โม่ถิง ประธานกรรมการบริหารของไห่รุ่ยเอ็นเตอร์เทนเมนต์ร่วมเข้าชิงรางวัลเฟยเทียนสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม!
เมื่อมีข่าวออกมาเช่นนี้ ทั้งวงการต่างก็ตกตะลึง ทุกคนรู้ว่าโม่ถิงแค่แสดงเพราะต้องการสนับสนุนภรรยาของเขา เขาไม่มีทางคิดไปมากกว่านี้ แล้วทำไมอยู่ๆ เขาถึงสนใจรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมล่ะ
นายใหญ่ก็เป็นนายใหญ่อยู่วันยังค่ำ ดูเหมือนว่าจะมีแต่เขาที่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่
แน่นอนว่านักแสดงชายเดิมทั้งห้าคนที่เข้าชิงรางวัลนี้ต่างก็มีข้อถกเถียงกันเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีโม่ถิงเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเขายังคิดว่าตัวเองจะมีหวังอีกหรือ
ไม่มีใครรู้ว่าโม่ถิงมีทักษะการแสดงขนาดนี้ เธอไม่เคยเรียนการแสดงหรือมีประสบการณ์ในด้านนี้มากนัก แล้วเขาถ่ายทอดบทบาทของเขาออกมาได้ดีขนาดนี้ได้ยังไงกัน
แม้แต่ถังหนิงยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “นายใหญ่แห่งวงการบันเทิงผู้เก่งกาจกำลังเข้าร่วมชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ฉันเองยังไม่เข้าใจว่าคุณทำอย่างนี้ทำไมเลยค่ะ นับประสาอะไรกับคนภายนอก”
“คุณยังชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมตั้งสองสมัย ผมจะชนะรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสักครั้งบ้างไม่ได้เหรอครับ”
“คุณคือถิงที่ต่างออกไปนี่คะ คุณเกิดมาพร้อมเกียรติยศนะ” ถังหนิงตอบ
โม่ถิงยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายอะไร ทุกอย่างที่เขากำลังทำเพื่อทำให้ภรรยาของเขาประทับใจเท่านั้นเอง
ในขณะที่รางวัลเฟยเทียนเริ่มขั้นตอนพิจารณา ก็ได้รับข่าวดีจากเป่ยเฉินตงกับซินเอ๋อร์ พวกเขากำลังจะแต่งงานกัน!
แม้ว่าถังหนิงจะไม่ค่อยได้ข่าวคราวจากซินเอ๋อร์เพราะเธอคบหาอยู่กับเป่ยเฉินตงคนประหลาด เธอก็ยังยินดีที่ได้รู้ว่าในที่สุดพวกเขาจะแต่งงานกัน
พิธีถูกจัดขึ้นบนเกาะส่วนตัวในแบบฉบับของเป่ยเฉินตง เขาเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้วจึงไม่มีสิ่งใดที่เขาทำที่น่าแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม หลังจากพวกเขาส่งคำเชิญออกไป หันซินเอ๋อร์ก็ยังคงโทรมาหาถังหนิง “พี่หนิงคะ ถึงฉันจะอยากเจอพี่ที่งานแต่ง แต่ก็ต้องบอกให้พี่รู้ไว้ก่อนว่าหันอวี้ฝานก็จะมาเข้าร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกันค่ะ เขาเปลี่ยนไปแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังกังวลว่าจะเข้าหน้ากันไม่ติดถ้าต้องเจอกันน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หันซินเอ๋อร์เป็นห่วง ถังหนิงหันไปมองหน้าโม่ถิงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้เธอกับหันอวี้ฝานอยู่กันคนละโลก มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
เธอจึงตอบกลับไปนิ่งๆ “ฉันจะไม่ไปงานสำคัญของเธอสายแล้วกันนะ”
“โอเคค่ะ รับปากแล้วนะคะ แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ”
ห่างออกไปไม่ไกล ประธานโม่ที่ดูเหมือนกำลังอ่านเอกสารอยู่ แต่ในความเป็นจริงคำว่า หันอวี้ฝาน ได้ลอยเข้าหูของเขาแล้ว
“คุณตกลงโดยไม่ถามความเห็นผมเลยเหรอครับ”
เมื่อได้ยินคำถามของโม่ถิง ถังหนิงก็มองเขาอย่างงุนงง “แค่ความบังเอิญที่จะเจอกับคนแปลกหน้าเท่านั้นเองค่ะ ฉันไม่คิดว่าจำเป็นต้องถามคุณเรื่องนี้ด้วยนี่คะ”
สำหรับถังหนิงแล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็แล้วไป ตอนนี้เธอเป็นคุณแม่ลูกสามแล้ว
“อีกอย่างประธานโม่ก็เป็นคนที่มีเหตุผลขนาดนี้ คงไม่มาคิดมากกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้หรอกค่ะ เขาทั้งสูงส่งและเก่งกาจ ไม่มีใครเทียบรัศมีเขาได้หรอกค่ะ”
“คำเยินยอของคุณมันยิ่งทำให้คุณน่าสงสัยมากขึ้นนะครับ” โม่ถิงหันกลับไปมองเอกสารตรงหน้า
ถังหนิงหัวเราะคิกคัก เห็นชัดๆ ว่าเธอเย้าแหย่ผู้ชายคนนี้อยู่
แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันมานานแล้ว ประธานโม่ก็ยังหึงหวงไม่เปลี่ยน แต่แค่พูดถึงหันอวี้ฝานก็ทำให้เขาโมโหขึ้นมาแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเจอกันจริงๆ ล่ะ…
ถังหนิงจึงคิดว่าการหลีกเลี่ยงหันอวี้ฝานคงเป็นการดีที่สุดที่เธอทำได้
…
ความจริงแล้วมันเป็นการฝ่าฟันที่ยากลำบากสำหรับเป่ยเฉินตงกับหันซินเอ๋อร์กว่าจะได้แต่งงานกันในท้ายที่สุด กระนั้นก็ตามด้วยพื้นเพครอบครัวของหันซินเอ๋อร์ การดองกับตระกูลของเป่ยเฉินตงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เป่ยเฉินตงเป็นคนเจ้าเล่ห์มาตลอด เมื่อรู้ว่าแม่ตัวเองขัดขวาง พวกเขาก็งัดทักษะการแสดงระดับรางวัลมาใช้เล่นละคร แสร้งว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หลายเดือน ค่อยๆ เคลื่อนไหวทีละน้อยและขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ทำเอาคนเป็นแม่หัวใจจะวายอยู่หลายครั้ง
ลูกชายเธอป่วยและเขาต้องการแค่ได้ลงเอยกับผู้หญิงที่รัก หากเธอไม่ยอมทำตามคำขอของเขา เธอคงไม่สมควรเป็นแม่แล้ว เธอจึงยอมให้พวกเขาแต่งงานกันในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เรื่องราวเบื้องหลังนี้เพราะตระกูลเป่ยไม่เคยแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป พวกเขาสนใจเพียงแค่ไม่ให้เป็นการกระตุ้นเป่ยเฉินตงเท่านั้น เพราะการทำพลาดไปครั้งเดียวก็อาจทำให้เขาเสียชีวิตได้
สื่อมวลชนต่างพากันสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเต็มที อย่างไรครั้งหนึ่งเป่ยเฉินตงก็เคยยอมสละหน้าที่การงานเพื่อหันซินเอ๋อร์ ความจริงแล้วเขาหายหน้าหายตาไปตั้งแต่ที่เริ่มมีคนรัก อย่างไรก็ตามตลอดสองปีมานี้ นอกจากการถ่ายทำภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ บางทีเขาอาจเป็นศิลปินที่แปลกที่สุดในวงการก็เป็นได้
ต่อให้งานแต่งงานจะจัดขึ้นในแบบเป่ยเฉินตง แต่มันก็ถูกป่าวประกาศให้สาธารณชนได้รับรู้ว่าจัดขึ้นที่เกาะส่วนตัวที่ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนเข้าไปหากเป่ยเฉินตงไม่ยินยอม สื่อจึงไม่มีทางเข้าไปงานได้
…
ไม่นานหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านพ้นไป พร้อมกับวันงานแต่งงานของเป่ยเฉินตงกับหันซินเอ๋อร์ที่มาถึง ถังหนิงกับโม่ถิงในชุดเป็นทางการรวมถึงเหยียนเอ๋อร์มาถึงในงาน
ถังหนิงอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองที่คลุมด้วยเสื้อสีขาวอีกชั้น เมื่อผู้คนมองมาที่เธอ เธอมีกลิ่นอายของคุณหนูจากตระกูลผู้ดีที่น่านับหน้าถือตามากกว่าดาราดังระดับนานาชาติ
ในขณะที่เหยียนเอ๋อร์นอนอยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิง
ชายผู้ทรงอำนาจที่กำลังอุ้มเด็กน้อยแสนน่ารักในอ้อมแขน บางทีนี่อาจเป็นภาพที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
หลังจากมาถึงเกาะ ถังหนิงก็เห็นซินเอ๋อร์ในชุดเจ้าสาวทันที ดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ได้เจอกันนาน ระหว่างช่วงเวลานี้ซินเอ๋อร์ดูภูมิฐานและมีเสน่ห์ขึ้นมาก รอยยิ้มเปี่ยมสุขที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอยิ่งทำให้เธอดูสดใสและน่ามองเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามเป่ยเฉินตงที่ยืนข้างเธอดูไม่สบอารมณ์นัก อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นผู้ชายคนอื่นมองภรรยาตัวเอง
“พี่หนิง…” หันซินเอ๋อร์เห็นถังหนิงมาแต่ไกล รวมถึงเหยียนเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิงด้วย จึงวิ่งมาหาพวกเขาทันที “นี่เหยียนเอ๋อร์เหรอคะ”
“อือหึ”
“น่ารักจังเลยค่ะ! น่ารักสุดๆ ไปเลย!” เธอเอ่ยขณะที่เริ่มเล่นกับเด็ก ตอนนั้นเองที่เป่ยเฉินตงโน้มเข้ามาหาโม่ถิงก่อนว่าขึ้น “นายจงใจทำอย่างนี้ใช่ไหม”
“หือ”
“นายรู้ว่าฉันกำลังจะแต่งงาน เลยพยายามเร่งรัดให้ฉันมีลูกใช่ไหม” เป่ยเฉินตงกัดฟันถาม
“ฉันเป็นคุณพ่อลูกสามแล้วนะ นายคิดว่ายังไงล่ะ” โม่ถิงถามกลับ “มีลูกเร็วๆ ซะคุณน้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนายไง”
“นายไม่ได้แค่พาลูกมาแต่นายยังอวดอีกด้วย!”
แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องสองคนนี้จะมีความสามารถเป็นของตัวเอง โม่ถิงก็ยังเก่งรอบด้านกว่า สิ่งเดียวที่เป่ยเฉินตงชนะก็คือการเป็นคนประหลาด!
ในขณะที่เพื่อนเก่าพูดคุยและหัวเราะกัน ในที่สุดถังหนิงก็เห็นหันอวี้ฝานที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหันซินเอ๋อร์นัก…