คนแรกที่โทรหาคือแม่ของเขา น้ำเสียงของหญิงสูงวัยฟังดูผิดหวังไม่น้อยขณะเอ่ย “เหล่ยเอ๋อร์ ข่าวออนไลน์นั่นเป็นเรื่องจริงเหรอ”
“แม่ครับ เกิดอะไรขึ้น”
“มาดูด้วยตาตัวเองสิ”
เขากับเหลียงหย่งอวี๋ร่วมกันตกเป็นพาดหัวข่าวบันเทิง
‘เหลียงหย่งอวี๋สมคบคิดกับชู้รักหลอกเอาเงินหนึ่งพันล้านหยวนจากตระกูลตี๋โดนกรรมตามทันจนพังพินาศ!’
‘คุณหมอแสนสวยผู้มีไหวพริบเปิดโปงเรื่องชั่วช้า หรือเธอจะเป็นลูกศิษย์ของถังหนิงกัน’
ฉีเหล่ยอ่านข่าวออนไลน์อย่างละเอียดก่อนมีอาการสติแตก!
ไม่นานเขาก็ได้รับสายจากที่ทำงานของเขาว่าตัวเองถูกไล่ออก ในขณะเดียวกันทั้งเพื่อนๆ และคนในครอบครัวต่างโทรมาต่อว่าเขาว่าเป็นคนสารเลว!
เพราะไม่เพียงแต่คุณหมอสาวจะเปิดเผยว่าเขาร่วมหัวกับเหลียงหย่งอวี๋เพื่อหลอกลวงตระกูลตี๋ แต่ยังแฉว่าเขาคบกับผู้หญิงสามคนในคราวเดียวกันและหลอกให้รักและเอาเงินไปโดยใช้หน้าที่การงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา
แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนรู้ถึงความชั่วร้ายของฉีเหล่ยกับเหลียงหย่งอวี๋แล้ว พวกเขาเริ่มรู้สึกสงสารตระกูลตี๋ และยังชื่นชมคุณหมอสาวที่มีความรับผิดชอบพอที่จะบริจาคเงินสกปรกหนึ่งพันล้านหยวนนั้นให้กับโรงพยาบาลเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง
ตอนนี้เรื่องมาจนถึงจุดนี้แล้วยังจะมีโอกาสให้พลิกเกมอีกหรือ
ไม่มีทาง…ช่างโชคร้ายฉีเหล่ยคงต้องอยู่อย่างอับอายและใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้ใครจำเขาได้ไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉีเหล่ยก็เริ่มหัวเราะเยาะตัวเองออกมา ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองฉลาดเสียเต็มประดา แต่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นในมือใครสักคน… อย่างไรเสียใครจะจัดการกับคนอื่นได้รุนแรงไปมากกว่านี้กันล่ะ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงโม่ถิงกับถังหนิงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ของขวัญตอบแทนเช่นนี้นั้นสาสมกับเหลียงหย่งอวี๋แล้ว!
…
“จนถึงป่านนี้เหลียงหย่งอวี๋อดอยากมาสี่วันโดยที่ไม่มีเงินติดตัวสักนิด เธอกำลังพยายามใช้บ้านของเธอเป็นหลักค้ำประกันเพื่อกู้เงินอยู่ แต่ว่าทางธนาคารไม่อนุมัติครับ เธอเลยใช้ชีวิตอย่างทุลักทุเลมาก
“เห็นได้ชัดว่าช่วงหลายวันมานี้เธอไปเดินเตร็ดเตร่แถวๆ บ้านตระกูลตี๋ ผมเกรงว่าเธอจะทนไม่ไหว เป็นอย่างนี้ต่อไปเธอจะต้องไปอ้อนวอนพวกเขาแน่นอนครับ”
หลังได้ได้ยินลู่เช่อว่าเช่นนั้น โม่ถิงกับถังหนิงสบตามองกัน
ถังหนิงตอบกลับหลังผ่านไปชั่วขณะ “ถ้าอย่างนั้นก็เตือนตี๋หลินเทียนเรื่องที่เขาสัญญาไว้กับฉันแล้วกัน”
“ไม่ต้องห่วงครับ นายหญิง!”
เหลียงหย่งอวี๋ไม่รู้ว่าตี๋หลินเทียนจะมีคนรักใหม่เร็วขนาดนี้ เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลตี๋คงจะช่วยเธอหากเธอกลับไปขอร้องพวกเขา เธอจึงรอเวลาก่อนรีบตรงเข้าไปขวางไมบัคของตี๋หลินเทียนเอาไว้…
รถหยุดพร้อมเสียงล้อที่เสียดสีกับพื้นถนนดังลั่น ตี๋หลินเทียนมองออกไปอย่างงุนงงและเดินออกมาหลังจากเห็นว่าเป็นเหลียงหย่งอวี๋
“เธอเองเหรอ…”
เหลียงหย่งอวี๋คุกเข่าต่อหน้าเขาและปล่อยโฮออกมา “หลินเทียนฉันรู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะ ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้วและฉันก็ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วด้วย
“คุณเห็นแก่เรื่องในอดีตของเราและช่วยฉันได้ไหม”
“ไหนๆ เราก็พูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว ฉันอยากจะบอกให้เธอรู้เอาไว้สองเรื่อง อย่างแรก จริงอยู่ที่ตระกูลตี๋รักเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่เราก็ไม่ได้ทำร้ายลูกสาวคนโตของเธอจนตาย ตระกูลตี๋อาจจะน่ารังเกียจแต่เราไม่มีทางฆ่าลูกหลานของเราเด็ดขาด
“สอง ฉันรู้ว่าตัวเองสมควรถูกลงโทษกับสิ่งที่ทำกับเธอไว้เมื่อก่อน ฉะนั้นหลังจากที่เธอทำร้ายฉันไปแล้วตอนนี้ฉันว่าเราก็เสมอกันแล้ว
“สาม เห็นแก่เรื่องในอดีตของเรา ฉันว่าเธออยู่ให้ห่างตระกูลตี๋จะดีกว่านะ”
“ไม่นะ หลินเทียน ฉันมีลูกชายอีกคนให้คุณได้นะ ฉันทำได้แน่ๆ …”
“มันไม่จำเป็นหรอก มีศักดิ์ศรีในตัวเองบ้างสิ” ตี๋หลินเทียนเอ่ยก่อนหันไปมองหญิงสาวในรถของเขา
เมื่อเจียงรั่วหลินเห็นเช่นนั้น เธอก้าวลงมาจากรถและเข้าไปหาเหลียงหย่งอวี๋ “ถึงคุณจะดูน่าสงสารมาก ฉันก็ดีใจที่ได้เห็นคุณแสดงตัวตนที่อ่อนแอออกมาแบบนี้นะคะ
“เมื่อก่อนหลินเทียนอาจจะทำผิดต่อคุณและทำเหมือนคุณเป็นของเล่น แต่เขาก็ได้ชดใช้เรื่องนี้แล้วค่ะ ดังนั้นอย่าพูดถึงเรื่องในอดีตอีกเลยนะคะ
“คุณเหลียงเลิกร้องไห้ต่อหน้าเราสักที คุณเองก็มีแขนมีขา คุณทำมาหาเลี้ยงตัวเองได้ดังนั้นเลิกทำตัวน่าสงสารเถอะนะคะ
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรคอยหนุนหลังคุณทุกอย่างหรอกนะคะ!
“ฉันหวังว่าวันนี้ฉันจะพูดให้คุณเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว อย่าเจอกันอีกเลยค่ะ!” พูดจบเจียงรั่วหลินก็เดินมาหาตี๋หลินเทียนและคล้องแขนเขา “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
“ตี๋หลินเทียน คุณไม่กลัวว่าฉันจะเปิดเผยทุกอย่างที่คุณเคยทำไว้เหรอ”
“เชิญตามสบาย!” เขาหันเดินจากไปพร้อมเจียงรั่วหลินโดยไม่หันกลับมามอง
ไม่ว่าเหลียงหย่งอวี๋จะร้องไห้ขนาดไหนเขาก็ไม่สนใจ
“ทำไมคุณถึงไปท้าทายเธอล่ะคะ” เจียงรั่วหลินถาม “คุณไม่กลัวว่าเธอจะแฉคุณจริงๆ เหรอ”
“ผมแค่อยากซื่อสัตย์และเปิดเผยน่ะครับ!” เขาตอบ
ทว่าตอนนี้ต่อให้เหลียงหย่งอวี๋จะบีบน้ำตาต่อหน้าสื่อและพยายามเปิดโปงบางอย่างเพียงไหนก็ไม่มีใครเชื่อเธออีกแล้ว…
มันคือชะตากรรมของเหลียงหย่งอวี๋!
….
หลังจากได้ชมการแสดง หลงเจี่ยที่ท้องอยู่ออกอาการพึงพอใจ เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก
“คุณจัดการกับนังชั่วนั่นอย่างนี่เองสินะ! เธอทั้งโลภแล้วก็ร้ายกาจ เพราะมีคนอย่างเธอโลกนี้เลยมัวหมองไปหมด”
“ในวงการบันเทิงเหลียงหย่งอวี๋ก็เป็นแค่น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้นแหละ ทุกคนในวงการต่างก็แสวงหาชื่อเสียงและโชคกันทั้งนั้น ใครจะไม่มีเบื้องหลังต้องหลบซ่อนบ้างล่ะ” ถังหนิงว่าขึ้นขณะอ่านข่าว
“อย่าพูดให้ดูน่ากลัวอย่างนั้นสิคะ ถ้ามีคนอย่างเหลียงหย่งอวี๋อยู่ก็มีต้องคนแบบคุณอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ…” หลงเจี่ยขยิบตาให้ “อีกอย่างฉันก็อยู่ที่นี่มานานแล้วแต่คุณดูใจลอยไปที่อื่นนะคะ ดูอะไรอยู่เหรอคะ”
“กำลังอ่านประวัติของใครบางคนน่ะ…”
“ศิลปินที่คุณอยากจะช่วยเหรอคะ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว แต่เป็นคนโดดเดี่ยวคนหนึ่งที่ฉันอยากขอให้ช่วยน่ะ” ถังหนิงถอนหายใจ
หลังจากเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย ถังหนิงปรึกษาเรื่องนี้กับโม่ถิง เธออยากจะพูดคุยกับผู้กำกับและดูว่าเขาจะมาเป็นเฉียวเซินคนต่อไปได้หรือไม่
เธอถึงได้หาข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้กำกับคนนี้ เขาเป็นคนที่มีฝีมือชั้นเยี่ยม ความจริงแล้วมันเป็นความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ หากแต่มีคนไม่มากที่เข้าใจเขา พวกเขาแค่รู้สึกว่าความคิดของเขาแปลกอย่างที่เฉียวเซินเคยเจอ ถังหนิงจึงได้สนใจในตัวเขา
อย่างไรก็ตามเธอไม่มั่นใจว่าผู้กำกับคนใหม่นี้จะสนใจในด้านไซไฟอย่างเฉียวเซินหรือไม่ เธอได้แต่พยายามให้ถึงที่สุดเท่านั้น
ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่สิ่งที่ยังขาดหายไปคือผู้กำกับที่มีความคิดตรงกันกับเธอ…
นี่เป็นแนวทางที่เธอกำลังมุ่งหน้าไป
“ความคิดของคุณก็แปลกนิดๆ อยู่แล้วนี่คะ แต่เพราะว่าเป็นอย่างนั้นคุณถึงได้มาถึงจุดนี้ได้” หลงเจี่ยถอนหายใจ “บอกฉันมาสิคะว่าคุณวางแผนจะทำเรื่องชวนอึ้งอะไรอีก”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทุกคนอึ้งแต่อยากจะสนับสนุนคนที่มีความสามารถที่แท้จริงต่างหาก!” ถังหนิงตอบ “ในเมื่อตอนนี้เธอท้องอยู่ ฉันจะให้หลินเฉี่ยนดูแลจู้ซิงมีเดียไปก่อน พอคลอดเมื่อไหร่เธอค่อยกลับไปช่วยแล้วกัน”
“โอเคค่ะ” การพูดถึงจู้ซิงมีเดียทำให้หลงเจี่ยรู้สึกสับสนในใจไม่น้อย
“เธอท้องโย้ขนาดนี้น่าจะช่วยอะไรฉันมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ กลับบ้านไปพักผ่อนให้มากเท่าที่จะทำได้เถอะ”
ต่อไปนี้ถังหนิงจะวางแผนจัดการเรื่องผู้กำกับ