ลิขิตรักสมรสพระราชทาน – ตอนที่ 5 พบกันอีกหนเปลี่ยนเป็นอีกคน

บทที่ห้า

พบกันอีกหนเปลี่ยนเป็นอีกคน

………

วังหลวง

ลานดอกเหม่ย

วันนี้เป็นวันที่ฮองเต้ได้มีบัญชาไว้ว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะของเผิงอวิ๋น แน่นอนเป็นงานเลี้ยงเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางชั้นสูงต่างได้รับเชิญกันถ้วนหน้า งานเลี้ยงนี้ถือเป็นงานเลี้ยงใหญ่ในรอบหลายปีนี้จริงๆ

มิเว้นแต่มหาเสนาบดีสกุลซื่อผู้เป็นหนึ่งในเสาหลักของบ้านเมืองในเวลา และในฐานะผู้อุการะเลี้ยงดูเผิงอวิ๋นมาย่อมได้รับความสำคัญในครานี้ไม่น้อย ซ้ำยังมีเรื่องบุตรสาวเพียงหนึ่งที่เพิ่งออกเรือนได้หนึ่งปี ก็กระทำเรื่องหย่าขาดกับสามีแม่ทัพผู้นั้นไปเสียแล้ว เรื่องราวคาวหวานเช่นนี้ เป็นที่สนุกปาก

จวนเสนาบดีสกุลซื่อ

ในตอนนั้น หยาเหยานางพินิจพิจรณาว่าตนควรมางานเลี้ยงในครั้งนี้หรือไม่ ข้อหนึ่งคือหลีกไม่พ้น หลู่เมิ่งอย่างไรงานนี้แปดในสิบส่วนต้องมาแน่ แล้วนางจะกระทำเช่นไร ต้องกระทำตัวเช่นไรต่อหน้าผู้คนในงานเลี้ยงที่จับจ้องนางเป็นตาเดียว หากแต่ไม่ว่าวันนี้ หรือวันไหนก็ย่อมมีสักวันที่นางต้องเผชิญหน้ากับหลู่เมิ่ง อย่างไรวันนั้นก็ต้องมาถึง คำคนนินทาเป็นเรื่องธรรมดาของโลก หยาเหยานึกปลงในใจ ซ้ำในวันนี้เป็นวันที่เผิงอวิ๋นที่รอคอย เป็นวันสำคัญของเผิงอวิ๋นโดยแท้ นับแต่นางยังเด็กความฝันข้อนี้ของเผิงอวิ๋นนางรับรู้และอย่างมีส่วนร่วมในวันนั้น นางจะละทิ้งโอกาสนี้ เพียงเพราะความขลาดเขลาเพียงเท่านั้น? ไม่นานหยาเหยาก็ตัดสินใจได้ นางจะไป…..

วังหลวง

ลานดอกเหม่ย

ในยามนี้ เผิงอวิ๋นและมหาเสนาบดีก็ได้ไปถึงยังงานเรียบร้อยแล้ว ในคราแรกหยาเหยามิได้แจ้งว่าจะมาด้วยหรือไม่ ด้านมหาเสนาบดีผู้เป็นบิดาก็มิได้บังคับฝืนใจแต่อย่างใด อยากมาก็มา…. ไม่อยากมาก็ตามใจเหยาเหยาเถิด หากแต่ด้านเผิงอวิ๋นมหาเสนาบดีกลับดูท่าทีไม่ออก

ในตอนนั้นในขณะที่ฮองเต้ยังมิได้เสด็จมาถึง เหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางก็ได้ร่วมวงสนทนาเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องบ้านเมืองจนไปถึงเรื่องในมุ้ง

ในตอนนั้นหลู่เมิ่งที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ้น ใบหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขามองไปมหาเสนาบดี ไม่พบเงาหยาเหยา หรือวันนี้นางจะไม่มา? ไม่แปลก

ในตอนนั้นเขาเห็นว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่กำลังเผยรอยยิ้มอยู่ในวงสนทนาในขณะที่ มหาเสนาบดีนั้นก็ดูภูมิอกภูมิใจเสียเหลือเกิน “จั่นฟง ผู้นั้นคือ?” หลู่เมิ่งเอ่ยถามคนสนิทของตน

“ผู้นั้น?? อ้อ บุรุษชุดขาวนั้นใช่หรือไม่? “จั่นฟงเอ่ย

หลู่เมิ่งพยักหน้า ตอบรับ

“เผิงอวิ๋น คนสำคัญของงาน เอ่อ เห็นว่าท่านมหาเสนาบดีกับบิดาของเผิงอวิ๋นสนิทสนมหลังจากสิ้นบุญบิดามารดาของเผิงอวิ๋น ท่านมหาเสนาบดีกับฮูหยินก็ได้รับ เขามาอยู่ในจวน เลี้ยงดูไม่ต่างจากบุตรแท้ๆ เลยเทียว” จั่นฟงเล่าอย่างออกรส

หลู่เมิ่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่….. หรือพี่ชายที่นางเอ่ยถึงจะคือ เผิงอวิ๋นผู้นี้ไม่ผิดแน่…. หยาเหยา เขาคือผู้ที่อยู่ในใจเจ้าผู้นั้นหรือ ผู้ที่ดึงใจเจ้าไปจากตัวข้า? ในตอนนั้นขณะที่หลู่เมิ่งกำลังคิดบางสิ่งในใจอยู่นั้น

เสียงซุบซิบนินทาของคนในงานก็บังเอิญมาเข้าหูจองเขา “ซื่อหยาเหยา ผู้นั้นหนะหรอ ไหนเลยจะกล้ามา แต่งไม่ถึงปีก็หย่าเสียแล้ว..”

“ใช่สิข่าวว่า ตัวนางยังบริสุทธิ์จนถึงทุกวันนี้…..” “จริง?? “ “น่าขันเสียจริงใบหน้าก้งดงามออกจะปราณนั้น ฮ่าฮ่า”

ในตอนนั้นหลู่เมิ่งเหตุใดมิรู้จึงรุ้สึกโกรธแทนนาง ในขณะที่เขากำลังจะหันไปต่อว่าคนเหล่านั้น กลับเป็นเผิงอวิ๋นที่ตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

“กล่าวถึงเรื่องราวของผู้อื่นได้สนุกปากถึงเพียงนี้เทียว?” เผิงอวิ๋นที่แต่ไหนก็มักสุภาพไม่ถือสาผู้ใดมาเสมอเวลานี้กลับมีท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง

“เอ่อ…..” ในตอนที่คนเหล่านั้นกำลังจะเอ่ยตอบกลับ นางก็ได้เงียบลง

ซื่อหยาเหยาร่างของนางค่อยๆ เผยออกมา วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาวมุก ปักดิ้นเงิน เป้นลวดลายผีเสื้อที่ร่ายรำชมดอกไม้อยู่ทั่วร่างของนาง ใบหน้าขาวนวลถูกแต่งแต้มอย่างธรรมชาติหากแต่ปราณีต ศีรษะนางเกล้าผมครึ่งศีรษะแล้ว ทิ้งผมยาวสลวยสีดำคลับไว้ด้านหลัง บนมวยผมปักปิ่นเงินลายผีเสื้อประดับพลอยสามสี เมื่ออาภรณ์นางกระทบกับแสงแดดอ่อนกลับเรืองรองและทอประกาย….

หลู่เมิ่งมองนางเดินเขามา ในเวลานั้นเขาแทบจะละสายตาจากนางไปไม่ได้เลย….. ในเวลานั้นผู้ที่หยาเหยามอง ผู้ที่อยู่ในดวงตาของนางหาใช่ตัวเขาไม่ แต่เป็นเผิงอวิ๋นผู้นั้น แววตาที่เทิดทูลนั้น ….. เป็นเขาที่เคยเป็นเจ้าของ

“เหยาเหยา “เสียงของมหาเสนาบดีเอ่ยขึ้น

“ท่านพ่อ” หยาเหยายิ้ม

“ไม่คิดว่าเจ้าจะมา?? พ่อดีใจ “

“ลูกมาตรองดู วันนี้วันหน้าอย่างไรก็ต้องพบ ท่านแม่มิเคยสอนให้ลูกเลี่ยงความจริง ดังนั้นเหยาเหยา วันนี้พร้อมรับทุกสิ่ง” เหยาเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน

ในตอนนั้นเผิงอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลนักก็ได้เดินกลับมาหามหาเสนาบดีและหยาเหยา และในตอนนั้นเองที่หยาเหยาเห็นชัดว่า เผิงอวิ๋นได้สวมอาภรณ์ที่นางปัก และตัดหยิบให้มาในวันนี้ หยาเหยายิ้ม ให้เผิงอวิ๋นอย่างน้อบน้อม

“วันนี้เจ้างดงามมาก” เผิงอวิ๋นกล่าวอย่างอบอุ่น มิเพียงแต่น้ำเสียงแววตาเขาก็เช่นกัน

“ยินดีกับท่านด้วย” หยาเหยายิ้มอย่างสุภาพพร้อมๆ กับย่อกายอย่างอ่อนน้อม

และในตอนนั้นเองทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายตาของหลู่เมิ่งโดยทั้งสิ้น จอกสุราในมือของ หลู่เมิ่ง เกิดรอยร้าวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ “สตรีใจโลเล”

ไม่นานนักทุกคนก็ต้องกลับไปนั่งยังที่ ที่จัดเตรียมไว้เสียแต่ในคราแรกเพราะการมาถึงของฮองเต้ ฮองเฮา และกุ้ยเฟย เสียนเฟย เต๋อเฟย เหลียงเฟย และพร้อมกับท่านหญิงที่งามพร้อมทั้งหลาย จุดประสงค์คงมีไม่กี่อย่าง??

ฮองเต้ฮองเฮาและเหล่าสนม ประทับ ณ แท่นพิธี จากนั้นฮองเต้ก็ได้กล่าวอะไรสักเล็กน้อย ก่อนที่ฮองเฮาจะได้ผายมือเป็นสัญญาณ ให้นักดนตรีและนางรำ ที่สวมอาภรณ์หลากสีสันออกมาร่ายรำ เพื่อให้ทุกคนได้เชยชม ในตอนนั้นเผิงอวิ๋นจะว่าสนใจมองสาวงาม ณ ลานกว้างหรือไม่ ตอบได้เพียงหนึ่งคำ “ไม่” ในเวลานี้เขาเอาแต่นั่งก้มหน้า หรือมก็แหงนมองฟ้าชมทิวทัศน์ ก็จะมีบ้างที่หันเหลือบมามองใบหน้าของซื่อหยาเหยา ที่กำลังยิ้มหวาน ในขณะที่รับชมการแสดงนั้น

“ดี ดี งดงามมาก” เสียงของฮองเต้

วันนี้คล้ายจะผ่านไปได้ด้วยดี มีความสุขกันถ้วนทั่ว เเม้นจะมีบางผู้ที่มีสีหน้าอมทุกข์อยู่บ้าง

ไม่นานฮองเต้ก็ได้ทรงพระราชทาน รางวัลให้กับขณะของเผิงอวิ๋นทีละคนๆ จนกระทั่งมาถึงเผิงอวิ๋น

เผิงอวิ๋นในเวลานี้กำลังคุกเข่ารอรับราชโองการจากฮองเต้ ภายใจเขาในตอนนี้ผู้ที่รู้ใจไหนเลยจะไม่ใช่หยาเหยา หากวันนี้เป็นไปดังใจหวัง ขุนนางขั้นสาม เเต่งสตรีที่รัก…..

“เผิงอวิ๋นผู้นี้มากด้วยสามารถ ประทานผ้าไหมทองสองพับ ผ้าเเพรสามหีบ ที่นาสามร้อยไร่ เเต่งตั้งเป็นซานจื่อ ราชครูอบรบสั่งสอนบรรดาโอรสธิดาของข้า”

เผิงอวิ๋นคำนับรับราชโองการ

หยาเหยาที่มองอยู่ไม่ไกลนัก นางยิ้มเเละยินดีกับเผิงอวิ๋นด้วยใจจริง ตำเเหน่งราชครูไม่ใช่เล็กๆ เลย เวลานี้ไม่เพียงขุนนางขั้นสามเเต่เขารั้งตำเเหน่งขุนนางขั้นสอง ด้วยวัยเพียงเท่านี้วันหน้าย่อมเจริญก้าวหน้าได้อีกเป็นเเน่ ได้รับหน้าที่สำคัญของราชวงค์ วันข้างหน้าองค์ชายสักองค์ที่เขาได้มีโอกาสอบรบสั่งสอน วันใดวันหนึ่งจะต้องได้ขึ้นครองราชย์

“ขอบพระทัยฝ่าบาท เป็นพระกรุณายิ่งเเล้วพะยะคะ”

“อ้อ เราจะจัดสมรสพระราชทานให้เเก่เจ้า เลือกสตรีมาสักนางหนึ่งเถิด เราจะพระราชทานสมรสเป็นสะใภ้หลวง” ฮองเต้กล่าวอย่างเอ็นดู

เเท้ที่จริงฮองเต้หมายจะยกองค์หญิงสักองค์ หรือท่านหญิงสักนางให้แก่เผิงอวิ๋นผู้มากด้วยความสามารถเช่นนี้เกี่ยวดองกันไว้ย่อมดี ซื้อใจดีกว่าซื้อกายเป็นไหนๆ

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ลิขิตรักสมรสพระราชทานบทนำ เริ่มที่รัก จากด้วยชัง “ข้าซื่อหยาเหยา มีค่าเกินกว่าจะให้ใครหรือเเม้นเเต่ท่านดูถูกเหยียดหยาม ตัวข้าก็คนมีหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับท่านเลย” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นางจะเดินหันหลังให้กับจวนเเม่ทัพใหญ่ไป นางสู้อดทนมาเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เคยปริปากบ่น แม้นสักคำก็มิมีบอกให้ซื่อเฟิงมู่บิดาตนรู้ว่า ตลอดเวลาที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเเม่ทัพเเห่งนี้ต้องทนรับความอัปยศเพียงใด หนึ่งปีก่อนหน้านี้ “มีราชโองการเเม่ทัพใหญ่ สกุลหยาง นามหลู่เมิ้ง มีความชอบใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน จึงประทานสมรสให้เเต่งกับ สตรีสกุลซื่อ นามหยาเหยา เป็นภรรยา จบราชโองการ!! ” หลู่เมิ้งโค้งคำนับรับราชโองการ….. ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ การเเต่งงานการเมืองเช่นนี้ผู้ใดจะพึงใจกัน!! . . คืนวันเเต่งงาน ภายในห้องหอหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่างามล้ำซ้ำยังเป็นหยกล้ำค่าเเห่งจวนอัครเสนาบดี กำลังนั่งใบหน้าเเดงกล่ำมีเพียงพัดเป็นฉากกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษที่นางรักเเละหมายปอง สตรีเช่นนางหากเเต่งเข้าจวนอ๋องหรือวังไท่จื่อ เกรงว่าจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ เเต่นางหยาเหยา… รักบุรุษผู้นี้มาตั้งเเต่เเรกพบสบตา ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ สุดท้ายให้บิดาผู้เป็นเอกอัครเสนาบดี ทูลต่อฮองเต้ ให้เเต่งนางเข้าจวนเเม่ทัพ หลู่เมิ้งในวัยยี่สิบเจ็ดปี.. มีรูปกายเป็นทรัพย์อันลำค่า บุรุษในวัยหนุ่มร่างกายกำยำ มากด้วยสติปัญญา ซ้ำยังมิเคยยุ่งเกี่ยวสตรี รอยยิ้มอันงดงามตราตรึงใจนางไว้ได้ “สมใจเจ้าเเล้วสินะ?? ” “ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” หร่งเหยาเอ่ยขึ้น ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเพิ่งเปิดประตูเข้ามาเเท้ๆ กลับเอ่ยวาจาประหลาดนัก “ก็ที่เเต่งเข้าจวนข้าได้ คงสมใจเจ้าเเล้ว?? ” “เรื่องนั้น….” หยาเหยายิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ยัง.. ยังไม่ได้….” “ราชโองการเพียงให้ข้าเเต่งเจ้าเข้าจวน.. มิได้บอกให้รักเจ้า ให้ดีต่อเจ้า หรือห้ามให้ข้าออกจากห้องหอไปเสพสุขกับสตรีนางอื่น” ‘ปั่ง!! ‘ เสียงประตูปิดดังลั่นจนร่างบางต้องสะท้านด้วยความตกใจ.. บุรุษผู้นี้ใช่บุรุษที่นางเฝ้ารัก ที่นางถนอมกายใจ ไว้มอบให้เขาจริงหรือ ใช่บุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามที่นางพบวันนั้นใช่หรือไม่?? เหตุใดเขาจึงใจร้ายต่อนางนักหยาเหยา ผู้ไม่เคยถูกกระทำรุนเเรงต่อจิตใจเช่นนี้ถึงกับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่… …………… โรงเตี้ยมฟูหลัว “ท่านเเม่ทัพวันนี้เป็นคืนเข้าหอเเท้ๆ เหตุใดท่านจึงออกมาดื่มเหล้ากับพวกข้าเช่นนี้เล่า ฮูหยินมิเคืองท่านเเย่หรือ” “จะพูดถึงนางทำไมกัน” “อ่าว.. นางเป็นภรรยาท่าน?? ” “หึ… นางเพียงเเต่งเพื่อเสริมอำนาจให้บิดานางเพียงเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย” “ท่านเเม่ทัพ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” “ให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า หน้าก็มิเคยพบ.. จะให้รักหรืออย่างไร?? ” สามวันต่อมา หลู่เมิ่งออกจากจวนไปสามวันพึ่งกลับ… กลับมาเขาคิดว่าหยาเหยามิพ้นต้องโกรธเป็นฟืนไฟ หากเเต่ตรงกันข้าม.. พอถึงจวนนางกลับยกอาหารยกน้ำชามาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ใบหน้าของหญิงสามวัยเเรกเเย้ม….. งดงาม งดงามสมคำร่ำลือ กริยาอ่อนหวานอ่อนโยนน่าถนอมยิ่ง สายตาที่นางมองเขาราวกับกระต่ายน้อยเเสนเชื่อง “ท่านพี่ ท่านกลับมาเเล้ว ข้าทำอาหารไว้รอท่าน” “ไม่ต้องลำบากหรอก บ่าวไพร่ในจวนก็ออกมาก” “ไม่ลำบากเจ้าคะ เพื่อท่านพี่ น้องเต็มใจ” “ดี!! เช่นนั้น.. นับจากวันนี้ไปงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้า อาหารการกิน น้ำที่ข้าอาบ ให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” “เอ้?? ” “ทำไม.. ทำไม่ได้หรือ” “ได้.. ได้เจ้าคะ” หลังจากวันนั้นเสื้อผ้าทุกตัวของหลู่เมิ่งก็ต้องให้หยาเหยาเป็นคนจัดการซักเองกับมือ อาหารทุกอย่างก็เป็นหยาเหยาที่เป็นคนจัดเเจง น้ำที่เขาใช้อาบก็เป็นนางตระเตรียมให้ทุกเย็น.. นางคอยเติมน้ำปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะเพื่อให้ หลู่เมิ้ง สุดที่รัก ดวงใจของนางพอใจ.. ลำบากเพียงใดนางมิเคยปนิปากบ่น สามเดือนผ่านไป หยาเหยาทำหน้าที่ทุกอย่างมิขาดตกบกพร่อง.. อีกฝ่ายกับคิดไปอีกทาง คิดว่านางทนทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่ออำนาจของตระกูลนางจะได้มั่นคงเพียงเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset