วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ – ตอนที่ 1128 น่าสงสารเด็กที่ต้องเสียแม่ของตัวเองไป! ​​​​​​​

ชิวจิ่นปรายตามองลูกน้องและบีบแก้วไวน์ในมือ “เราปล่อยให้ตระกูลโม่ลอยหน้าลอยตามานานหลายปีแล้ว ฉันปล่อยให้พวกมันเสวยสุขต่อไปไม่ได้อีก! จับตามองพวกเขาต่อไปให้ฉันที…”

ลูกสาวของหนานกงเฉวียนอายุมากกว่าลูกชายฝาแฝดหัวแก้วหัวแหวนของโม่ถิงอยู่หนึ่งปี เธอเป็นเด็กที่มีไหวพริบมาก สามารถแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในเด็กอายุเท่าเธอ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำเพียงซุกซนไปวันๆ เท่านั้น

เสี่ยวต้านเขอดูราวกับเกิดมาเพื่อเข้าอกเข้าใจพ่อของเธอ รู้ว่าพ่อตัวเองกังวลกับบางอย่างอยู่ ดังนั้นในทุกๆ วันหลังเธอทำการบ้านเสร็จเธอจะอยู่รอพ่อของเธอกลับบ้านไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

คืนนั้นเสี่ยวต้านเขอได้ยินเรื่องที่พ่อของเธอคุยกับชิวจิ่น เธอจึงรีบโผเข้าไปกอดขาพ่อตัวเองทันที “พ่อขา ปู่ชิวทำให้พ่อโกรธเพราะอยากจะทำร้ายใครสักคนใช่ไหมคะ”

“ต้านเขอ…”

“พ่อขา ปู่ชิวจะทำให้เด็กคนอื่นเสียแม่ของตัวเองไปไหมคะ” เสี่ยวต้านเขอเอ่ยถามพลางซบพ่อของเธอ

“ไม่หรอกครับ” หนานกงเฉวียนลูบศีรษะลูกสาว “พ่อรับปากหนูว่าจะไม่ปล่อยให้ปู่ชิวทำอะไรรุนแรงเด็ดชาด!”

“น่าสงสารเด็กที่ต้องเสียแม่ของตัวเองไปนะคะ!” เสี่ยวต้านเขอว่าขึ้นพร้อมคิ้วขมวดมุ่น

ความรักทั้งหมดของหนานกงเฉวียนมาจากนางฟ้าตัวน้อยคนนี้ นี่เป็นแรงใจเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พ่อจะไม่ปล่อยให้เด็กคนอื่นต้องอยู่โดยไม่มีแม่หรอกครับ”

ในท้ายที่สุดถึงเขาจะไม่บอกข้อมูลให้ตระกูลโม่รู้ แต่เขาก็ยังโทรหาโม่ถิงต่อหน้าเสี่ยวต้านเขอเพราะปฏิกิริยาตอบรับของชิวจิ่นและลูกๆ ทั้งสามคนของโม่ถิง “วันนี้ผมบอกคุณไปก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ตามแก้แค้นคุณ ต่อให้ผมอยากจะโจมตีคุณผมก็จะทำอย่างเปิดเผย

“แต่ โม่ถิง มันไม่ได้หมายความว่าลูกน้องก่อนหน้านี้ของพ่อของผมจะทำอย่างเดียวกัน ทั้งคุณและภรรยาของคุณคอยระวังตัวไว้จะเป็นการดีที่สุดนะครับ”

หลังจากได้ยินคำเตือนเสียงเรียบของหนานกงเฉวียน โม่ถิงระบายยิ้ม “แทนที่จะบอกให้เราระวังตัว คุณควรเป็นฝ่ายที่ต้องระวังตัวมากกว่านะครับ คนของปู่คุณทุ่มเทเพื่อพาคุณกลับมา แต่คุณยังไม่ได้ตั้งใจจะล้างแค้น คุณคิดว่าพวกเขาจะทนคุณได้อีกนานแค่ไหนเชียว

“ถ้าพวกเขาคิดจะหันไปพึ่งวิธีอะไรก็ได้ คุณคิดว่าจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดคืออะไรกันละครับ”

หนานกงเฉวียนหันไปมองเสี่ยวต้านเขออย่างไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าคำเตือนของโม่ถิงทำให้เขานึกขึ้นได้ทันที ชิวจิ่นมีเรื่องผิดใจกับเขาแล้ว หากสุดท้ายพวกเขาพลาดขึ้นมา สิ่งที่เขาจำเป็นต้องปกป้องมากที่สุดก็คือเสี่ยวต้านเขอของเขา

ขณะที่ถังหนิงนั่งข้างๆ โม่ถิง ได้ฟังบทสนทนาของเขากับหนานกงเฉวียน อยู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพวกคุณคล้ายกันจังเลยละคะ”

“เดิมทีเราก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้น่ะครับ” โม่ถิงเอ่ยพลางวางโทรศัพท์ลง

“จากสถานการณ์ในตอนนี้ เราไม่น่าจะกังวลกับหนานกงเฉวียนแต่ควรระวังลูกไล่ที่อยู่รอบตัวเขามากกว่าครับ”

ดังนั้นโม่ถิงจึงไม่ได้ทำเพียงเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้ถังหนิง แต่ยังทำกับของไห่รุ่ยรอบด้านอีกด้วย

ส่วนลูกสาวของเฉียวเซิน หลังจากขอเวลาสามเดือนกับถังหนิง เธอเดินทางไปอเมริกาเพื่อฝึกการกำกับภาพยนตร์

ระหว่างนี้ถังหนิงเริ่มปั้นทีมงานตัดต่อใหม่ของเธอ สตาร์ไชน์ แม้ว่าเธอจะรวบรวมคนที่มีความสามารถมาไว้ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ยังต้องผ่านการฝึกฝน ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถใช้ความสามารถของพวกเขาได้อย่างเต็มที่

ในขณะที่มดราชินีสองกำลังเตรียมการ ปรสิตเองก็เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ

นอกจากถังหนิงกับชุนชิวแล้ว ยังมีอีกหลายบริษัทที่ตอนนี้กำลังสนใจกับการสร้างภาพยนตร์ไซไฟ ทว่าพวกเขาทั้งหมดได้ส่งคำเชิญมาที่ไห่รุ่ย เพื่อถามว่าถังหนิงยินดีที่จะเป็นที่ปรึกษาของพวกเขาหรือไม่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเจตนาดีที่จะสร้างภาพยนตร์ไซไฟที่ดีสักเรื่องหนึ่ง

เมื่อผู้ชมรู้เรื่องนี้ ก็ต่างแสดงการสนับสนุน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้แค่สร้างผลงานห่วยๆ เพียงเพื่อเติมเต็มช่องว่างของภาพยนตร์แนวนี้

ความสำเร็จของมดราชินีได้เป็นคำเตือนให้ทุกคนได้ทันเวลา ถังหนิงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการศึกษาทางการตลาด ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนนั้นให้ความสำคัญกับคุณภาพมากเพียงไหน

ดังนั้นชื่อของถังหนิงจึงกลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพในวงการบันเทิง

ตราบใดที่มีถังหนิงมาเกี่ยวข้องกับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือการผลิต มันก็รับประกันได้ถึงคุณภาพที่สูงเพราะเธอเป็นเครื่องตรวจจับผลงานห่วยๆ ที่ดีที่สุด!

ถังหนิงจึงได้รู้ตัวว่าเธอมีอำนาจมากกว่าที่ตัวเองคิด ด้วยความรับผิดชอบที่มากขึ้น เธอจึงพูดน้อยลงกว่าแต่ก่อน

ดูจากท่าทีของถังหนิง เธอคงจะตอบรับคำเชิญจากบริษัทภาพยนตร์อื่นจริงๆ หรือ

แน่นอนว่าไม่

วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นมีหลากหลายรูปแบบและด้านไซไฟก็ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล เธอจึงไม่ต้องการตั้งความหวังอย่างเดียวกับที่เธอมีกับมดราชินี กับคนอื่น เธออาจจะยอมสละทุกอย่างเพื่อภาพยนตร์ของเธอ แต่คนอื่นจะกล้าทำแบบนั้นหรือ

ถังหนิงจึงบอกให้โม่ถิงช่วยปฏิเสธทุกคำเชิญไป

และในฐานะผู้จัดการของเธอ โม่ถิงช่วยเธอเลี่ยงทุกปัญหาได้อย่างไร้ที่ติ

“ถังหนิงได้ต่อสัญญากับทางไห่รุ่ยแล้ว และไห่รุ่ยก็มีสิทธิ์ในตัวศิลปินในสังกัด อย่างน้อยก็จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดครับ

“ดังนั้นถังหนิงจึงไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างหนังเรื่องใดๆ จากบริษัทอื่นได้ครับ

“ตอนนี้ถังหนิงได้เตรียมการสำหรับมดราชินีสองอยู่ แต่เธอก็เป็นแค่คนหนึ่งที่ทำงานในวงการภาพยนตร์ ไม่ใช่พระเจ้าครับ ผมหวังว่าจะไม่เรียกร้องจากเธออย่างนั้นนะครับ

“แล้วเธอเองก็เป็นคุณแม่ลูกสามแล้วด้วย เธอคงจะต้องใช้เวลาในการสอนและดูแลลูกๆ ให้มากขึ้นน่ะครับ”

โดยสรุปแล้ว หลายคนรู้สึกว่าถังหนิงไม่อาจให้คำปรึกษาในการสร้างภาพยนตร์ไซไฟเรื่องอื่นๆ ได้ แม้มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าใครเป็นผู้สนับสนุนถังหนิงที่แท้จริง

เธอไม่ใช่คนที่ดาราดังหรือนางแบบระดับนานาชาติคนไหนจะเทียบชั้นได้

การมีอยู่ของเธอนั้นเหมือนกับงานศิลปะไปเสียแล้ว

แน่นอนว่าเพราะมดราชินี ผู้คนจึงยิ่งให้ไม่โกรธเคืองถังหนิง นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าปล่อยให้ผลงานเป็นคำตอบ!

ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับถังหนิงคือเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนทั้งที่อยู่ในระดับนี้แล้วด้วยซ้ำ อันที่จริงเธอยิ่งอยู่เงียบๆ ลงไปทุกวัน เธอยังจำจุดยืนของตัวเองได้ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนมากมายทั้งในและนอกจีนที่ยกย่องเธอเป็นแบบอย่าง

อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของถังหนิงทำให้ชิวจิ่นไม่มีทางหาโอกาสโจมตีเธอได้ เขาจึงประสาทเสียเต็มที

ตอนนี้ตาของโม่จื่อเฉินหายดีแล้ว ถังหนิงพาลูกชายทั้งสองคนกลับบ้าน อย่างไรเสียลูกๆ ที่มีพ่อแม่คอยดูแลคงรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยกว่า

นี่เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก…

แน่นอนว่าอีกไม่นานพี่น้องทั้งสองคนก็จะเข้าวัยเรียน และอย่างที่คาดไว้ว่าโม่ถิงได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองคนใช้ชื่อภาษาอังกฤษแทนชื่อจีนเพื่อไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ พ่อแม่ของเพื่อนร่วมชั้นจะได้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นลูกของใคร

โม่ถิงต้องการให้มอบสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา ชิวจิ่นปรายตามองลูกน้องและบีบแก้วไวน์ในมือ “เราปล่อยให้ตระกูลโม่ลอยหน้าลอยตามานานหลายปีแล้ว ฉันปล่อยให้พวกมันเสวยสุขต่อไปไม่ได้อีก! จับตามองพวกเขาต่อไปให้ฉันที…”

ลูกสาวของหนานกงเฉวียนอายุมากกว่าลูกชายฝาแฝดหัวแก้วหัวแหวนของโม่ถิงอยู่หนึ่งปี เธอเป็นเด็กที่มีไหวพริบมาก สามารถแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในเด็กอายุเท่าเธอ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำเพียงซุกซนไปวันๆ เท่านั้น

เสี่ยวต้านเขอดูราวกับเกิดมาเพื่อเข้าอกเข้าใจพ่อของเธอ รู้ว่าพ่อตัวเองกังวลกับบางอย่างอยู่ ดังนั้นในทุกๆ วันหลังเธอทำการบ้านเสร็จเธอจะอยู่รอพ่อของเธอกลับบ้านไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

คืนนั้นเสี่ยวต้านเขอได้ยินเรื่องที่พ่อของเธอคุยกับชิวจิ่น เธอจึงรีบโผเข้าไปกอดขาพ่อตัวเองทันที “พ่อขา ปู่ชิวทำให้พ่อโกรธเพราะอยากจะทำร้ายใครสักคนใช่ไหมคะ”

“ต้านเขอ…”

“พ่อขา ปู่ชิวจะทำให้เด็กคนอื่นเสียแม่ของตัวเองไปไหมคะ” เสี่ยวต้านเขอเอ่ยถามพลางซบพ่อของเธอ

“ไม่หรอกครับ” หนานกงเฉวียนลูบศีรษะลูกสาว “พ่อรับปากหนูว่าจะไม่ปล่อยให้ปู่ชิวทำอะไรรุนแรงเด็ดชาด!”

“น่าสงสารเด็กที่ต้องเสียแม่ของตัวเองไปนะคะ!” เสี่ยวต้านเขอว่าขึ้นพร้อมคิ้วขมวดมุ่น

ความรักทั้งหมดของหนานกงเฉวียนมาจากนางฟ้าตัวน้อยคนนี้ นี่เป็นแรงใจเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ พ่อจะไม่ปล่อยให้เด็กคนอื่นต้องอยู่โดยไม่มีแม่หรอกครับ”

ในท้ายที่สุดถึงเขาจะไม่บอกข้อมูลให้ตระกูลโม่รู้ แต่เขาก็ยังโทรหาโม่ถิงต่อหน้าเสี่ยวต้านเขอเพราะปฏิกิริยาตอบรับของชิวจิ่นและลูกๆ ทั้งสามคนของโม่ถิง “วันนี้ผมบอกคุณไปก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ตามแก้แค้นคุณ ต่อให้ผมอยากจะโจมตีคุณผมก็จะทำอย่างเปิดเผย

“แต่ โม่ถิง มันไม่ได้หมายความว่าลูกน้องก่อนหน้านี้ของพ่อของผมจะทำอย่างเดียวกัน ทั้งคุณและภรรยาของคุณคอยระวังตัวไว้จะเป็นการดีที่สุดนะครับ”

หลังจากได้ยินคำเตือนเสียงเรียบของหนานกงเฉวียน โม่ถิงระบายยิ้ม “แทนที่จะบอกให้เราระวังตัว คุณควรเป็นฝ่ายที่ต้องระวังตัวมากกว่านะครับ คนของปู่คุณทุ่มเทเพื่อพาคุณกลับมา แต่คุณยังไม่ได้ตั้งใจจะล้างแค้น คุณคิดว่าพวกเขาจะทนคุณได้อีกนานแค่ไหนเชียว

“ถ้าพวกเขาคิดจะหันไปพึ่งวิธีอะไรก็ได้ คุณคิดว่าจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดคืออะไรกันละครับ”

หนานกงเฉวียนหันไปมองเสี่ยวต้านเขออย่างไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าคำเตือนของโม่ถิงทำให้เขานึกขึ้นได้ทันที ชิวจิ่นมีเรื่องผิดใจกับเขาแล้ว หากสุดท้ายพวกเขาพลาดขึ้นมา สิ่งที่เขาจำเป็นต้องปกป้องมากที่สุดก็คือเสี่ยวต้านเขอของเขา

ขณะที่ถังหนิงนั่งข้างๆ โม่ถิง ได้ฟังบทสนทนาของเขากับหนานกงเฉวียน อยู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพวกคุณคล้ายกันจังเลยละคะ”

“เดิมทีเราก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้น่ะครับ” โม่ถิงเอ่ยพลางวางโทรศัพท์ลง

“จากสถานการณ์ในตอนนี้ เราไม่น่าจะกังวลกับหนานกงเฉวียนแต่ควรระวังลูกไล่ที่อยู่รอบตัวเขามากกว่าครับ”

ดังนั้นโม่ถิงจึงไม่ได้ทำเพียงเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้ถังหนิง แต่ยังทำกับของไห่รุ่ยรอบด้านอีกด้วย

ส่วนลูกสาวของเฉียวเซิน หลังจากขอเวลาสามเดือนกับถังหนิง เธอเดินทางไปอเมริกาเพื่อฝึกการกำกับภาพยนตร์

ระหว่างนี้ถังหนิงเริ่มปั้นทีมงานตัดต่อใหม่ของเธอ สตาร์ไชน์ แม้ว่าเธอจะรวบรวมคนที่มีความสามารถมาไว้ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ยังต้องผ่านการฝึกฝน ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถใช้ความสามารถของพวกเขาได้อย่างเต็มที่

ในขณะที่มดราชินีสองกำลังเตรียมการ ปรสิตเองก็เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ

นอกจากถังหนิงกับชุนชิวแล้ว ยังมีอีกหลายบริษัทที่ตอนนี้กำลังสนใจกับการสร้างภาพยนตร์ไซไฟ ทว่าพวกเขาทั้งหมดได้ส่งคำเชิญมาที่ไห่รุ่ย เพื่อถามว่าถังหนิงยินดีที่จะเป็นที่ปรึกษาของพวกเขาหรือไม่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเจตนาดีที่จะสร้างภาพยนตร์ไซไฟที่ดีสักเรื่องหนึ่ง

เมื่อผู้ชมรู้เรื่องนี้ ก็ต่างแสดงการสนับสนุน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้แค่สร้างผลงานห่วยๆ เพียงเพื่อเติมเต็มช่องว่างของภาพยนตร์แนวนี้

ความสำเร็จของมดราชินีได้เป็นคำเตือนให้ทุกคนได้ทันเวลา ถังหนิงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการศึกษาทางการตลาด ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนนั้นให้ความสำคัญกับคุณภาพมากเพียงไหน

ดังนั้นชื่อของถังหนิงจึงกลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพในวงการบันเทิง

ตราบใดที่มีถังหนิงมาเกี่ยวข้องกับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือการผลิต มันก็รับประกันได้ถึงคุณภาพที่สูงเพราะเธอเป็นเครื่องตรวจจับผลงานห่วยๆ ที่ดีที่สุด!

ถังหนิงจึงได้รู้ตัวว่าเธอมีอำนาจมากกว่าที่ตัวเองคิด ด้วยความรับผิดชอบที่มากขึ้น เธอจึงพูดน้อยลงกว่าแต่ก่อน

ดูจากท่าทีของถังหนิง เธอคงจะตอบรับคำเชิญจากบริษัทภาพยนตร์อื่นจริงๆ หรือ

แน่นอนว่าไม่

วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นมีหลากหลายรูปแบบและด้านไซไฟก็ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล เธอจึงไม่ต้องการตั้งความหวังอย่างเดียวกับที่เธอมีกับมดราชินี กับคนอื่น เธออาจจะยอมสละทุกอย่างเพื่อภาพยนตร์ของเธอ แต่คนอื่นจะกล้าทำแบบนั้นหรือ

ถังหนิงจึงบอกให้โม่ถิงช่วยปฏิเสธทุกคำเชิญไป

และในฐานะผู้จัดการของเธอ โม่ถิงช่วยเธอเลี่ยงทุกปัญหาได้อย่างไร้ที่ติ

“ถังหนิงได้ต่อสัญญากับทางไห่รุ่ยแล้ว และไห่รุ่ยก็มีสิทธิ์ในตัวศิลปินในสังกัด อย่างน้อยก็จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดครับ

“ดังนั้นถังหนิงจึงไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างหนังเรื่องใดๆ จากบริษัทอื่นได้ครับ

“ตอนนี้ถังหนิงได้เตรียมการสำหรับมดราชินีสองอยู่ แต่เธอก็เป็นแค่คนหนึ่งที่ทำงานในวงการภาพยนตร์ ไม่ใช่พระเจ้าครับ ผมหวังว่าจะไม่เรียกร้องจากเธออย่างนั้นนะครับ

“แล้วเธอเองก็เป็นคุณแม่ลูกสามแล้วด้วย เธอคงจะต้องใช้เวลาในการสอนและดูแลลูกๆ ให้มากขึ้นน่ะครับ”

โดยสรุปแล้ว หลายคนรู้สึกว่าถังหนิงไม่อาจให้คำปรึกษาในการสร้างภาพยนตร์ไซไฟเรื่องอื่นๆ ได้ แม้มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าใครเป็นผู้สนับสนุนถังหนิงที่แท้จริง

เธอไม่ใช่คนที่ดาราดังหรือนางแบบระดับนานาชาติคนไหนจะเทียบชั้นได้

การมีอยู่ของเธอนั้นเหมือนกับงานศิลปะไปเสียแล้ว

แน่นอนว่าเพราะมดราชินี ผู้คนจึงยิ่งให้ไม่โกรธเคืองถังหนิง นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าปล่อยให้ผลงานเป็นคำตอบ!

ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับถังหนิงคือเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนทั้งที่อยู่ในระดับนี้แล้วด้วยซ้ำ อันที่จริงเธอยิ่งอยู่เงียบๆ ลงไปทุกวัน เธอยังจำจุดยืนของตัวเองได้ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนมากมายทั้งในและนอกจีนที่ยกย่องเธอเป็นแบบอย่าง

อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของถังหนิงทำให้ชิวจิ่นไม่มีทางหาโอกาสโจมตีเธอได้ เขาจึงประสาทเสียเต็มที

ตอนนี้ตาของโม่จื่อเฉินหายดีแล้ว ถังหนิงพาลูกชายทั้งสองคนกลับบ้าน อย่างไรเสียลูกๆ ที่มีพ่อแม่คอยดูแลคงรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยกว่า

นี่เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก…

แน่นอนว่าอีกไม่นานพี่น้องทั้งสองคนก็จะเข้าวัยเรียน และอย่างที่คาดไว้ว่าโม่ถิงได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองคนใช้ชื่อภาษาอังกฤษแทนชื่อจีนเพื่อไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ พ่อแม่ของเพื่อนร่วมชั้นจะได้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นลูกของใคร

โม่ถิงต้องการให้มอบสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์
Status: Ongoing
ถังหนิง ผู้กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นนางแบบแนวหน้า แต่เพราะรักจึงสละสิ้นทุกอย่าง ทว่าคืนก่อนวันวิวาห์ที่เธอกำลังจะได้ครองรักดั่งหวังนั่นเอง คู่หมั้นของเธอกลับหนีออกไปกับหญิงอื่น ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ เธอจึงเดินจ้ำไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานเขต “ประธานโม่คะ ในเมื่อเจ้าสาวของคุณยังไม่มาและเจ้าบ่าวของฉันก็หนีไปแล้วอย่างนี้… ฉันว่า… เรามาแต่งงานกันเสียเลยดีไหมคะ” … ก่อนแต่งงานเธอเอ่ยว่า “แม้เราจะนอนร่วมเตียงกัน แต่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา” หลังแต่งงานเขาเอ่ยว่า “ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset