วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 205 : ลูกของพวกเขากับความโกรธที่อธิบายไม่ได้

“ฉันเหมือนล้อเล่นเหรอ?”

จางเห่อโดนย้อน

บนรถ มู่เวยเวยที่กำลังหลับตาคิด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองคน จึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“หิวไหม?” เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นเธอดูเฉาๆ จึงถามขึ้นด้วยความเห็นห่วง

“นิดหน่อย”

“ช่วงนี้คุณผอมลงมาก กลับไปผมจะให้ฉินหม่าทำซุปให้คุณ” เย่ฉ่าวเฉินใช้หลังมือลูบไล้ที่ใบหน้าเธอด้วยความรัก

มู่เวยเวยยิ้ม “ค่ะ ซุปปลาที่ฉินหม่าทำอร่อยมาก” ในใจกลับพูดว่า ครั้งที่ถูกลักพาตัวไป เธอวิ่งไปโรงพยาบาลทุกวัน ไม่ผอมก็เกินไปละ

“คุณชอบก็ดี”

ขากลับ

มู่เวยเวยหยั่งเชิงถามขึ้น “คุณไปถามได้ความว่ายังไงบ้าง? ใครอยู่เบื้องหลัง?”

“เขาปากแข็งไม่พูดอะไร แต่ผมยังมีวิธี คืนนี้ผมจะเสิร์ฟออเดิร์ฟมื้อใหญ่ให้เขา”

มู่เวยเวยตกใจกลัวกับน้ำเสียงเย็นชาของเขา “ออเดิร์ฟอะไร?”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างน่ากลัว “เรื่องนี้คุณไม่รู้จะดีกว่า”

“หึ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม มันไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ เขาเกรงว่าคนดีของเขาจะกลัว

“คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาช่วยเขาเหรอ?” มู่เวยเวยถาม

เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างภาคภูมิใจ “ไม่กลัว ข้อแรกสถานที่นี้เป็นที่เฉพาะไม่มีคนรู้จัก ข้อสองแม้ว่าจะมีคนรู้จักและต้องการมาช่วยเขา ผมเลี้ยงคนไว้มากมายขนาดนี้ก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์ บุกเข้ามาได้ค่อยว่ากันอีกที”

มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด สิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือคนที่มาช่วยฉู่เหยียนจะเตรียมการมาอย่างดีพร้อมกับอาวุธครบมือ เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เตรียมการในด้านนี้ หากบาดเจ็บสาหัส จิตใจเธอคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ

ตอนนี้พวกเขาอาศัยฝีมือของแต่ละคน เธอไม่ใช่พระเจ้าทำอะไรไม่ได้มากมายขนาดนั้น

กลับถึงคฤหาสน์เวลาทุ่มกว่าๆ จางเห่อไปจัดการธุระ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยไปรับประทานอาหารเย็น

เพราะการกลับมาของเย่ฉ่าวเฉิน ฉินหม่าดีใจมากวันนี้จึงจัดอาหารมื้อใหญ่ไว้เต็มโต๊ะ ทั้งหมดล้วนมีแต่ของที่เย่ฉ่าวเฉินชอบ

“ฉันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้” มู่เวยเวยยิ้มแล้วมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “ครั้งสุดท้ายที่ฉันถามคุณ คุณรู้ใช่ไหมว่าสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหน หากยังบอกว่าไม่รู้ ก็เท่ากับว่าโกหกฉัน”

เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป ตอนนั้นเขายังไม่แน่ใจว่าเธอใช่มู่เวยเวยหรือไม่ แล้วจะบอกความลับเรื่องนี้กับเธอได้อย่างไร?

“ต้องโทษที่ตอนนั้นคุณเป็นหุ้นส่วนผม”

มู่เวยเวยพยักหน้า “ก็ถูก เรื่องแผนที่ขุมทรัพย์ใหญ่ขนาดนี้ ไม่ควรพูดกับคนนอก แต่ก็น่าเสียดายความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือได้ออกไปล่าหาสมบัติ ฉันยังไม่ได้ดูแผนที่ขุมทรัพย์ด้วยซ้ำ ก็มีคนแย่งไปจากมือ”

รอยยิ้มของเย่ฉ่าวเฉินคืบคลานไปทั่วแววตา ถ้าแผนที่ขุมทรัพย์ถูกขโมยไปจริงๆ อย่างนั้นมู่เวยเวยก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไป ดังนั้นเขาต้องรั้งเธอไว้ให้สุดความสามารถ

“คุณคิดว่าผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

มู่เวยเวยสะดุ้ง “หมายความว่ายังไง? แผนที่ขุมทรัพย์ที่พวกเขาแย่งไปเป็นของปลอมงั้นเหรอ?”

“ใช่ เพียงแต่ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก แน่นอนว่าผมต้องเตรียมรับมือไว้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการสูญหายและถูกโจรกรรม ผมจึงทำสำเนาไว้สองชุด เอาไปเก็บไว้คนละที่” เย่ฉ่าวเฉินพูดเพ้ออย่างเป็นจริงเป็นจังโดยไม่เขินอายแม้แต่น้อย

เมื่อมู่เวยเวยเห็นเขาพูดจริงจังขนาดนั้น เธอก็เชื่อจริงๆ

“คุณมองการณ์ไกลจริงๆ งั้นคุณก็ไม่ต้องไปหาสมบัติแล้วใช่ไหม?”

“อันที่จริงผมไม่อยากครอบครองแผนที่ขุมทรัพย์นี้เลยสักนิด” เย่ฉ่าวเฉินหยุดพูด สีหน้าเนือยๆ เล็กน้อย “พ่อแม่ของผมก็เพราะแผนที่ขุมทรัพย์ใบนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลง และอีกอย่างพวกเขาก็ตายเพราะมัน ผมไม่อยากเดินตามรอยพวกเขา ดังนั้นอีกอันจึงอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่ได้อยากออกไปตามหาสมบัติเหล่านี้ เมื่อเทียบกับการต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อค้นหาสมบัติที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า ผมยอมใช้สติปัญญาของตัวเองทุ่มเททำงาน เพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง ผมคิดว่าผมก็ทำได้ไม่เลวนะ”

ปฎิเสธไม่ได้ มู่เวยเวยแปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องราวที่เขาเล่ามา เย่ฉ่าวเฉินผู้เย็นชาและโหดร้ายก็มีมุมแบบนี้ด้วย

“ทำไม? มันสะเทือนความรู้สึกของฉัน?” มู่เวยเวยถามขึ้นยิ้มๆ เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างุนงง

มู่เวยเวยไม่ได้ปิดปัง “มันน่าสะเทือนใจ เพราะฉันคิดว่าพวกคุณก็เหมือนพวกผู้มีอิทธิผลในโลกธุรกิจ ทุกอย่างคือเงิน คิดไม่ถึงว่า คุณจะเป็นข้อยกเว้น”

“ผมก็ชอบเงินเหมือนกัน แต่สุภาพบุรุษชอบทำมาหากิน”

มู่เวยเวยหัวเราะจนแทบสำลักข้าว

“หัวเราะอะไร? ผมพูดไม่ถูกเหรอ?”

มู่เวยเวยหัวเราะจนปวดท้อง “ฮ่าๆ ฉันขำจะตายอยู่แล้ว สุภาพบุรุษ? เย่ฉ่าวเฉินอย่างคุณเรียกว่าสุภาพบุรุษเหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินทำให้เธอตกใจ แทนที่จะโกรธแต่เขากลับหัวเราะ “ก็ใช่ ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษ”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสองนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เย่ฉ่าวเฉินกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ตอนแรกเขายังทำตัวปกติ และผมของเธอก็ถูกหวีไว้อย่างเรียบร้อย หลังจากนั้นเขาก็เหิมเกริมล่วงมือเข้าไปข้างในคอเสื้อ…

มู่เวยเวยตีมือเขาดัง “เพี๊ยะ” “อย่าลวนลาม”

มือของเย่ฉ่าวเฉินหยุดอยู่ที่ไหปลาร้า แล้วกระซิบที่ข้างเธอ “ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษ”

“อย่าเพิ่งแตะ ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ” มู่เวยเวยกระซิบอย่างมีเลสนัย

“ผมไม่ถือ” พูดแล้วมือก็เลื้อยเข้าไปด้านใน แต่มู่เวยเวยจับไว้ซะก่อน

“ฉันถือ” มู่เวยเวยจับมือเขาออก “ดูทีวีดีๆ”

เย่ฉ่าวเฉินสัมผัสไปที่ใบหน้าของเธอ พร้อมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผมไม่ได้แตะตัวคุณมาหลายวันแล้วนะ”

“วันนี้คุณเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล คุณหมอบอกให้คุณทำตัวดีๆ”

“คุณกลัวผมจะไม่มีแรงเหรอ?” มือของเย่ฉ่าวเฉินลูบไล้ไปตามนิ้วของมือ จับมันยกขึ้นแล้ววางไว้ระหว่างฟัน การกระทำเพียงเล็กน้อย ทำให้มู่เวยเวยขนหัวลุก

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณอย่าทำตัววุ่นวาย” มู่เวยเวยพยายามดึงมือตัวเองกลับแต่ไม่เป็นผล ทันใดนั้น ก็ถูกอีกคนอุ้มขึ้นมาแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน “อ่ะ——เย่ฉ่าวเฉิน คุณปล่อยฉันลงนะ ไหล่ของคุณยังเจ็บอยู่”

“ดูเหมือนว่าคุณกำลังสงสัยในความแข็งแกร่งของร่างกายผมนะ คุณลืมไปแล้วเหรอ ผมไม่ใช่คนธรรมดา” เย่ฉ่าวเฉินมองไปยังดวงตาสีเข้มของเธอแล้วยิ้มอย่างนุ่มนวล เพียงความอบอุ่นในแววตาก็จุดชนวนในตัวเธอ

ตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร เธอบอกว่าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ เย่ฉ่าวเฉินจึงอยากลองสัมผัสเข้าไปข้างในเพื่อทบสอบและให้บทเรียนเธอ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป

“งั้น… งั้นให้ฉันไปอาบน้ำก่อน” มู่เวยเวยพูดอย่างเขินอาย

“ทำเสร็จแล้ว ผมจะไปอาบกับคุณ”

มู่เวยเวยเก็บอารมณ์ไว้ พึมพำเบาๆ “งั้นคุณ…จะทำเสร็จตอนไหน”

คำพูดของเธอจุดประกายไปในตัวของเย่ฉ่าวเฉิน เขารีบก้าวอย่างรวดเร็ว เตะประตูเปิดออก แล้ววางเธอไว้บนเตียง อยากเข้าไปประกบจูบเธอแทบทนไม่ไหว

“วางใจได้ วันนี้ผมจะพยายามให้เร็วขึ้น”

“อย่าฉีกเสื้อฉัน…อ่ะ——ฉันเกลียดคุณ”

“ก็ผมเป็นหมาป่า คุณจะถูกหมาป่าผู้หิวโหยกิน” เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเปลวไฟในดวงตา ช่างลึกลับเหลือเกิน

“จะทำอะไรอีก?” มู่เวยเวยเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เปลือกตาแทบลืมไม่ขึ้น

“ไม่อยากไปอาบน้ำเหรอ? จะอุ้มไปห้องอาบน้ำ จะได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนง่ายๆ”

มู่เวยเวยโถมตัวเข้าหาเขา “คุณนี่แรงดีจริงๆ”

“ยอมรับแล้วเหรอ? กว่าจะยอม” เย่ฉ่าวเฉินผลักประตูห้องอาบน้ำแล้วมองเธอขำๆ “ยังยืนไหวไหม?”

“ไหว ยืนไหว”

เย่ฉ่าวเฉินวางเธอลงช้าๆ เปิดน้ำทดสอบอุณหภูมิ แล้วให้เธอไปยืนใต้ฝักบัว “คุณค่อยๆ อาบนะ”

มู่เวยเวยอายที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา จึงหันไปล้างตัว

ผ่านไปสักพัก ร่างกายของเย่ฉ่าวเฉินก็เบียดเข้ามาใกล้

“คุณออกไปก่อน ฉันอาบเสร็จแล้วคุณค่อยมา” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับใช้มือเล็กๆ ผลักไปที่อกของเขา

เย่ฉ่าวเฉินจะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร เขาดึงเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ “เคยเห็นเปลือยมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังจะเขินอีกเหรอ?”

“ฉันไม่ชิน”

“แต่ก็ชอบที่เห็นคุณเป็นแบบนี้” เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม

“ทำไมคุณถึงน่ารำคาญขนาดนี้” มู่เวยเวยเม้มริมฝีปากบวมแดงของเธอราวกับเด็กทารก

ครั้งนี้มู่เวยเวยไม่มีเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ จึงถูกเขาอุ้มออกมาจากห้องอาบน้ำในชั่วพริบตา

“คุณอย่า ฉัน…” มู่เวยเวยเตือนสติเขา

“ไม่แตะแล้ว” แววตาของเย่ฉ่าวเฉินหวานปานน้ำผึ้ง “ผมจะช่วยเป่าผมให้แห้งก่อนนอน”

“อืม”

เย่ฉ่าวเฉินนำไดร์เป่าผมออกมาจากห้องน้ำ วางหัวของเธอไว้บนขา แล้วเริ่มเป่าผมยาวของเธอทีละนิด ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะแห้งสนิท จนเธอผล็อยหลับไป

เวลากลางคืนอากาศหนาวมาก เย่ฉ่าวเฉินคลุมให้ทั้งสองคน จากนั้นก็โอบกอดเธอพร้อมเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างสงบ

ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ ทั้งพอใจและปลื้มปริ่ม

กลางดึก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึกสงัด เย่ฉ่าวเฉินตื่นขึ้นมาจากความฝัน เอื่อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ พบว่าคือจางเห่อ จึงกดรับสาย

“มีอะไร?”

“คุณชายครับ จางหางถูกช่วยไปแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินได้สติขึ้นมาทันที จึงลุกจากเตียง “เมื่อไหร่?”

“เมื่อสักครู่ครับ ได้ข่าวมาจากทางนั้นว่ามีคนบุกเข้ามาช่วยไปได้”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว กลัวว่าจะรบกวนมู่เวยเวย จึงเอ่ยถามเสียงเบา “แล้วคนเจ็บล่ะ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่แน่ใจครับ ตอนนี้ผมกำลังจะไปดู”

“รอเดี๋ยว ฉันไปด้วย” หลังจากวางสายเย่ฉ่าวเฉินรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ตอนที่ออกจากห้อง เขาเพิ่มอุณหภูมิในห้องให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นโน้มตัวเข้าไปจูบหน้าผากของมู่เวยเวยแล้วจากออกมา

ด้านนอกคฤหาสน์ จางเห่อรออยู่ก่อนแล้ว

“คุณชาย คุณเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล หรือ…”

“ไม่เป็นไร ขึ้นรถ”

ตอนกลางคืนเงียบสงัด บนถนนแทบไม่มีรถสักคน ราวกับหลุดเข้าไปในดินแดนไร้มนุษย์ แลนด์โรเวอร์สีดำแล่นไปด้วยความเร็วสูง เดิมทีที่ใช้เวลาเดินทางมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้จางเห่อขับรถมาถึงภายในครึ่งชั่วโมง

ที่ฐานมีแสงสว่างจ้า

เสี่ยวฟางเห็นเย่ฉ่าวเฉินมา จึงรีบทักทาย “เจ้านาย คุณมาแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว พร้อมเดินไปข้างหน้า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

“พวกเราได้รับบาดเจ็ดห้าคน แพทย์ประจำฐานกำลังช่วยชีวิตอยู่ ลูกน้องสามคนที่เรียกมาก็ตายหมด ยกเว้นจางหางที่เหลือตายหมดเลยครับ”

เย่ฉ่าวเฉินหยุดฝีเท้า แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ตายหมดเลยเหรอ?”

“ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนลงมือ สิ่งที่น่ากังวลคือสิ่งที่พวกเขาคายออกมา ดังนั้นเวลาดวงขึ้นจะทำอะไรก็ต้องทำให้สุด ยังไงก็โดนฆ่าปิดปากหมดอยู่ดี”

เย่ฉ่าวเฉินโหดร้ายก็จริง แต่ก็ไม่เคยทำร้ายพี่ทำร้ายน้อง “แม่งเอ้ย! พวกนี้มันบ้าไปแล้ว เห็นหน้าพวกมันไหม?”

เสี่ยวฟางส่วยหัว “ไม่ครับ พวกมันใส่หน้ากากปิดไว้”

“แล้วน้ำเสียงล่ะ?”

“ไม่ครับ พวกมันไม่ได้คุยอะไรกัน”

เย่ฉ่าวเฉินสำรวจไปรอบๆ เดินไปยังห้องที่จางหางเคยอยู่ ชายร่างใหญ่สามคนนอนตายจมกองเลือด

“ส่งเงินหนึ่งล้านในพวกเขา โอนไปให้สมาชิกในครอบครัว ถือว่าเป็นเงินบำนาญ” เย่ฉ่าวเฉินหันหลังไปพูดกับจางเห่อ

“ครับ”

“นำศพเหล่านี้ไปจัดการให้เรียบร้อย ทำอย่างระมัดระวังนะ”

“ครับนาย”

เย่ฉ่าวเฉินมาที่ห้องแพทย์ คนเจ็บกำลังได้รับการช่วยเหลือ หลายคนถูกตีขาตีแขน มีเพียงคนเดียวที่อยู่ในอันตราย เพราะถูกยิงเข้าที่หน้าอก

“พวกมันเข้ามาจากตรงไหน” เย่ฉ่าวเฉินหันกลับไปถามเสี่ยวฟาง

เสี่ยวฟางพูดอย่างระมัดระวัง “ผมเพิ่งไปตรวจดู พวกมันเข้ามาจากกำแพงด้านทิศวะตันออก จัดการกับทหารเฝ้ายามคนหนึ่งของเราไป แล้วตรงเข้ามายังห้องที่จางหางถูกขังไว้ เหมือนคาดการณ์ไว้แล้วล่างหน้า”

สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา เขาพูดตำหนิ “ที่พวกเราอยู่นี่ไม่ใช่เมืองสวรรค์ ไม่แปลกที่จะมีใครหาเจอ แต่ปล่อยให้พวกมันเข้ามาแล้วทำร้ายคนของเรา พวกนายรักษาความปลอดภัยกันยังไง?”

เสี่ยวฟางก้มหน้ารับผิด คิดอยากจะแก้ตัว แต่ความผิดพลาดก็คือผิดอยู่ดี “ขอโทษครับนาย มันเป็นความรับผิดชอบของผมครับ”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขา “ถ้าในอนาคตเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก นายก็ออกไปซะ”

“ไม่มีครั้งหน้าอีกแน่นอนครับนาย”

“แล้วคนพวกนี้มันหนีไปทางไหน?” เย่ฉ่าวเฉิน

“อาหลงตามพวกมันไปแล้วครับ”

เสี่ยวฟางตอบ แล้วรีบโทรหาอาหลงทันที ทางนั้นใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรับสาย และดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดี

“อาหลง นายอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวฟางถามอย่างเป็นกังวล

“รถของเราถูกพวกมันชนจนพลิกคว่ำ ฉัน…ฉันติดอยู่ในรถ ส่วนอีกสองคนหมดสติไปแล้ว” อาหลงอ้าปากพะงาบๆ

เสี่ยวฟางได้ยินแบบนั้นหน้าก็เปลี่ยนสี “นายอยู่ไหน ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

“บนถนนแทบชานเมืองทางทิศตะวันออก รีบมา ฉันกลัวว่าอีกสองคนจะทนไม่ไหว”

“เข้าใจแล้ว”

เสี่ยวฟางกดเปิดสปีกเกอร์โฟน ไม่รอให้เขาพูดอะไร เย่ฉ่าวเฉินก็พูดขึ้น “โทรหาหนึ่งสองศูนย์ นายไปกับหนึ่งสองศูนย์ ไม่ว่ายังไงพวกมันคงทำอะไรไม่ได้อีก”

“นาย” เสี่ยวฟางเศร้าใจ เขาและอาหลงเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก ปกติพวกเขาไม่เคยแยกจากกัน ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับอาหลง เขาจึงเป็นกังวลมากกว่าคนอื่น

“ยังชักช้าอยู่ได้? รีบไปสิ” เย่ฉ่าวเฉินเตะไปที่ขาของเขา

เสี่ยวฟางเมื่อขาโดนเตะก็รีบวิ่งไปที่รถทันที

ท้องฟ้าในฤดูร้อนเต็มไปด้วยดวงดาวสุกสว่าง หากไม่ใช่กลิ่นเลือดจางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ คงเป็นคืนที่วิเศษมาก

ภายใต้แสงไฟจากระยะไกลๆ จางเห่อและคนอื่นๆ จัดการกับศพคนตายอย่างเป็นระเบียบ เงาจากห้องแพทย์ นายแพทย์คงกำลังช่วยผู้บาดเจ็บอย่างสุดกำลัง

เย่ฉ่าวเฉินจมดิ่งอยู่ในความคิด เรื่องไม่คาดคิดครั้งนี้เกิดเพราะมีคนให้เบาะแส หรือว่าอีกฝ่ายจมูกไว ถึงได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้

เหตุผลที่เขาขัดจังหวะการคาดการณ์ของเสี่ยวฟางไป เพราะไม่อยากให้เกิดความตื่นกลัว การซักไซ้เพื่อน เป็นอาวุธทำลายความจงรักภักดีของคนพวกนี้

ถ้ามีคนปล่อยข่าว คนๆ นั้นคือใคร?

ไม่ช้าเกินไปไม่เร็วเกินไป บังเอิญเกิดขึ้นหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลพอดี

ทันใดนั้นใบหน้ายิ้มแย้มของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในหัว เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธทันที คงไม่ใช่เธอ เธอเองก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน และยังเกือบตามล่าตอนที่แลกแผนที่ขุมทรัพย์ เธอจะช่วยจางหางออกไปได้อย่างไร?

เป็นไปไม่ได้แน่ๆ

เวลาผ่านไปจากวิเป็นนาที ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบราวกับราตรีนั้นหายไป คนเจ็บทั้งห้าคนพ้นจากขีดอันตราย หนึ่งในนั้นอยู่ระหว่างสังเกตอาการ เสี่ยวฟางพาอาหลงและอีกสองคนกลับมาจากโรงพยาบาล นอกจากแขนหัก ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

บางทีอาจเป็นโชคดีที่สุด อย่างน้อยคนของเขาก็ไม่ตาย

เนื่องจากอดหลับอดนอนทั้งคืน เย่ฉ่าวเฉินจึงรู้สึกเพลียเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำ

“เจ้านาย” อาหลงยืนอยู่ข้างหน้าเขาอย่างอดอาลัยตายอยาก “ขอโทษครับ ผมตามจับตัวมาไม่ได้”

เย่ฉ่าวเฉินตบไหล่เขา “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็จับได้ พวกนายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

อาหลงได้ยินแบบนั้นก็ก้มศีรษะลง

จางเห่อที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าของเย่ฉ่าวเฉิน จึงกล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เจ้านาย เมื่อวานคุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ทั้งคืน กลับไปพักผ่อนสักหน่อยนะครับ ผมจะไปส่ง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

“เรียบร้อยแล้วครับ คุณวางใจได้”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าแล้วเดินไปที่รถ คืนนี้จมูกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เขาคิดถึงกลิ่นหอมของมู่เวยเวย เขาอยากกอดเธอแล้วนอนหลับไปอย่างสบายใจ

เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลเย่ ก็เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า

เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปในห้องนอน เธอยังหลับอยู่ เขาเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างเงียบๆ แล้วกลับมาที่เตียงและกอดร่างอันอบอุ่นของเธอไว้แน่น

การกระทำของเขาทำให้มู่เวยเวยรู้สึกตัว จึงงัวเงียถามขึ้น “เช้าแล้วเหรอ?”

“ยังเช้าอยู่ นอนต่อเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินพูดเบาๆ

มู่เวยเวยที่เพิ่งตื่นก็หลับใหลต่อ เธอง่วงเกินไปจริงๆ

หลับไปจนถึงเที่ยงวัน

มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาพร้อมกับอ้าปากหาว ยืดตัวบิดขี้เกียจ แล้วหันไปมองรอบๆ พบว่าเย่ฉ่าวเฉินยังหลับอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะหลับลึกด้วย

เอ๊ะ? ปกติเขาเป็นคนตื่นเช้าที่สุดไม่ใช่เหรอ? ทำไมวันนี้ถึงไม่ใช่ล่ะ?

มู่เวยเวยค่อยๆ แกะมือเขาออกจากเอวอย่างระมัดระวัง เธอลุกออกจากเตียงมาหยิบเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อกำลังจะสวมกลับก็พบว่ามันใส่ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเมื่อคืนถูกผู้ชายคนนี้ฉีกมันเป็นชิ้นๆ

ใส่ไม่ได้ก็ไม่ใส่ มู่เวยเวยเดินไปยังห้องแต่งตัวสุดอลังการของเขาอย่างไม่มีทางเลือก ค้นดูแล้วพบเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ จึงหยิบออกมาสวม เสื้อยาวไปถึงขาพอดี เลยไม่จำเป็นต้องใส่กางเกง

แต่จะออกไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ มู่เวยเวยล้างหน้าล้างตา แล้วมานอนบนโซฟาเล่นโทรศัพท์รอเขาตื่น

ขณะกำลังดูข่าวบันเทิง ก็มีข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือ มู่เวยเวยกดเปิดดู เป็นของฉู่เหยียน บนหน้าจอปรากฎข้อความสองคำ

สำเร็จ

ตาของมู่เวยเวยกระตุก เมื่อคืนเขาไปช่วยคนเหรอ? แล้วเย่ฉ่าวเฉินรู้หรือเปล่า?

จ้องมองโทรศัพท์อยู่สักพัก มู่เวยเวยก็ลบข้อความทิ้งไป เรื่องนี้สำเร็จแล้ว ก็เหลือแต่ขั้นตอนต่อไป เพียงแค่ให้เย่ฉ่าวเฉินนำแผนที่ขุมทรัพย์ที่เหลืออีกครึ่งแผ่นออกมา แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดน่ะสิ?

ทำอย่างไรดี?

แม้เขาจะบอกแล้วว่าเขาไม่ได้สนใจสมบัติอะไรนั่น แต่ก็เป็นเพียงการแสดงออกภายนอกเท่านั้น ภายในจิตใจไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ใครจะรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก และอีกอย่างหากเขาบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมถึงไม่บอกเธอว่าแผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นไม่สมบูรณ์?

ที่จริงเขาก็ยังสนใจสมบัตินั้นอยู่ เพียงแค่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เขาไม่ได้สนใจมากมายขนาดนั้น

ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ท้องของมู่เวยเวยร้องครวญครางเพราะความหิว แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยังไม่ตื่น มู่เวยเวยเริ่มเป็นกังวลปกติเขาไม่นอนตื่นสายขนาดนี้ หรือว่าเมื่อคืนเขาเหนื่อยมากเกินไป หลังจากที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วย?

เธอวิ่งไปที่ข้างๆ เตียง ตบหน้าเขาเบาๆ แล้วตะโกน “ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉิน”

เย่ฉ่าวเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาเขาคือขาเนียนสวย เสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย และใบหน้ากวนประสาทของหญิงสาว

เมื่อได้พบเธอทันทีที่ลืมตา ช่างดีจริงๆ

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณตื่นแล้ว” มู่เวยเวยเขย่าไหล่เขา วินาทีต่อมา โลกก็หมุนรอบตัวเธอ เธอถูกเย่ฉ่าวเฉินดึงลงมากอดบนเตียง

เอาล่ะ เมื่อพิจารณาจากพลังอันมากมายของเขา เธอคงคิดมากเกินไป

“เย่ฉ่าวเฉิน ทำไมคุณนอนขนาดนี้? ตอนนี้มันเที่ยงแล้วนะ” มู่เวยเวยถามอย่างสงสัย พลางมองใบหน้าหล่อเหล่าที่อยู่ใกล้ๆ

“เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อย ผมยังไม่ได้นอนทั้งคืน” เย่ฉ่าวเฉินพิงไหล่เธอ แล้วหลับตาพูดเบาๆ

หัวใจของมู่เวยเวยกระตุกวูบ เมื่อคืน ใช่เรื่องที่ฉู่เหยียนไปช่วยคนหรือเปล่า?

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ร้ายแรงไหม?”

“คนที่จับมามีคนมาช่วยไปแล้ว”

มู่เวยเวยแสร้งแปลกใจ “งั้น…ก็อันตรายใช่ไหม? หลังจากนี้”

เย่ฉ่าวเฉินลืมตาขึ้น ใช่จมูกถูกไปที่จมูกของเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างมีเสน่ห์ “วางใจได้ ผมไม่ปล่อยให้พวกเขาทำร้ายคุณได้อีก”

มู่เวยเวยอดทนต่อความใกล้ชิดเช่นนี้ไม่ไหว จึงผลักอกเขาออก “ลุกเถอะ เที่ยงละฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างงุนงง “เมื่อเช้าคุณยังไม่ได้ทานข้าวเหรอ?”

“คุณยังจะกล้าพูดแบบนี้อีก คุณฉีกเสื้อผ้าฉันขาดหมด ฉันจะออกไปได้ยังไง?” มู่เวยเวยราวกับลูกแมวกำลังโกรธ แววตาน่ารักจ้องมองเขา

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ โอบเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ทำให้ลมหายใจของเขาโอบอ้อมเธอไปด้วย แล้วพูดเบาๆ “ผมขอโทษ ผมผิดเอง เดี๋ยววันนี้ผมพาคุณไปซื้อเสื้อผ้า”

“ไม่ต้องพูดเลย คุณนอนให้เต็มอิ่มเถอะฉันจะลุกแล้ว จะไปที่ห้องแล้วก็เปลี่ยนชุด”

ศีรษะของเย่ฉ่าวเฉินซุกอยู่ในเส้นผมยาวสลวยของเธอ พูดอย่างเบื่อหน่าย “อยากขังคุณไว้ในบ้านหลังนี้ ให้คุณไปไหนไม่ได้”

มู่เวยเวยเชื่อเขา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉินคุณเป็นคนขี้งกตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณไม่ใช่แบบนี้”

“เมื่อก่อนผมเป็นยังไง?”

“อืม…ก็เย็นชา ยับยั้งชั่งใจได้ มีเหตุผล” มู่เวยเวยพยายามอย่างหนักเพื่อหาคำพูดดีๆ ถ้าไม่ถูกใจเขา พูดออกมาแล้วแน่นอนว่ามันต้องเป็นอะไรที่น่ารังเกียจและน่าอาย

เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังแววตาแพรวพราวของเธอ “คุณก็พูดเกินไป ผมยับยั้งตั้งใจตัวเองไม่ได้”

มู่เวยเวยยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยถาม “ดีกว่าภรรยาคุณหรือเปล่า?”

เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป รับรู้ได้ถึงความโกรธในดวงตาเธอ เธอหึงฉู่เหยียนงั้นเหรอ?

“พูดสิ ดีกว่าภรรยาคุณไหม?

สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินจริงจัง เขาพูดช้าๆ “อันที่จริง ผมถือว่าพวกคุณเป็นคนเดียวกันมาตลอด คุณคือเธอ เธอคือคุณ”

มู่เวยเวยตะคอก “แต่ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเราคือคนสองคน”

“ผมรู้ผมรู้ ผมมันเห็นแก่ตัวโอเคไหม?” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน

มู่เวยเวยตกใจกับความโกรธที่อยู่ในใจตัวเอง เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินรักฉู่เหยียนทำไมเธอถึงโกรธมากมายขนาดนี้ เธอควรจุดพลุยินดี เพราะเช่นนี้ในอนาคตเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก

ใช่แล้ว เธอไม่ควรโกรธ

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่ดวงตาของเธอ เขาหวั่นไหวอยู่เล็กน้อย เพราะเขาเดาไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ตัดสินใจทำอะไรอีกนะ?

มู่เวยเวยจงใจพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “คุณไปหยิบเสื้อให้ฉันหน่อย”

“ไปเอามาให้แล้วคุณจะหายโกรธใช่ไหม?”

“คุณไปเอามาแล้วค่อยว่ากันอีกที” มู่เวยเวยยังเซ็งไม่หาย

เย่ฉ่าวเฉินทำตัวหงองแหงง เขากลัวว่าเธอจะโกรธจริงๆ “คุณตอบผมมาก่อน”

“ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้? จะไปหรือไม่ไป? ถ้าไม่ไปฉันไปเอง” มู่เวยเวยกำลังจะลุกขึ้น เธอรู้จักนิสัยเขาดี ตราบใดที่เธอยังแต่งตัวแบบนี้ เขาไม่มีวันยอมให้เธอก้าวออกไปจากประตูแน่

เย่ฉ่าวเฉินจับแขนเธอไว้แน่น ปลอบโยนเธออย่างระมัดระวัง “โอเคๆ ผมจะไปผมจะไป”

มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นโกรธกันแน่ เธอก็บอกไม่ถูก

ก่อนที่เย่ฉ่าวเฉินจะลุกขึ้น เขาตีที่หน้าผากเธอเบาๆ จะสวมชุดนอนออกไปนอกห้อง ใส่อะไรไม่เข้าเรื่อง อาจมีคนเอาไปนินทาได้

ภายในห้องนอน มู่เวยเวยลุกขึ้น คว้าหมอนขึ้นมาระบายความโกรธ เธอทุบมันอย่างแรง “ไอ้คนบ้า สารเลว”

เธอเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ต้องพูดถึงคำหยาบคายพวกนี้ แต่ดูตอนนี้สิกลับใช้คำว่า “สารเลว ผู้ชายเฮงซวย” เรียกชื่อคน แต่ตอนนี้เธอโกรธเรื่องอะไร? ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้

หลังจากอาหารกลางวัน มู่เวยเวยยังคงวาดแบบตัวเองต่อไปให้เสร็จโดยไม่ได้ทำอย่างอื่น การคัดเลือกรอบแรกใกล้มาถึงแล้ว เธอไม่อยากถูกปัดตกตั้งแต่ในรอบแรก มันน่าขายหน้าเกินไป

และเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ไปบริษัทเช่นกัน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเขาก็เข้าไปที่ห้องหนังสือเพื่อจัดการธุระ สองสามวันนี้เขาไม่ได้เข้าบริษัท มีอีเมลงานค้างในกล่องจดหมายเต็มไปหมด

ทุกอย่างเป็นปกติ เว้นเสียแต่จดหมายหนึ่งในนั้นที่เย่ฉ่าวเฉินส่งถึงตัวเองไว้เพราะกลัวว่าจะหายไป นั้นคือภาพถ่ายและวิดีโอของลูก

คลิก ดาวน์โหลด เปิด

รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กตัวเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

เย่ฉ่าวเฉินนั่งดูอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน แล้วปิดมันลงอย่างไม่เต็มใจ ลูกของเขา เขาต้องตามหาแล้วพากลับมาให้ได้ แต่ทุกอย่างผ่านไปเนินนานขนาดนี้ เหยี่ยวราตรีที่อยู่ทางโน้นก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset