือจะเป็นยศถาที่สูงส่งเกินใคร

ที่หวังไว้ในส่วนลึกเพียงในบ้านเป็นสามีที่เป็นหลักยึดเป็นเสาหลักที่มั่นคงให้กับคนในบ้านสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและมั่นคง มิใช่โอนอ่อนเชื่อไม่ได้เช่นนี้ หากว่าในยามนี้เป็นนางที่แต่งและใช้แซ่เผิงไปแล้ว นางจะเป็นเช่นไรกัน สามีนางมีสตรีที่เอาชีวิตมาวางไว้ตรงหน้าเช่นนี้เช่นนี้ ชัวิตคู่หรือจะสรรหาคำว่าสงบสุข

หรือหากแม้นต้องรอวันที่นางที่นางสิ้นใจไปภายในสิบปี แล้วอย่างไร? ในสิบปีนั้นนางต้องทนทุกข์เพียงใดกันคิดแล้วก็น่าขันนัก ยังไม่แต่งทุกข์คณาก็มากองตรงหน้าเสียแล้ว

ไม่ว่ารักหรือไม่ หาได้สำคัญอีกแล้ว นางอยากมีชีวิตที่สงบสุข แม้นเดียวดายไปชั่วชีวิต ก็ขอเพียงอย่าทุกข์ใจเพราะรักนั้นอีกเลย….

เมื่อมาหวนนึกมองกลับไปแล้ว หรือเป็นตัวนางเองที่รักไม่มากพอหรือเป็นใจนางเอง ที่ไม่อาจทนแบกรับ ข้อนี้ของเผิงอวิ๋นไว้ได้ หรือเป็นเพราะตัวนางเองไม่ว่าหนใดที่นางรักที่สุดก็คือตัวนางเอง หนนั้นเป็นนางรั้งเผิงอวิ๋นไว้เพราะนางคิดว่าชีวิตนี้นางขาดเขาไม่ได้ เผิงอวิ๋นเป็นทั้งเพื่อและพี่ชายเป็นความอบอุ่นในวัยเด็กของนาง

ในคราของหยางหลู่เมิ่งเป็นนางเองที่ลงหลักไปใจไปเสียแต่แรกว่านั้นคือรัก…. นางวันที่นางพบกับหลู่เมิ่งในตอนนั้นเขาดูอบอุ่นและจริงใจอย่างยิ่ง รอยยิ้มนั้นทำใจนางหลุดลอยตามเขาไปอย่างว่าง่าย และเป็นนางเองที่ดึงดันที่จะครองคู่กับเขาโดยไม่ถามแม้นสักคำว่าผู้นั้นเต็มใจหรือไม่ เวลานั้นนางกับอิ๋งเหอต่างกันที่ใด?

ในเวลานี้เป็นอีกหนที่นางกับเผิงอวิ๋นหวนกลับมาพบกัน…. ที่เห็นและเป็นอยู่นั้นคือความรู้สึกรักหรือสิ่งใดกันแน่ เป็นความผูกพันในอดีตเช่นนั้นหรือ ในยามที่นางเคว้งคว้างที่สุดในชีวิต เขากลับมาและยื่นมือมาคอยประคองทำให้นางกลับมามีความมั่นใจอีกหนหนึ่ง สิ่งนั้นเรียกว่ารักได้หรือไม่ หากวันนั้นเขามิเอ่ยปากขอสมรสพระราชทานกับนาง วันนี้เวลานี้เขากับนางจะเป็นเช่นไร? หรือที่นางรู้สึกทุกวันนี้เป็นเพียงความซาบซึ้งในรักมั่นของเขาเช่นนั้นหรือ แล้วการตอบแทนความรักของเผิงอวิ๋นด้วยรักของนางด้วยใจนางที่รู้สึกผิดเช่นนั้นหรือ

แท้จริงนางรัก….. แต่ไม่มากพอ รัก….. แต่ไม่อาจให้เวลา…. รักแต่ไม่อาจให้โอกาส รักแต่….. นางรัก…. นางรักตนเองมากเสียเกินกว่า ยอมทนเพื่อเผิงอวิ๋นได้ เพียงเจ็บวันนี้หรือเจ็บไปจนชั่วชีวิต แม้นให้หลังอิ๋งเหอนางจะสิ้นไป

แต่เชื่อได้เลยว่าเวลานั้น นางกับเผิงอวิ๋น รักกับเกลียดมิรู้ว่าสิ่งใดนางจะมีมากกว่ากัน หากนางยอมลงให้เผิงอวิ๋นมิร้ายสู้ดีก็เป็นเพียงการข่มเก็บอารมณ์เพียงเท่านั้น ไม่นานนางและเขาคงมิพ้นจบไม่ดี!!

เรือนพักของหยาเหยา

ในตอนนั้นเองที่นางได้นั่งลงที่เตียง…. โดยที่มีชิงชิงที่นางกำลังทายาไปที่ช่วงเท้าและขาของนางที่บวมแดงเล็กน้อย โชคยังดีที่วันนี้นางสวมอาภรณ์หนาเสียหน่อยจึงมิเป็นไรมากเท่าใด แต่ก็ถือว่าเป็นเหตุไม่ควรเกิดแม้นแต่น้อย ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

“ชิงชิง เจ้าร้องไห้ทำไมกัน?” หยาเหยาเอ่ยถามชิงชิง ในตอนนั้นชิงชิงทายาให้นางอยู่แต่ชิงชิงนางกลับร่ำไห้ไม่หยุด ราวกับผู้ที่เจ็บปวดจากแผลนั้นเป็นนางเอง

“ชิงชิงสงสารคุณหนูเจ้าค่ะ”

“เหยาเหยาน่าเวทนาถึงเพียงนั้นเทียว?” นางเอ่ยออกมาขณะนั้นดวงตาของนางเหม่อลอย

“ไม่ๆ คุณหนูของชิงชิงจะน่าเวทนาได้อย่างไร”

“เมื่อกลางวันเจ้ารู้หรือไม่? ว่าข้าพบผู้ใด”

“ผู้ใดกันเจ้าค่ะ?”

“หลู่เมิ่ง”

“ท่านแม่ทัพ??”

“ในยามที่ข้าหลั่งน้ำตาอยู่นั้น เขาหยิบยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ข้าเคยปักให้เขาให้กับข้า เจ้าว่ามันน่าขันหรือไม่?” เหยาเหยานางกลับยิ้มร่าออกมา

“คุณหนูเจ้าค่ะ”

“สถานการณ์ของข้าในยามนี้ ดูแล้วคงน่าเวทนาจริงๆ แม้นแต่ผู้ที่เคยเย็นชาต่อข้าสารพัด ก็ยังอดเมตตาสงสารข้าไม่ได้”

“คุณหนูของชิงชิงมิได้เป็นเช่นนั้น คนนอกมองอย่างไรชิงชิงไม่ทราบแต่ชิงชิงมิเคยเวทนาคุณหนูคุณหนูของชิงชิง งดงามและเข้มแข็ง ที่ท่านเสียน้ำตา นี่เป็นเพราะนางอิ๋งเหอนั้น…. ทำให้คุณหนูของชิงชิงเป็นเช่นนี้ คุณชายเผิงก็เช่นกัน ชิงชิงผิดหวัง ชิงชิงไม่คิดเลยว่าคุณชายจะเป็นคนโลเลไม่หนักแน่นเช่นนี้”

“ชิงชิง เหยาเหยาของชิงชิงดูบอบบางถึงเพียงนั้น? เจ้าคอยดูเอาเถิด เหยาเหยามิยอมนิ่งเฉยเป็นพระโพธิสัตว์จำแลงอยู่หรอก เหยาเหยามิสนว่าผู้ใดจะอยู่หรือตาย จะเจ็บหรือจะปวด จะสุขหรือสมหวัง”

“คุณหนูเจ้าค่ะ….. เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้”

“เหยาเหยาล้อเจ้าเล่น….. ดึกแล้วเข้านอนกันดีกว่า อย่าเอาทุกข์ของผู้อื่นมาถมใจกันเลย” เหยาเหยานางเอ่ย

ในตอนนั้นชิงชิงก็ได้มาช่วยเหยาเหยาชำระร่างกายและเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับนาง ในตอนนั้นเองที่เหยาเหยานางกำลังเอ่ยกายลงนอนกับเตียงอุ่น โดยที่มีชิงชิงคอยห่มผ้าห่มให้อยู่ ในตอนนั้นก็กลับมีเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกหน

“เหยาเหยา เจ้าเข้านอนหรือยัง พี่เข้าไปได้หรือไม่?” เสียงของเผิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้สนหน้าประตูกล่าว

ในตอนนั้นชิงชิงที่นางกำลังขุ่นเคือง…. นางเดินไปที่ประตูที่ปิดอยู่นางเอ่ยออกไปว่า

“คุณชายคุณหนูข้าเข้านอนแล้วเชิญท่านกลับไปดูแลคนของท่านเถิด….. “ ชิงชิงนางเอ่ยอย่างประชดประชัน

“ชิงชิง อย่าเสียมารยาท เชิญคุณชายเผิงเข้ามา” หยาเหยานางเอ่ย

เขามาหานางได้แสดงว่าอิ๋งเหอผู้นั้นคงสิ้นเรี่ยวแรงหลับไปแล้ว มิอาจรั้งเขาไว้ได้แล้ว คงเป็นเช่นนั้น ในเวลานี้นางควรค่าเพียงเศษเสี้ยวเวลาที่อิ๋งเหอนางเจียดไว้ให้เช่นนั้นหรือ ไร้ค่าสิ้นค่าสิ้นดี

“คุณหนู….” ชิงชิงนางเอ่ยเสียงอ่อย

“เปิดประตู จะวันนี้หรือพรุ่งนี้อย่างไรก็ต้องเจอ สู้วันนี้ตอนนี้มิดีกว่าหรือ”

“เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นชิงชิงก็ได้เปิดประตูให้เผิงอวิ๋นเข้ามาในเรือน

“ชิงชิง เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ดูท่าคุณชายเผิงมีเรื่องจะเอ่ยกับหยาเหยา”

“เจ้าค่ะ” ในตอนนั้นชิงชิงนางก็ได้เดินออกไปและปิดประตูเรือน นางยืนพิงแนบอยู่ที่ประตู อย่างเป็นห่วง

ในตอนนั้นหยาเหยานางที่นอนอยู่บนเตียงสวมอาภรณ์สีขาว ปล่อยผมยามสลวยนั่น นางยามนี้มองไปที่เผิงอวิ๋นอย่างเป็นมิตร

ในตอนนั้นเผิงอวิ๋นได้ยืนอยู่และได้นั่งลงที่ปลายเตียงของนาง เขาค่อยๆ เปิดผ้าห่มที่ปกคลุมเท้าของหยาเหยาออก และภาพที่เห็นก็คือบริเวณเท้าของนางถูกพันด้วยผ้าขาวอยู่นั้น

“เหยาเหยา ไหนเจ้าว่า…..” เผิงอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหว

“ข้าว่าอย่างไร?”

“ไหนเจ้าว่าไม่เจ็บไม่เป็นอะไร หากพี่ไม่มาดูจะรู้หรือไม่? เหตุใดจึงมิบอกกัน”

“ได้…. ข้าจะบอกท่าน ความจริงตอนนั้นเท้าข้าโดนน้ำร้อน ข้าเจ็บมาก เจ็บแสบจนแทบยืนไม่อยู่ ข้าเจ็บมาก ข้าเดินไปแต่ละก้าวมิต่างจากเดินบนหนามแหลม ข้าเดินพ้นมาจากเรือนรับรองไม่กี่ก้าว ข้าก็ล้มลง…..” เหยาเหยานางเอ่ยด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเรียบเฉย

เผิงอวิ๋นก็เพียงแต่ก้มหน้าฟังคำที่นางเอ่ยออกมา นางเห็นได้ว่าเผิงอวิ๋นยามนี้ใบหน้าของเขาที่ปลายจมูกมีหยดน้ำหยดหนึ่งหยดลงมา เขามิกล้าสู้นางเช่นนั้นหรือ

“เกอเกอ ท่านวางใจได้ยามนี้ ข้ามิไม่รู้สึกใดๆ แล้ว มี่เจ็บก็หายแล้ว ที่ปวดก็หายแล้ว เวลานี้ท่านมีสิ่งใดจะเอ่ยก็เอ่ยมาเถิด”

“เหยาเหยา ขอโทษ พี่ขอโทษเจ้า ไม่ควรเลย เจ้าไม่ควรเลยที่จะต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ ขอโทษ”

“ขอ…. โทษ….. ขอโทษ สองวันมานี่ข้าฟังคำนี้จากท่านมาไม่รู้กี่สิบหน บ่อยครั้งเข้าคำขอโทษก็ดูจะไร้น้ำหนักไปเสียหน่อย”

“เหยาเหยา หากเป็นเจ้าบอกพี่ว่าเจ้าเจ็บ มีหรือพี่จะไม่มาดูเจ้า ในตอนนั้นพี่ทำสิ่งใดไม่ถูก อิ๋งเหอนาง…..” เผิงอวิ๋นกำลัง จะเอ่ยประโยคต่อไปแต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยยนางเสียก่อน

“แต่อิ๋งเหอนางกำลังป่วยหนัก เหยาเหยาพูดถูกหรือไม่?”

“ใช่….. ไม่ผิด เป็นเช่นนั้น หากแต่ว่าแน่นอนพี่ห่วงเจ้ามากว่านางแน่นอน มากกว่าสิ่งอื่นใด เจ้าในใจพี่” เผิงอวิ๋นเอ่ยทั้งน้ำตา ยามนี้เขารู้สึกกดดันเป้นอย่างมากในห้วงชีวิตที่สับสนนี้

ในตอนนั้นหยาเหยานางขยับกายเข้าไปใกล้เผิงอวิ๋นจากนั้นมือขวาของนางก็ค่อยๆ สัมผัสไปที่ใบหน้า นิ้วมือนางเวลานี้กำลังปาดน้ำตาของเผิงอวิ่นอยู่ ในตอนนั้นเผิงอวิ๋นก็ไปประคองจับมือของนางที่แนบอยู่กับใบหน้าของเขาเช่นกัน แววตาของนางยามนี้ดูลึกลับและเย็นชายิ่ง

“ไม่!! ข้าบอกว่าไม่เจ็บท่านก็ว่าข้าไม่เจ็บ หากข้าบอกว่าเจ็บท่านจะละจากนางมาดูข้า? หรือก็ไม่ …. ข้าเพียงไม่อยากดูน่าเวทนามากนัก ใครจะไปนึกว่าท่านที่แท้กลับซื่อหรือเพียงแกล้งซื่อ ในใจท่านคิดเช่นนั้นจริงหรือ หรือรู้แน่ว่าข้าเจ็บเพียงแต่ในเวลานั้น ท่านทำเป็นไม่ทราบหรือกลัวใจตัวรู้สึกผิดเช่นนั้นหรือ “หยาเหยานางเอ่ยจากนั้นมือของนางที่แนบอยู่ที่ใบหน้าของเผิงอวิ๋นนั้นนางก็ค่อยๆ เลื่อนลงไป ที่บ่าของเขาจากนั้น นางก็เช็ดคราบน้ำตาของเผิงอวิ๋นที่เปื้อนมือนางอยู่นั้นออกจนสิ้น ด้วยใบหน้าที่เย็นชายิ่ง

“เหยาเหยา มิใช่….. ข้ารักเจ้า ขอโทษ ฟังพี่ก่อน”

“รักข้า? เกอเกอ เกอเกอ วาสนาของท่านกับข้าบางเบาเหลือเกิน มิต่างกับอาการธาตุหลุดลอยและบางเบา เหยาเหยาให้โอกาสท่านเลือกแล้ว และเหยาเหยาก็รู้ชัดแล้วว่าท่านทิ้งนางก็ไม่ได้มีเพียงหยาเหยาผู้เดียวก็มิได้ เช่นนั้นก็มีเพียงแต่นางเถิด”

“ไม่…. เหยาเหยาข้ารักเจ้า ไม่…. ฟังพี่ก่อน ให้โอกาสพี่อีกสักหน เพียงนางเพียงนางดีขึ้น พี่จะให้นางกลับบ้านไป มิทำให้เจ้าลำบากใจอีก” เผิงอวิ๋นเอ่ยในตอนที่มือของเขาสัมผัสเข้ากับมือของนาง

“เกอเกอ ข้าก็รักท่าน หากแต่ว่ารักนั้นมันคงไม่มากพอ….. ที่จะทำให้ข้าอดทน รอ…. แล้วข้าก็มิรู้เลยว่า ที่ท่านให้ข้ารอมันจะสิ้นสุดเมื่อใด พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ หรือในชาตินี้……” หยาเหยานางดึงมือของนางออกมาจากมือของเผิงอวิ่นที่เกาะกุมมือนางอยู่ หาหแต่เผิงอวิ่นก็ดื้อรั้นมิยอมปล่อย

“เหยาเหยา ไม่…. มันต้องไม่เป็นเช่นนี้ ข้ารักเจ้า ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า ให้คู่ควรกับเจ้า เหยาเหยา….” เผิงอวิ๋นเอ่ยทั้งน้ำตา

ในตอนนั้นเหยาเหยานางก็ทำได้เพียงกัดฟันฝืนทนไปก็เท่านั้น …… นางสะบัดมือของนางออกจากเผิงอวิ๋นนอย่างเเรง การก้าวเดินที่ผิดพลาดเเม้นเพียงก้าวก้เปลี่ยนชะตาชีวิตของคนได้เช่นกัน

ใจคนใช่ว่าจะทนเจ็บทนรอได้ตลอด…. เมื่อหนทางข้างหน้าคือหุบเหว ก็สู้หยุดเสีย

“ชิงชิง…. ส่งแขก”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ลิขิตรักสมรสพระราชทานบทนำ เริ่มที่รัก จากด้วยชัง “ข้าซื่อหยาเหยา มีค่าเกินกว่าจะให้ใครหรือเเม้นเเต่ท่านดูถูกเหยียดหยาม ตัวข้าก็คนมีหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับท่านเลย” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นางจะเดินหันหลังให้กับจวนเเม่ทัพใหญ่ไป นางสู้อดทนมาเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เคยปริปากบ่น แม้นสักคำก็มิมีบอกให้ซื่อเฟิงมู่บิดาตนรู้ว่า ตลอดเวลาที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเเม่ทัพเเห่งนี้ต้องทนรับความอัปยศเพียงใด หนึ่งปีก่อนหน้านี้ “มีราชโองการเเม่ทัพใหญ่ สกุลหยาง นามหลู่เมิ้ง มีความชอบใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน จึงประทานสมรสให้เเต่งกับ สตรีสกุลซื่อ นามหยาเหยา เป็นภรรยา จบราชโองการ!! ” หลู่เมิ้งโค้งคำนับรับราชโองการ….. ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ การเเต่งงานการเมืองเช่นนี้ผู้ใดจะพึงใจกัน!! . . คืนวันเเต่งงาน ภายในห้องหอหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่างามล้ำซ้ำยังเป็นหยกล้ำค่าเเห่งจวนอัครเสนาบดี กำลังนั่งใบหน้าเเดงกล่ำมีเพียงพัดเป็นฉากกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษที่นางรักเเละหมายปอง สตรีเช่นนางหากเเต่งเข้าจวนอ๋องหรือวังไท่จื่อ เกรงว่าจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ เเต่นางหยาเหยา… รักบุรุษผู้นี้มาตั้งเเต่เเรกพบสบตา ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ สุดท้ายให้บิดาผู้เป็นเอกอัครเสนาบดี ทูลต่อฮองเต้ ให้เเต่งนางเข้าจวนเเม่ทัพ หลู่เมิ้งในวัยยี่สิบเจ็ดปี.. มีรูปกายเป็นทรัพย์อันลำค่า บุรุษในวัยหนุ่มร่างกายกำยำ มากด้วยสติปัญญา ซ้ำยังมิเคยยุ่งเกี่ยวสตรี รอยยิ้มอันงดงามตราตรึงใจนางไว้ได้ “สมใจเจ้าเเล้วสินะ?? ” “ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” หร่งเหยาเอ่ยขึ้น ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเพิ่งเปิดประตูเข้ามาเเท้ๆ กลับเอ่ยวาจาประหลาดนัก “ก็ที่เเต่งเข้าจวนข้าได้ คงสมใจเจ้าเเล้ว?? ” “เรื่องนั้น….” หยาเหยายิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ยัง.. ยังไม่ได้….” “ราชโองการเพียงให้ข้าเเต่งเจ้าเข้าจวน.. มิได้บอกให้รักเจ้า ให้ดีต่อเจ้า หรือห้ามให้ข้าออกจากห้องหอไปเสพสุขกับสตรีนางอื่น” ‘ปั่ง!! ‘ เสียงประตูปิดดังลั่นจนร่างบางต้องสะท้านด้วยความตกใจ.. บุรุษผู้นี้ใช่บุรุษที่นางเฝ้ารัก ที่นางถนอมกายใจ ไว้มอบให้เขาจริงหรือ ใช่บุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามที่นางพบวันนั้นใช่หรือไม่?? เหตุใดเขาจึงใจร้ายต่อนางนักหยาเหยา ผู้ไม่เคยถูกกระทำรุนเเรงต่อจิตใจเช่นนี้ถึงกับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่… …………… โรงเตี้ยมฟูหลัว “ท่านเเม่ทัพวันนี้เป็นคืนเข้าหอเเท้ๆ เหตุใดท่านจึงออกมาดื่มเหล้ากับพวกข้าเช่นนี้เล่า ฮูหยินมิเคืองท่านเเย่หรือ” “จะพูดถึงนางทำไมกัน” “อ่าว.. นางเป็นภรรยาท่าน?? ” “หึ… นางเพียงเเต่งเพื่อเสริมอำนาจให้บิดานางเพียงเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย” “ท่านเเม่ทัพ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” “ให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า หน้าก็มิเคยพบ.. จะให้รักหรืออย่างไร?? ” สามวันต่อมา หลู่เมิ่งออกจากจวนไปสามวันพึ่งกลับ… กลับมาเขาคิดว่าหยาเหยามิพ้นต้องโกรธเป็นฟืนไฟ หากเเต่ตรงกันข้าม.. พอถึงจวนนางกลับยกอาหารยกน้ำชามาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ใบหน้าของหญิงสามวัยเเรกเเย้ม….. งดงาม งดงามสมคำร่ำลือ กริยาอ่อนหวานอ่อนโยนน่าถนอมยิ่ง สายตาที่นางมองเขาราวกับกระต่ายน้อยเเสนเชื่อง “ท่านพี่ ท่านกลับมาเเล้ว ข้าทำอาหารไว้รอท่าน” “ไม่ต้องลำบากหรอก บ่าวไพร่ในจวนก็ออกมาก” “ไม่ลำบากเจ้าคะ เพื่อท่านพี่ น้องเต็มใจ” “ดี!! เช่นนั้น.. นับจากวันนี้ไปงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้า อาหารการกิน น้ำที่ข้าอาบ ให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” “เอ้?? ” “ทำไม.. ทำไม่ได้หรือ” “ได้.. ได้เจ้าคะ” หลังจากวันนั้นเสื้อผ้าทุกตัวของหลู่เมิ่งก็ต้องให้หยาเหยาเป็นคนจัดการซักเองกับมือ อาหารทุกอย่างก็เป็นหยาเหยาที่เป็นคนจัดเเจง น้ำที่เขาใช้อาบก็เป็นนางตระเตรียมให้ทุกเย็น.. นางคอยเติมน้ำปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะเพื่อให้ หลู่เมิ้ง สุดที่รัก ดวงใจของนางพอใจ.. ลำบากเพียงใดนางมิเคยปนิปากบ่น สามเดือนผ่านไป หยาเหยาทำหน้าที่ทุกอย่างมิขาดตกบกพร่อง.. อีกฝ่ายกับคิดไปอีกทาง คิดว่านางทนทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่ออำนาจของตระกูลนางจะได้มั่นคงเพียงเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset