ลิขิตรักสมรสพระราชทาน – ตอนที่ 6 กระหม่อมมีสตรีในดวงใจแล้ว

บทที่หก

กระหม่อมมีสตรีในดวงใจเเล้ว

 

……………………………………..

ในเวลานั้นเผิงอวิ๋นที่กำลังเป็นจุดสนใจของคนในงานกำลังนั่งคุกเข่า อยู่เบื้องหน้าของผู้เป็นประมุขของเเผ่นดิน ในยามนี้เผิงอวิ๋นถือว่าสำเร็จเกินเป้าหมายไปมาก….. เวลานี้เขาคือราชครูที่เพิ่งได้รับการเเต่งตั้ง ขุนนางขั้นสอง ที่ภูมิใจก็ภูมิใจ ที่เสียใจก็เสียใจ หนทางที่เขาเลือกในวันนี้ที่เขาจากนางไปในวันนั้น ทำให้นางต้องไปเเต่งงานกับบุรุษอื่น หากบุรุษนั้นรักนางด้วยใจจริงเเท้อาจจะเจ้บอยู่บ้างเเต่ก็จะยินดี

 

เเต่บุรุษผู้นั้นกลับไม่เห็นคุณค่า ไม่เพียงไม่รักใคร่ซ้ำยังไม่ใยดี เรื่องราวที่เขาได้ฟังจากชิงชิง ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดยิ่งนัก สตรีที่เขาสาบานว่าจะปกป้องไปชั่วชีวิต เขากลับละทิ้งนางไปทำให้นางผิดหวัง เวลานี้สวรรค์ให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้ง เขาจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสนั้นไปอีกแน่ ไม่มีวัน

 

“กระหม่อมมีสตรีในดวงใจเเล้วพะยะคะ” หลู่เมิ่งเอ่ยออกไป

ในเวลานั้นทุกคนในงานต่างซุบซิบกันในเรื่องราวนั้นกันใหญ่

 

หลู่เมิ่งที่กำลังยกจอกสุราอย่างไม่สนอะไร เวลานี้กลับชงักลง…. สตรีในใจที่เขาเอ่ยถึงคือ หยาเหยาหรือไม่? เเล้วหากใช่ เขาจะกล้าเอ่ยขอพระราชทานสมรสกับสตรีที่เพิ่งหย่าขาด กล้าขนาดนั้นเทียว เเล้วหากเขากล้า เรื่องระหว่างเขากับหยาเหยาจะนับว่าตัดขาดตั้งเเต่วันนี้ไปหรือไม่ เรื่องเริ่มต้นใหม่ ไม่มีโอกาสเเล้วใช่หรือไม่

สิ่งที่หยาเหยาคิดกับตรงกันข้าม หยาเหยาคิดว่าต้องเป็นสตรีสักนางที่ไม่ใช่นางเป็นเเน่หยาเหยามิอยากอยู่ฟัง นางจึงลุกขึ้น……. โดยที่อัครเสนาบดีบิดาของนางได้รั้งมือนางไว้เเต่นางก็ยังยืนยัน

“ลูกปวดหัวเจ้าคะ” หยาเหยาเอ่ยกับบิดา

“ตามใจเจ้า….”

ในตอนที่หยาเหยากำลังจะก้าวเดินจากไปอย่างเงียบๆ นั้น….

 

…..

 

“ผู้ใดคือสตรีในใจเจ้า เผิงอวิ๋นบอกเรามาเถิด เพียงเจ้าเอ่ยออกมาเราสนับสนุนเจ้าเต็มที่” ฮองเต้เอ่ยอย่างยินดี

 

ในตอนนั้นหยาเหยาสูดหายใจ….. เอาเถิดสตรีผู้นั้นเเน่นอนมิใช่สตรีที่เพิ่งหย่าขาดเช่นนาง

