หนานกงเฉวียนได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ดูเหมือนว่าเขาเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ความจริงแล้วเขารู้สึกหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ
หลังจากเงียบมาครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ว่าขึ้น “ครั้งนี้ผมว่าเขาคงยอมตายแทนที่จะคืนลูกให้คุณ”
“ผมจะตามหาพวกเขาจนเจอแน่” โม่ถิงมั่นใจเช่นเดียวกับถังหนิง
“งั้นคุณคิดว่ายังไงล่ะ”
“ผมคิดว่าเรายังต้องสืบในโรงเรียนอยู่ ครูที่ดูแลรู้ว่าลูกๆ หายตัวไปภายในยี่สิบนาที โจรลักพาตัวจะเอาตัวเด็กออกไปได้ยังไงกัน เขาต้องซ่อนพวกเขาไว้ที่ไหนสักที่แน่” โม่ถิงอธิบาย
“ผมเองก็คิดเหมือนกัน ทุกคนสนใจกับการหาหลักฐานและเบาะแส ในขณะที่เราสงสัยคนข้างนอกโรงเรียน ถ้าหากว่าเด็กยังไม่ได้ออกไปจากโรงเรียนเลยล่ะ”
“สิ่งที่ผมกลัวก็คือ…”
พวกเขากังวลว่าผู้อาวุโสหนานกงจะวางยาเด็กๆ
“แยกกันหาตามที่ที่น่าสงสัยในโรงเรียนกันเถอะ ผมมีความรู้สึกว่าลูกชายของผมต้องอยู่แถวๆ นี้”
สายเลือดที่ผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างเขากับลูกทำให้โม่ถิงหลับลงชั่วขณะ เพียงแค่คิดถึงความเป็นไปได้ที่ลูกๆ ของเขาจะพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายก็แทบทำให้เป็นบ้าด้วยความเคร่งเครียด เขาลืมสิ้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ไห่รุ่ยและเรื่องการคัดลอกผลงานทั้งหมด
เขามั่นใจว่าฟังอวี้คงจัดการมันได้
หลังจากได้ยินจากโม่ถิง หนานกงเฉวียนตบบ่าเขา “ตาเฒ่านั่นอยากเห็นคุณเครียดและตื่นตระหนก ดังนั้นคุณต้องนิ่งไว้นะครับ”
โม่ถิงพยักหน้าแม้ว่าในใจจะต้องการฆ่าอีกฝ่ายเหลือเกินก็ตาม
จากนั้นคุณพ่อทั้งสองคนได้เลือกที่ที่น่าสงสัยที่สุดรอบๆ โรงเรียนและตามหาพวกเขาจนทั่ว
แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาค้นหาแล้ว คุณพ่อทั้งสองก็ยังเชื่อว่าพวกเขาคงตามหาได้ละเอียดกว่า
ห้องแล้วห้องเล่า ชั้นแล้วชั้นเล่า รวมถึงห้องน้ำและห้องทิ้งขยะ คุณพ่อทั้งสองไม่ปล่อยให้รอดพ้นสายตาไปได้
ในที่สุดพวกเขาก็พบรองเท้าของโม่จื่อเฉินในห้องเก็บของชั้นบนสุด
“อย่างที่คิดไว้เลย พวกเขาถูกซ่อนไว้อยู่ที่นี่จนกระทั่งถูกพาตัวออกไปได้”
ในไม่ช้าทางตำรวจได้มาถึงเพื่อค้นหาหลักฐานในห้องเก็บของ พวกเขาเก็บลายนิ้วมือจากรองเท้า น่าเสียดายที่พวกเขาพบเพียงลายนิ้วมือของสองพี่น้อง
เห็นได้ชัดว่าโจรลักพาตัวรอบคอบและสวมถุงมือเอาไว้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาเจอทางตัน
ทว่ารองเท้าคู่นี้ได้ทำให้คนเป็นพ่อนั้นสุดแสนทุกข์ทรมานใจ
การค้นหายังดำเนินต่อไป ถึงแม้ค่ำคืนจะยาวนาน ถังหนิงก็ไม่อาจหลับลงด้วยไม่สามารถทำใจให้สงบได้…
…
เมื่อเห็นครอบครัวลูกหลานถูกพรากจากกัน ผู้อาวุโสโม่ปวดใจอย่างนึกโทษตัวเอง
ดูเหมือนว่าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจบเรื่องบาดหมางนี้ ผู้อาวุโสโม่จึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปพบกับผู้อาวุโสหนานกง บางทีมันอาจเป็นทางเดียวที่จะยุติการกระทำของชายแก่ได้
ดังนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้อาวุโสโม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสูทที่ไม่ได้ใส่มานานแล้ว และแต่งตัวเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากนั้นจึงขับรถไปที่บ้านของผู้อาวุโสหนานกง กดกริ่งและรอให้ชายแก่ปรากฏตัว
การพบกันระหว่างคู่อริทั้งสองไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดไว้ ผู้อาวุโสหนานกงคงคิดไว้อยู่แล้วว่าผู้อาวุโสโม่จะมาหา เขาถึงได้เตรียมที่นั่งไว้ให้เรียบร้อย
“ถ้าแกโผล่หัวมาก่อนหน้านี้ เรื่องคงไม่มาถึงขั้นนี้หรอก ทั้งเมืองคงไม่โกลาหล แล้วหลานชายกับหลานสะใภ้ของแกก็คงไม่ต้องวิ่งเต้นหาตัวลูกชายไปทั่ว”
“พี่หลิน มันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วแต่คุณก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด ยังโหดเหี้ยมเหมือนเดิมเลย” ผู้อาวุโสโม่หัวเราะ “ฉันยังยืนกรานว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เลยยังอยู่มาได้อย่างรู้ผิดชอบชั่วดี แต่ตอนนี้คุณก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คิดจะจบเรื่องยังไงล่ะครับ
“เดิมทีมันเป็นเรื่องความขัดแย้งในรุ่นของเรา ทำไมต้องเอาลูกหลานมาเกี่ยวข้องด้วยล่ะ”
“ทำไมแกไม่เสนอหน้าออกมาพูดอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกล่ะ” ผู้อาวุโสหนานกงหัวเราะ “ทำไมถึงได้ซ่อนอยู่หลังหลานชายแล้วไม่โผล่หัวออกมา ถ้าแกออกมาก่อนนน้านี้ฉันคงไม่จ้องทำร้ายคนไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอก”
“เพราะว่าฉันไม่นึกว่าคุณจะยึดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ไง” ผู้อาวุโสโม่หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ในเมื่อฉันมาที่นี่วันนี้แล้ว คุณก็น่าจะแสดงความเมตตาออกมาบ้างและปล่อยเด็กๆ ให้ใช้ชีวิตอย่างสงบไม่ใช่เหรอ พวกเขาแค่อยากจะทำมาหากินในวงการบันเทิง ไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่คุณคิดหรอก พวกเขาจะเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องเสียลูกๆ ตัวเองไปน่ะ”
“ถ้าแกอยากให้ฉันบอกว่าเด็กๆ อยู่ไหนฉันจะบอกให้ก็ได้ แต่แกอาจจะต้องเสียสละครั้งใหญ่หน่อย” ผู้อาวุโสหนานกงบอก “แกคิดดูให้ดีๆ แล้วกัน”
“เราเองก็อายุปูนนี้แล้ว มีอะไรที่เราต้องกังวลอีกล่ะ” ผู้อาวุโสโม่หัวเราะ “เอาสิ บอกฉันมาว่าคุณต้องการอะไร”
“คุกเข่าขอโทษซะ! จบเรื่องในวงการใต้ดินด้วยวิธีของวงการใต้ดินเนี่ยแหละ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หาเรื่องแกอีก!”
คุกเข่า!
ผู้อาวุโสหนานกงต้องการให้ผู้อาวุโสโม่คุกเข่าจริงๆ! หากเขาทำจริงหมายความว่าเขายอมรับว่าตัวเองผิด
“นั่นมัน…”
“ฉันเตือนแกแล้วว่าให้คิดดีๆ เหลนและหลานของแกกำลังรอให้แกช่วยอยู่นะ”
ผู้อาวุโสโม่ไม่ปริปากออกมาสักคำขณะที่ดึงมีดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะฟันลงที่หลังมือตัวเอง “ฉันคุกเข่าไม่ได้หรอก แต่ฉันรู้ว่าวงการใต้ดินก็ใช้วิธีนี้ในการชดใช้เหมือนกัน
“ฉันทำให้มือขวาตัวเองพิการเพื่อชดใช้ให้กับยี่สิบปีที่โดดเดี่ยวของคุณแล้วกัน แต่อย่าลืมว่าต่อให้ฉันไม่ทำอะไรเลย คุณก็ยังคงเลี่ยงการติดคุกไปไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นดังนั้น ผู้อาวุโสหนานกงก็หัวเราะ “ถ้าแกสะสางเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ฉันคงไม่ต้องเปลืองแรงมากขนาดนี้หรอก
“ฉันติดคุกไปยี่สิบปี ตอนนี้มือขวาแกพิการแล้ว ฉันว่าความโกรธของฉันมันหายไปแล้วละ งั้นเรื่องทั้งหมดก็จบลงตรงนี้!”
“แล้วคุณจะปล่อยเด็กๆ ไปได้หรือยัง”
ผู้อาวุโสหนานกงดึงผ้าเช็ดหน้าออกมากระเป๋าเสื้อก่อนโยนให้ชายสูงวัย “ห้ามเลือดของแกซะ
“เหลนชายของแกทั้งสองคนอยู่ที่บ้านฉัน เสี่ยวต้านเขอชอบพวกเขา ฉันเลยพาพวกเขาไปหา… ฉันไม่ได้ยอมเพราะแกหรอกนะ ฉันทำเพื่อเหลนสาวของฉันต่างหาก ฉันอยากจะพังไปด้วยกันจริงๆ แต่เด็กๆ ก็ยังเด็กเกินไป
“ฉันต้องบอกว่าไอ้ตัวแสบสองคนนั่นก็น่ารักดี” ผู้อาวุโสหนานกงเอ่ยขณะเงยหน้าขึ้น
“ฉันรู้ว่าโม่ถิงคงไม่ปล่อยให้ฉันลักพาตัวลูกของเขาหรอก แต่การทำให้มือแกพิการก็ทำให้ฉันรู้สึกเป็นผู้ชนะแล้ว!”
หลังจากคิดแค้นมายี่สิบปี ผู้อาวุโสหนานกงได้เห็นโม่ถิงทุกข์ทรมานและผู้อาวุโสโม่ขอโทษ เขาจึงไม่ดึงดันอีกต่อไปแม้จะรู้ว่าตัวเองคงไปไหนไม่รอด
“ถ้าอยากจะแจ้งความจับฉันก็เอาเลยสิ!”