มื้อกลางวันดูจะผ่านไปได้ด้วยดี ในเวลาเดียวกันการมาพบหมอของโม่จื่อเฉินก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากที่เห็นว่าลูกชายไม่เป็นอะไร ถังหนิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเบาใจได้ในท้ายที่สุด
ทว่าในระหว่างทางกลับบ้าน อยู่ๆ รถของซย่าอวี้หลิงก็ถูกรถยนต์สีดำสองคันตัดหน้า ตอนนั้นโม่จื่อเฉินนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ
ซย่าอวี้หลิงจอดรถเข้าข้างทางทันทีอย่างกลัวเกินกว่าจะขยับไปไหน นักเลงสี่คนพุ่งตัวออกมาจากรถสีดำพร้อมกับแท่งเหล็กในมือ พวกเขาตรงเข้ามาและเริ่มทุบรถของเธอก่อนที่ซย่าอวี้หลิงจะได้เอ่ยอะไรออกมา
ถังหนิงตามซย่าอวี้หลิงมาทันพร้อมบอดีการ์ดของเธอ และเริ่มตามไล่ล่ากลุ่มนักเลง แต่พวกเขากลับเดินกลับไปที่รถอย่างใจเย็นก่อนจะขับออกไป
ถังหนิงเปิดประตูรถและช่วยแม่ของเธอออกมา จากนั้นจึงอุ้มโม่จื่อเฉินไว้ในอ้อมแขน
“แม่เป็นอะไรไหมคะ”
“แม่ไม่เป็นไร” ซย่าอวี้หลิงเอ่ยพลางกุมอก “แค่ไม่แน่ใจว่าจื่อเฉินจะกลัวหรือเปล่า ไม่อยากจะเชื่อว่าตระกูลหนานกงจะใช้วิธีสกปรกอย่างนี้ พวกเขาอยู่ในสังคมแบบไหนกันเนี่ย ใช้วิธีรุนแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
“ไว้คุยกันที่บ้านเถอะค่ะ!” ถังหนิงหันกลับไปพร้อมจื่อเฉินในอ้อมแขน จากนั้นจึงพาแม่ตัวเองไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย
“แม่กลัวแทบตายแน่ะ!”
“หนูขอโทษนะคะแม่” ถังหนิงกล่าวขอโทษขณะที่อุ้มลูกชายเอาไว้
“มันไม่ใช่ความผิดของลูกสักหน่อยนะ” อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็น่ากลัวที่จะนึกถึง
ไม่นานหลังจากนั้น ถังหนิงโทรบอกโม่ถิงว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ หากแต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เบาใจอย่างแต่ก่อน
“ผมเพิ่งได้รับสายจากภรรยา ว่าลูกชายของผมถูกโจมตีระหว่างทางกลับมาจากโรงพยาบาล”
“จริงเหรอครับ อย่างนั้นคุณก็ควรรีบกลับบ้านไปดูเขานะครับ” หนานกงเฉวียนเร่ง
โม่ถิงฮึดฮัดในลำคอก่อนลุกขึ้นจากที่นั่ง “ต่อไปนี้ถ้าคุณอยากจะลอบกัดหรือตามไล่ล่าใครก็ให้มาลงที่ผม เด็กๆ ไม่ควรต้องมาหวาดกลัว ถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาจริง ตระกูลหนานกงจะต้องไม่มีหน้าอยู่บนโลกอีก
“ผมจะยอมรับคุณในฐานะศัตรูถ้าคุณท้าทายผมอย่างเปิดเผย!”
หนานกงเฉวียนนิ่งเงียบขณะที่มองโม่ถิงเดินจากไป ทันทีที่อีกฝ่ายลับตา หนานกงเฉวียนต่อสายหาบริษัท “ใครบอกให้แก้แค้นตระกูลโม่ครับ”
“คุณชาย…”
“ลุงชิว เราอยู่ในสังคมที่มีขื่อมีแปนะ ไม่ใช่ยุคเถื่อนอย่างเมื่อก่อน ทำไมถึงลงมือด้วยวิธีตื้นๆ ขนาดนี้ละ” หนานกงเฉวียนออกอาการไม่พอใจ “ไว้เราคุยกันเรื่องนี้ตอนที่ผมกลับไปแล้วกัน!”
เมื่อก่อนหนานกงเฉวียนอาจจะดูชั่วร้ายเต็มที ทว่าตอนนี้เรามีลูกสาวและเข้าใจถึงความอ่อนโยน ซ้ำยังรู้ดีกว่าวิธีการข่มขู่เช่นนี้เป็นหนทางหายนะที่จะพาให้ตกต่ำ ต่อให้พวกเขาชนะด้วยวิธีอย่างนี้มันจะทำให้เขาภาคภูมิใจได้หรือ
ดังนั้นหลังจากกลับมาที่บริษัท เขาเข้าไปหาชิวจิ่นทันที
“ทำไมลุงไม่ฟังคำของผมบ้างเลย”
“คุณชายครับ เรารอการกลับมาของคุณมานานเพื่อที่จะได้แก้แค้นตระกูลโม่นะครับ คุณลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมาไปแล้วเหรอ”
“ไม่ ผมไม่ได้ลืม แต่การข่มขู่ลูกของโม่ถิงจะไปมีประโยชน์อะไรละ ลุงชิว ถ้าลุงเอาชนะคนอื่นตามกฎไม่ได้อย่างนั้นก็ไม่ได้ชนะอย่างแท้จริงหรอก!” หนานกงเฉวียนขึ้นเสียง “อีกอย่าง ลุงเป็นใครกันละ อย่าบอกผมนะว่าอยากจะเป็นแค่นักเลงข้างถนนน่ะ”
“คุณชาย….”
“ถ้าลุงอยากจะเอาชนะตระกูลโม่ ก็มาช่วยผมสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าไห่รุ่ย ช่วยผมสร้างหนังที่ดีกว่ามดราชินี เลิกใช้ลูกไม้ตื้นๆ และสกปรก มันไม่ได้ผลกับโม่ถิงหรอก
“มีแต่การทำตามที่ผมบอกเท่านั้นที่จะทำให้เราเหยียบย่ำพวกเขาให้มิดได้อย่างแท้จริง!”
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงที่ดังของหนานกงเฉวียน เสี่ยวต้านเขอที่กำลังนอนอยู่ด้านนอกตื่นและผลักประตูเข้ามา “พ่อขา ทำไมถึงโกรธขนาดนี้ละคะ”
หนานกงเฉวียนเหลือบมองชิวจิ่น ก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกสาวและอุ้มเธอเข้ามาในอ้อมแขน
“ขอโทษนะครับ คนดี ต่อไปนี้พ่อจะพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้นะ”
หากพวกเขาไม่ได้แข่งขันกันในขอบเขต อย่างนั้นมันคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรม แล้วความสะใจและชัยชนะแบบไหนที่พวกเขาจะได้จากพวกมันกันละ
“บางทีผมอาจจะแก่แล้วเลยไม่เข้าใจว่าคนหนุ่มสาวเขาคิดยังไงกัน ผมรอมาหลายปีเพียงเพื่อให้คุณกลับมาและเป็นผู้นำการแก้แค้นของเราทุกคน แต่ผมรู้สึกว่าใจของคุณกลับลอยไปที่อื่น
“คุณอาจจะลืมเรื่องบาดหมางนี้ได้ แต่ผมทำไม่ได้ครับ”
ว่าจบชิวจิ่นก็เดินออกไปจากห้องทำงาน ทิ้งหนานกงเฉวียนกับลูกสาวไว้เบื้องหลัง
แน่นอนว่าหนานกงเฉวียนไม่ยอมรับวิธีของชิวจิ่น แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวเตือนศัตรูของตัวเองเช่นกัน ทำเพียงจับตามองชิวจิ่นเอาไว้ อย่างไรเสียเจ้าตัวก็คอยช่วยเหลือตระกูลหนานกงมามาก นี่เป็นสิ่งที่หนานกงเฉวียนไม่มีทางลืม…
…
ในขณะเดียวกันโม่ถิงรีบกลับมาที่บ้านตระกูลถังเพื่อดูภรรยาและลูก สีหน้าเคร่งเครียดคลายลงเพียงแค่เห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี
ถังหนิงโผเข้าในอ้อมแขนของเขา โม่ถิงลูบหลังภรรยาอย่างปลอบโยน “ผมดีใจที่คุณไม่เป็นอะไร”
“แม่กลัวไม่น้อยเลยค่ะ!”
“ไปกันเถอะครับ ไว้เราคุยเรื่องนี้กันที่บ้าน” โม่ถิงเอ่ยขณะพาถังหนิงกลับไฮแอทรีเจนซี ดูจากท่าทีของหนานกงเฉวียน โม่ถิงสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จริงๆ แต่เขาก็ยังไม่เลิกเฝ้าระวัง
“หนานกงเฉวียนอาจจะดูเจ้าเล่ห์แต่เขาก็ยังเป็นสุภาพบุรุษ!”
“คุณกำลังอวยศัตรูของคุณอยู่เหรอคะ” ถังหนิงหัวเราะ “ถ้าเขาจะทำธุรกิจแข่งกับคุณจริงๆ มันคงเป็นการแข่งขันที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเลยละค่ะ แต่ถ้าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ งั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
“ผมจะบอกให้ลู่เช่อตามสืบเรื่องหนานกงเฉวียนมากกว่านี้!” โม่ถิงตอบ ก่อนเอ่ยถาม “ลูกชายเราสบายดีไหมครับ”
“เขาไม่เป็นไรค่ะ ลูกก็เอาแต่ทำเฉยอยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอกค่ะ ถ้าเป็นจื่อซีคงจะร้องไห้จ้าไปแล้วละ!”
“ดีแล้วที่เขาไม่เป็นไรครับ”
…
ในขณะเดียวกันหลังจากถูกหนานกงเฉวียนต่อว่า ชิวจิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งดื่มดับอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่เงียบๆ ในห้องทำงาน เขาต้องทนมาตลอดหลายปีนี้เพียงเพื่อได้แก้แค้นตระกูลโม่ และทวงความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของเขาไม่ใช่หรือ ทำไมหนานกงเฉวียนถึงไม่คิดแบบเดียวกันละ เขายังเป็นผู้สืบทอดตระกูลหนานกงอยู่หรือเปล่า
“หัวหน้าชิวครับ ถ้าคุณชายไม่ยอมลงมือ เราก็แอบทำกันเงียบๆ ก็ได้นี่ครับ ยังไงเราก็พึ่งพาเขาไม่ได้อยู่แล้ว งั้นถ้าไม่อยู่เฉยๆ ก็ลุยให้สุดไปเลยเถอะครับ!”
“แกพูดเหมือนง่ายอย่างนั้นแหละ!” ชิวจิ่นสบถ “แกคิดว่าจะจัดการกับตระกูลโม่ได้ง่ายๆ หรือยังไง ถึงวันนี้เราจะโจมตีรถของพวกเขาได้ แต่ไม่ได้ยินเหรอว่าถังหนิงมาพร้อมกับบอดีการ์ดน่ะ”
“ตระกูลโม่ก็เหลี่ยมจัดมาตลอดนั่นแหละครับ” ลูกน้องของชิวจิ่นเอ่ย
“เราต้องวางแผนให้ดี จะเล่นงานต่อหน้าไม่ได้อีกแล้ว ต้องดูว่าหาโอกาสในวงการได้หรือเปล่า ยังไงถังหนิง ภรรยาของโม่ถิงก็ยังทำงานในวงการบันเทิง ฉันมั่นใจว่าต้องมีวันที่เธอพลาดแน่!”
“ถูกของหัวหน้าชิวนะครับ! เราแค่ต้องเก็บเป็นความลับกับคุณชาย… ตอนนี้พอผมมาคิดแล้ว หัวหน้าสร้างชุนชิวขึ้นมาแล้วหัวหน้าก็เป็นคนที่ยกให้คุณชาย จุดประสงค์ของเราก็คือการแก้แค้น แต่ดูตอนนี้สิครับ เขากลับลุกขึ้นมาทำธุรกิจเป็นจริงเป็นจัง กว่าจะเอาชนะไห่รุ่ยได้ ผมเกรงว่าเขาจะกลายเป็นชายแก่เหี่ยวย่นไปแล้วสิ! มันไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้ศัตรูรอดไปได้และมีชีวิตที่สุขสบายเลยนี่ครับ”