“สตรีผู้นั้นคือสตรีที่กระหม่อมเคยให้คำมั่นหากวันใดกระหม่อมสามารถรั้งตำเเหน่งขุนนางขั้นสามได้ วันนั้นกระหม่อมจะเเต่งนางเป็นภรรยา วันนี้กระหม่อมได้รับพระกรุณาจากพระองค์มากเกินกว่านั้น สิ่งที่กระหม่อมทำเพื่อสามสิ่ง หนึ่งเพื่อรับใช้เเผ่นดินรับใช้ฝ่าบาท สองเพื่อกอบกู้สกุลเผิง ข้อสามเพื่อที่จะได้คู่ควรกับสตรีที่กระหม่อมรักที่สุด” เผิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจริงจังเป็นที่สุด

ในเวลานั้นหยาเหยามิได้กล่าวเดินไปเเต่อย่างใด…. สองขาของนางชงักลง ในเวลานี้ดวงใจของนางกำลังเต้นช้าลง…. ช้าลง เสียงดังก้องในใจ เวลานี้ในเดวงตาของนางคล้ายจะมีเเววของหยดน้ำตาจางๆ เผิงอวิ๋นมเคยลืมคำพูดของเขาในปีนั้น…. เเต่เป็นนาง เป็นนางที่ลืมเลือนเขา

วันนี้นางหาได้คู่ควร มิคู่ควรอีกต่อไปเเล้ว……

“ซื่อหยาเหยา กระหม่อมขอพระราชอนุญาตเเต่งกับซื่อหยาเหยาพะยะค่ะ” เผิงอวิ๋นเอ่ยเสียงดังและหนักแน่น

ในเวลานี้บิดาของซื่อหยาเหยาอัครเสนาบดีสกุลซื่อ….. เวลานี้เขากำลังยิ้มอย่างภาคภูมิ เผิงอวิ๋นนับว่าเป็นบุรุษที่คู่ควรยิ่งเเล้ว

“ซื่อหยาเหยา ” ฮองเต้มองไปที่อัครเสนาบดีคู่พระทัย ซ้ำยังเป็นสหายสนิทเสียด้วย เวลานั้นเเม้นฮองเต้จะเสียดายเผิงอวิ๋นอยู่บ้างเเต่กับหยาเหยา ที่ก็นับได้ว่าเป็นหลานนอกไส้ที่รักใคร่อยู่เช่นกัน เอาเถิด…. สกุลซื่อมีคุณต่อเผิงอวิ๋นไม่น้อย นับว่าสมควรเเล้ว สกุลซื่อภักดีต่อราชวงค์ เผิงอวิ๋นแต่งกับสกุลซื่อดีมากกว่าร้าย

“พะยะคะซื่อหยาเหยา ” เผิงอวิ๋นตอบคำฮองเต้ ด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยยิ้ม

 

ซื่อหยาเหยาเองจะไปก็ไปไม่ได้จะอยู่ก็อยู่อย่างไม่เป็นสุขนัก เพราะสายตาของทุกผู้ทุกคนล้วนจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียว

ซื่อหยาเหยาโดยอัครเสนาบดีสกุลซื่อ ดึงกายนางให้นั่งลง….. จะไปไม่ได้เพราะเวลานี้ฮองเต้กำลังจับตามองอยู่ จะไปได้อย่างไร

“เหยาเหยา นั่งลงก่อนเถิด ฝ่าบาทมองเจ้าอยู่นะ”

“จะ….. เจ้าค่ะ” หยาเหยาทำใจให้นั่งลง

 

……

 

“ว่าอย่างไรท่านอัครเสนาบดี เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงบุตรสาวของของท่าน เผิงอวิ๋นผู้นี้ก็อยู่ในอุปการะของท่าน ท่านจะว่าอย่างไร อนุญาติหรือไม่? ” ฮองเต้กึ่งถามกึ่งหยอกล้อ

ในเวลานี้หลู่เมิ่ง….กำลังอยู่ในสถานะการณ์กลืนไม่เข้าจะคายก็คายไปออก เขากำลังนั่งมองอดีตภรรยา ที่กำลังจะถูกบุรุษอื่นขอพระราชทานสมรสเช่นนั้นหรือ? ตลกไปเเล้ว ชีวิตบัดซบ!!

“เรื่องนี้….. กระหม่อมแล้วแต่ฝ่าบาทพะยะค่ะ”

 

“ท่านพ่อ….” ในเวลานั้นหยาเหยาตีไปที่บิดาของตนเบาๆ

“อย่างไรหยาเหยา เจ้าไม่ยินดีหรือ….. ” ฮองเต้เอ่ยถามหยาเหยา

 

“เอ่อคือเรื่องนั้น….. หม่อมฉัน…. ”

 

ในเวลานร้ทุกคนต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียว รวมถึงเผิงอวิ๋นที่มองมาที่นางด้วยสายตาที่พึ่งห่วงใยกึ่งเป็นกังวล ซ้ำยังเเฝงความกดดันเล็กน้อย

หยาเหยารวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป

“หม่อมฉันไม่คู่ควรเพคะ” หยาเหยาเอ่ยด้วย้ำเสียงที่จริงจัง เวลานี้นางเอาเเต่ก้มหน้า

“ไม่คู่ควรงั้นหรือ? ” ฮองเต้ถามย้ำ

“หยาเหยา!! ” บัดนี้บิดาของนางก็เป็นฝ่ายตีนางเบาๆ บ้าง

“เพคะ หม่อมชั้นเป็นสตรีที่เคยผ่านการเเต่งงานมาเเล้ว ซ้ำยังเป็นสมรสพระราชทาน เเม้นในยามนี้จะหย่าขาด เเต่ก็ถือว่าไม่คู่ควรกับท่าราชครูเผิงเพคะ” หยาเหยาเอ่ยอย่างนักเเน่น

 

ในเวลานั้นหลู่เมิ่งที่ฟังอยู่ ก็นับว่าหยาเหยานี้ใจกล้าไม่น้อยที่กล้าเอ่ยคำเหล่านั้น เวลานี้จะว่าดีใจก็ดีใจ เเต่พูดได้ก็ไม่เต้มปากที่นางหย่าขาดก็ล้วนเป็นเพราะเขา

อีกด้านหนึ่งเผิงอวิ้นมิได้มีท่าทีที่ตกใจเลยเเม้นเเต่น้อยเขากับเผยยิ้มออกมา

“กระหม่อมหาได้ใส่ใจในข้อนี้ไม่ กระหม่อมรักซื่อหยาเหยา หากไม่ใช่นางชีวิตนี้กระหม่อมก็ไม่ขอเเต่งกับผู้ใด ” เผิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักเเน่นยิ่งกว่าเดิม

 

“ดี!! ว่าอย่าไรซื่อหยาเหยา เผิงอวิ๋นไม่ใส่ใจ เจ้าจะใส่ใจได้หรือ เขามีใจรักต่อเจ้าเพียงนี้ จะปฏิเสธเขาได้จริงๆ หรือ? ข้าเห้ยว่าไม่ควร” ฮองเต้กล่าว

ในเวลานั้นหยาเหยามองไปที่เผิงอวิ๋นอย่างหลากหลายความนัย…….

“หยาเหยา ฮองเต้ตรัสถามเจ้า” บิดาหยาเหยาเอ่ยเตือนสติบุตรสาว

“พะ…. เพคะ” หยาเหยาเอ่ยออกมา

“อ้อ….. งั้นตกลงตามนี้หนึ่งเดือนให้หลังวันนี้จะเป็นเเต่งงานของพวกเจ้า ” ฮองเต้เอ่ยอย่างยินดี

“หาาาาาาาาาาาาา”

หยาเหยาตกตะลึงไปชั่วครู่นางไปตอบรับคำตอนไหนกัน

เวลานี้บิดาของซื่อหยาเหยา ก็ฉวยโอกาสนั้นจูงมือของหยาเหยาให้ออกไปนั่งเคียงคู่เผิงอวิ๋น จากนั้นก็ให้ทั้งสองได้ก้มลงคำนับ ขอบพระทัยฮองเต้กันยกใหญ่

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เผิงอวิ่นเอ่ย

ในตอนนั้นเขาอมยิ้มเเละหันมามองที่หยาเหยา ด้วยดวงตาที่หวานเยิ้ม

“อ้อ…. ชุดที่เจ้าสองคนสวมในวันนี้….. คล้ายจะเข้าคุ่กัน ฝีมือเย็บปักก็คล้ายกันยิ่งนัก” ฮฮงเต้เอ่ยถาม

“หยาเหยาเป็นคนตัดเย็บให้กระหม่อมพะยะคะ กระหม่อมชอบมาก นางเป็นเเม่บ้านเเม่เรือนมาก”

หยาเหยามองไปที่เผิงอวิ๋นจิกตามองเขาตาเขม่

เเต่เผิงอวิ๋นกลับหันมายิ้มให้หยาเหยาอย่างอบอุ่น

ผู้ที่กำลังจะกระอักเลือดตายก็คงมีเพียง บุรุษผู้เดียวเท่านั้น “หลู่เมิ่ง”

.

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ลิขิตรักสมรสพระราชทานบทนำ เริ่มที่รัก จากด้วยชัง “ข้าซื่อหยาเหยา มีค่าเกินกว่าจะให้ใครหรือเเม้นเเต่ท่านดูถูกเหยียดหยาม ตัวข้าก็คนมีหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับท่านเลย” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นางจะเดินหันหลังให้กับจวนเเม่ทัพใหญ่ไป นางสู้อดทนมาเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เคยปริปากบ่น แม้นสักคำก็มิมีบอกให้ซื่อเฟิงมู่บิดาตนรู้ว่า ตลอดเวลาที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเเม่ทัพเเห่งนี้ต้องทนรับความอัปยศเพียงใด หนึ่งปีก่อนหน้านี้ “มีราชโองการเเม่ทัพใหญ่ สกุลหยาง นามหลู่เมิ้ง มีความชอบใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน จึงประทานสมรสให้เเต่งกับ สตรีสกุลซื่อ นามหยาเหยา เป็นภรรยา จบราชโองการ!! ” หลู่เมิ้งโค้งคำนับรับราชโองการ….. ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ การเเต่งงานการเมืองเช่นนี้ผู้ใดจะพึงใจกัน!! . . คืนวันเเต่งงาน ภายในห้องหอหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่างามล้ำซ้ำยังเป็นหยกล้ำค่าเเห่งจวนอัครเสนาบดี กำลังนั่งใบหน้าเเดงกล่ำมีเพียงพัดเป็นฉากกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษที่นางรักเเละหมายปอง สตรีเช่นนางหากเเต่งเข้าจวนอ๋องหรือวังไท่จื่อ เกรงว่าจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ เเต่นางหยาเหยา… รักบุรุษผู้นี้มาตั้งเเต่เเรกพบสบตา ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ สุดท้ายให้บิดาผู้เป็นเอกอัครเสนาบดี ทูลต่อฮองเต้ ให้เเต่งนางเข้าจวนเเม่ทัพ หลู่เมิ้งในวัยยี่สิบเจ็ดปี.. มีรูปกายเป็นทรัพย์อันลำค่า บุรุษในวัยหนุ่มร่างกายกำยำ มากด้วยสติปัญญา ซ้ำยังมิเคยยุ่งเกี่ยวสตรี รอยยิ้มอันงดงามตราตรึงใจนางไว้ได้ “สมใจเจ้าเเล้วสินะ?? ” “ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” หร่งเหยาเอ่ยขึ้น ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเพิ่งเปิดประตูเข้ามาเเท้ๆ กลับเอ่ยวาจาประหลาดนัก “ก็ที่เเต่งเข้าจวนข้าได้ คงสมใจเจ้าเเล้ว?? ” “เรื่องนั้น….” หยาเหยายิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ยัง.. ยังไม่ได้….” “ราชโองการเพียงให้ข้าเเต่งเจ้าเข้าจวน.. มิได้บอกให้รักเจ้า ให้ดีต่อเจ้า หรือห้ามให้ข้าออกจากห้องหอไปเสพสุขกับสตรีนางอื่น” ‘ปั่ง!! ‘ เสียงประตูปิดดังลั่นจนร่างบางต้องสะท้านด้วยความตกใจ.. บุรุษผู้นี้ใช่บุรุษที่นางเฝ้ารัก ที่นางถนอมกายใจ ไว้มอบให้เขาจริงหรือ ใช่บุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามที่นางพบวันนั้นใช่หรือไม่?? เหตุใดเขาจึงใจร้ายต่อนางนักหยาเหยา ผู้ไม่เคยถูกกระทำรุนเเรงต่อจิตใจเช่นนี้ถึงกับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่… …………… โรงเตี้ยมฟูหลัว “ท่านเเม่ทัพวันนี้เป็นคืนเข้าหอเเท้ๆ เหตุใดท่านจึงออกมาดื่มเหล้ากับพวกข้าเช่นนี้เล่า ฮูหยินมิเคืองท่านเเย่หรือ” “จะพูดถึงนางทำไมกัน” “อ่าว.. นางเป็นภรรยาท่าน?? ” “หึ… นางเพียงเเต่งเพื่อเสริมอำนาจให้บิดานางเพียงเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย” “ท่านเเม่ทัพ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” “ให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า หน้าก็มิเคยพบ.. จะให้รักหรืออย่างไร?? ” สามวันต่อมา หลู่เมิ่งออกจากจวนไปสามวันพึ่งกลับ… กลับมาเขาคิดว่าหยาเหยามิพ้นต้องโกรธเป็นฟืนไฟ หากเเต่ตรงกันข้าม.. พอถึงจวนนางกลับยกอาหารยกน้ำชามาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ใบหน้าของหญิงสามวัยเเรกเเย้ม….. งดงาม งดงามสมคำร่ำลือ กริยาอ่อนหวานอ่อนโยนน่าถนอมยิ่ง สายตาที่นางมองเขาราวกับกระต่ายน้อยเเสนเชื่อง “ท่านพี่ ท่านกลับมาเเล้ว ข้าทำอาหารไว้รอท่าน” “ไม่ต้องลำบากหรอก บ่าวไพร่ในจวนก็ออกมาก” “ไม่ลำบากเจ้าคะ เพื่อท่านพี่ น้องเต็มใจ” “ดี!! เช่นนั้น.. นับจากวันนี้ไปงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้า อาหารการกิน น้ำที่ข้าอาบ ให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” “เอ้?? ” “ทำไม.. ทำไม่ได้หรือ” “ได้.. ได้เจ้าคะ” หลังจากวันนั้นเสื้อผ้าทุกตัวของหลู่เมิ่งก็ต้องให้หยาเหยาเป็นคนจัดการซักเองกับมือ อาหารทุกอย่างก็เป็นหยาเหยาที่เป็นคนจัดเเจง น้ำที่เขาใช้อาบก็เป็นนางตระเตรียมให้ทุกเย็น.. นางคอยเติมน้ำปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะเพื่อให้ หลู่เมิ้ง สุดที่รัก ดวงใจของนางพอใจ.. ลำบากเพียงใดนางมิเคยปนิปากบ่น สามเดือนผ่านไป หยาเหยาทำหน้าที่ทุกอย่างมิขาดตกบกพร่อง.. อีกฝ่ายกับคิดไปอีกทาง คิดว่านางทนทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่ออำนาจของตระกูลนางจะได้มั่นคงเพียงเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset