วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 206 ความลับ แผนที่ขุมทรัพย์ที่ไม่สมบูรณ์

อากาศร้อนมาก เมื่อเย่ฉ่าวเฉินลงมาเทน้ำ จึงถามมู่เวยเวยว่าอยากไปเดินเล่นที่ห้างมั้ย แต่เธอกลับปฏิเสธ

“ไม่ซื้อเสื้อผ้าหรอ” เย่ฉ่าวเฉินเลิกขากางเกงขึ้น และนั่งลงข้างๆเธอ

มู่เวยเวยตั้งใจวาดจนเสร็จ และยกภาพมาตรงหน้าเขา “จากสายตามืออาชีพของคุณ คุณว่าจะเข้ารอบรองชนะเลิศมั้ย”

เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้ามองงานออกแบบกระโปรงผ้าโปร่งบนกระดาษ การวาดเอวที่ละเอียด ลายเส้นอันนุ่มนวล ทำให้เห็นสไตล์ของกระโปรงตัวนี้อย่างโดดเด่น

“ดีมาก” เย่ฉ่าวเฉินพูดชม

สีหน้าตึงเครียดของมู่เวยเวยหายไป และปรากฏรอยยิ้มขึ้น “จริงหรอ งั้นก็ดี ฉันกลัวว่าจะถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกน่ะสิ”

“จะเป็นไปได้ไง ผมว่าจากความสามารถของคุณ อย่างน้อยก็ต้องเข้าถึงรอบสุดท้าย”

มู่เวยเวยพูดอย่างถ่อมตัว “คุณอย่ามาล้อเล่น ฉันเห็นรายชื่อคนสมัครในเน็ตต่างก็เป็นดีไซน์เนอร์แถวหน้าของประเทศ ฉันเป็นแค่นักศึกษาเพิ่งจบ ยังไม่มีประสบการณ์ แค่ผ่านรอบแรกไปได้ก็ดีมากแล้ว”

“คุณมีพรสวรรค์มาก และก็มีความคิดสร้างสรรค์ อย่าดูถูกตัวเองเชียว” เย่ฉ่าวเฉินเกิดประกายความคิดขึ้นมา “งั้นคุณไปทำงานแผนกดีไซน์ของบริษัทผมสิ จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มันน่าจะช่วยคุณได้นะ

มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ “ให้ฉันไปทำงานบริษัทคุณหรอ อย่ามาล้อเล่น”

“ไม่ได้รึไง อ้ออ” เย่ฉ่าวเฉินพูดเยาะเธอ “คุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่จะไปเป็นพนักงานของบริษัทผมได้ยังไง ไม่เหมาะสมเลยจริงๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆแล้วฉันอยากไปมาก แต่พี่ชายของฉันต้องไม่ยอมแน่ เขาเป็นเหมือนพ่อไม่มีผิด ไม่ชอบให้ฉันเป็นดีไซน์เนอร์”

“แค่คุณยินยอม เดี๋ยวผมคุยกับฉู่เซวียนเอง” เย่ฉ่าวเฉินมีแผนในใจ และเขามั่นใจว่าฉู่เซวียนต้องยอมแน่

“แต่คนบริษัทคุณรู้จักฉันกันหมด ถ้าฉันไปทำงานแผนกออกแบบตอนนี้ งั้น…” ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นข่าวลือจะเป็นยังไง

เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ เมื่อเขาพิจารณาแล้วจึงตอบว่า “งั้นก็ไปแผนกออกแบบในรูปแบบการเรียน”

มู่เวยเวยยังรู้สึกลำบากใจ จริงๆแล้วมู่เวยเวยชอบเพื่อนร่วมงานในแผนกออกแบบมาก และก็ชอบบรรยากาศนั้นมากเช่นกัน แต่ถ้าไปแล้วเธอก็กลัวว่าพวกเธอจะรู้จุดอ่อนอะไรอีก

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอลังเลจึงพูดต่อ “ที่พาคุณไปบริษัทที่จริงก็มีอีกความหมายหนึ่ง”

มู่เวยเวยเงยหน้ามองดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของเขา และถาม “อะไร”

“คนที่ขโมยแผนที่ขุมทรัพย์ยังขโมยไปไม่ครบ ผมกลัวว่ามันจะกลับมาอีก ถ้าจะทำอะไรผมก็ไม่เป็นไร แต่” สายตาอ่อนโยนของเขามองมาที่เธอ “แต่คุณเป็นจุดอ่อนที่สุดของผมตอนนี้ ผมกลัวพวกมันจะทำร้ายคุณอีก ดังนั้นก็เลยอยากพาคุณไปอยู่ข้างๆ ผมถึงจะสบายใจ”

มู่เวยเวยใจสั่นขึ้นมา เธอเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูด “โอเค แต่ประธานเย่จะให้อะไรฉันเป็นการตอบแทนล่ะ ฉันไม่ใช่คนที่จะเชิญได้ง่ายๆนะ”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเธอตอบตกลงก็สบายใจมาก จึงพูดเล่นกับเธอว่า “ใช่สิ คุณเป็นถึงว่าที่ดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียง ผมต้องทำตามความต้องการของคุณอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าดีไซน์เนอร์ฉู่ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ครับ”

มู่เวยเวยขมวดคิ้วคิด “อย่างน้อยก็ต้องเท่าคุณ”

“คุณแน่ใจนะ” เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้วถาม

“แน่ใจค่ะ เอาเงินเดือนเท่ากับคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ “งั้นคุณก็พลาดแล้ว เพราะผมไม่มีเงินเดือน”

มู่เวยเวยรีบลุกขึ้นมาทันที “เป็นไปได้ยังไง”

เย่ฉ่าวเฉินยักไหล่ “บริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลเป็นของผม แล้วผมจะเอาเงินเดือนไปทำไม”

“อ้าว ไม่ได้ๆ ฉันต้องได้เงินเดือน ฉันจะเลี้ยงตัวเอง”

เย่ฉ่าวเฉินขำกับประโยคสุดท้ายของเธอ “งั้นคุณอยากได้เท่าไหร่”

มู่เวยเวยยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว “เงินเดือนอย่างน้อยสามหมื่น ถ้าน้อยกว่านี้ไม่ไป”

เย่ฉ่าวเฉินจับนิ้วของเธอและดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของผม ผมจะให้คุณเพิ่มสองหมื่น เงินเดือนห้าหมื่นเป็นไง”

มู่เวยเวยเขยิบออกจากอ้อมกอดของเขา เธอยิ้มตาพริ้ม “เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้านายตั้งใจเพิ่มเงินเดือนให้ ขอบคุณมากค่ะประธานเย่”

เย่ฉ่าวเฉินพอใจมาก ถ้าอย่างนี้ก็จะสามารถเอาเธอมาอยู่ข้างกายได้ทุกวัน จะได้ไม่ต้องกังวลตอนที่เธอไปหาฉู่เซวียนทุกวันด้วย

“งั้นโทรหาฉู่เซวียนสิ เย็นนี้กินข้าวด้วยกัน แล้วผมจะบอกเขาเรื่องนี้เอง”

“กินอะไร” มู่เวยเวยกดโทรศัพท์พลางถามไปด้วย

“คุณอยากกินอะไร”

มู่เวยเวยพูดโดยไม่ลังเล “หม้อไฟ”

“คุณเพิ่งบอกว่าอากาศร้อนไม่อยากออกไปข้างนอก กินหม้อไฟไม่ร้อนรึไง” เย่ฉ่าวเฉินไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเธอ

“มันไม่เหมือนกัน หน้าร้อนกินหม้อไฟแล้วมันยังไง ฉันว่ามันเจ๋งมาก”

เย่ฉ่าวเฉินยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “โอเคๆ ตามที่คุณว่าเลย”

เมื่อฉู่เซวียนได้ฟังคำชวนของมู่เวยเวยทางโทรศัพท์ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ยังเป็นร้านเดิมที่ฉู่เซวียนกับมู่เวยเวยกินหม้อไฟด้วยกันคราวที่แล้ว เย่ฉ่าวเฉินจองห้องพิเศษ ตอนที่ทั้งคู่ถึงฉู่เซวียนก็กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้อง เมื่อเห็นทั้งคู่เข้ามาจึงพยักหน้ารับรู้ และพูดกับปลายสายว่า “รู้แล้ว แค่นี้นะ ผมมีธุระต่อ”

เก็บโทรศัพท์เสร็จ ฉู่เซวียนก็มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินนิ่งๆและพูด “สองวันก่อนผมไปเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาลคุณยังสลบอยู่เลย โชคดีที่ฟื้นแล้ว ไม่อย่างนั้นผมกับอาเหยียนคงรู้สึกผิดจนตาย”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มบางๆ “ผมดวงแข็งไม่ตายหรอก และเรื่องนี้ผมก็เป็นคนก่อขึ้น ผมช่วยเธอก็ถูกแล้ว”

“ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่พวกเราก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี ใช่มั้ยอาเหยียน” ฉู่เซวียนใช้สายตาอ่อนโยนมองไปที่มู่เวยเวย

มู่เวยเวยรีบพยักหน้า “ใช่ค่ะขอบคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำว่า ‘พวกเรา’ ก็รู้สึกขัดใจมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

ใครเป็น ‘พวกเรา’ กับใครกันแน่ น่าตลก

“ถ้าอยากขอบคุณล่ะก็” เย่ฉ่าวเฉินก็มองไปที่มู่เวยเวยเช่นกัน “เมื่อคืนเธอขอบคุณไปแล้ว และผมก็พอใจมาก”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา มู่เวยเวยกับฉู่เซวียนก็ตะลึงทันที เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว จึงเข้าใจดีว่าเขาหมายความว่ายังไง

มู่เวยเวยอายจนหน้าแดงจัด ถ้าอยู่กันลำพังพูดเรื่องน่าอายอย่างนี้ก็ว่าไป แต่ยังเอามาพูดต่อหน้าฉู่เซวียนอีก หน้าหนาจริงๆ

เธอยื่นมือไปหยิกขาเขาใต้โต๊ะ เมื่อเห็นคิ้วเขาขมวดขึ้นด้วยความเจ็บปวด จึงปล่อยอย่างพอใจ

ฉู่เซวียนยังโอเคอยู่ เพราะเขาเป็นผู้ชายจึงฟังเรื่องอย่างนี้มาชินแล้ว แต่พอประโยคนี้ออกมาจากปากของเย่ฉ่าวเฉิน และในนั้นก็เกี่ยวข้องกับฉู่เหยียน เขาจึงหงุดหงิดเล็กน้อย

“อยากกินอะไร เดี๋ยวผมสั่งเอง” ฉู่เซวียนเปลี่ยนบทสนทนา หยิบเมนูอาหารบนโต๊ะขึ้นมา พร้อมปากกา พลางถาม

“ฉันเอาผักกาด สาหร่ายทะเล เต้าหู้ บุก ลูกชิ้นกุ้ง ไส้เป็ก อ้อเนื้อวัวสูตรเฉพาะของที่นี่ก็ไม่เลว แล้วก็เห็ดเข็มทองกับรากบัวอีก หมูสามชั้นก็สั่งด้วยได้” มู่เวยเวยพูดรวดเดียวจบ แสดงให้เห็นถึงนิสัยการกินของเธอ

ฉู่เซวียนรีบหยิบปากกาติ๊กสั่งอย่างรวดเร็ว และถามหลังขีดเสร็จว่า “เอาอะไรอีก”

“สั่งหมดแล้วหรอ” มู่เวยเวยแปลกใจกับความเร็ว และความจำของเขา

“เรื่องง่ายๆไม่ใช่หรอ” ฉู่เซวียนพูดนิ่งๆ

มู่เวยเวยยกนิ้วให้ เธอลืมไปว่าผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นคนที่มีความทรงจำเป็นเลิศ จะใช้มาตรฐานของคนปกติวัดได้ยังไง

ฉู่เซวียนติ๊กสั่งอีกหลายอันพร้อมพูด “มาคราวก่อนเธอชอบไอศครีมร้านนี้มาหนิ สั่งให้แล้ว”

“ใช่ เกือบลืมแน่ะ เอาหม้อสองน้ำนะ ฉันไม่กินเผ็ด”

ฉู่เซวียนกระตุกริมฝีปาก “ไม่ลืมอยู่แล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ กินหม้อไฟแต่ไม่กินเผ็ดมันจะไปมีค่าอะไร”

“นี่ มีแต่พี่เท่านั้นแหละที่ติดรสเผ็ดน่ะ” มู่เวยเวยแซะเขา

เย่ฉ่าสเฉินวางมือไง้บนขาสองข้าง สายตาเย็นชามองไปที่ปฏิกิริยาของทั้งคู่ แล้วรู้สึกจุกในใจ เขาไม่น่าให้ชวนฉู่เซวียนมากินข้าวด้วยกันเลย แค่คุยโทรศัพท์ก็สิ้นเรื่องแล้ว

ฉู่เซวียนสั่งอาหารที่ตัวเองกับมู่เวยเวยชอบเสร็จแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาถามเย่ฉ่าวเฉิน “ประธานเย่จะกินอะไร”

“อะไรก็ได้” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาสี่คำ

ฉู่เซวียนไม่เห็นถึงความผิดปกติของเขา เพราะปกติเขาก็เย็นชาอยู่แล้ว

“งั้นก็สั่งแค่นี้ก่อน ไม่พอค่อยสั่งเพิ่ม”

มู่เวยเวยรู้สึกบรรยากาศเย็นชาขึ้น จึงถามทั้งคู่ว่า “ทั้งสองคนดื่มมั้ยคะ”

“ได้ ประธานฉู่ดื่มเหล้าอะไร”

“ผมอะไรก็ได้”

“งั้นเหล้าขาวแล้วกัน” เย่ฉ่าวตัดสินใจ

มู่เวยเวยขมวดคิ้วมองเขา “คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวาน จะกินเหล้าขาวได้ไง”

ความน้อยใจและไม่พอใจของเย่ฉ่าวเฉินหายไปทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “งั้นดื่มไวน์นิดหน่อยพอ”

“อย่างนี้ค่อยว่าไปอย่าง” มู่เวยเวยเรียกพนักงานเข้ามา “เอาไวน์แดงที่แพงที่สุดมาขวดหนึ่งค่ะ”

“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

มู่เวยเวยหันไปมองเย่ฉ่าวเฉินยิ้มๆ “คุณอย่าเสียใจสิ”

“คุณดื่มไหม”

มู่เวยเวยรีบส่ายหน้า “ไม่ๆ ฉันไม่ดื่ม เดี๋ยวเมาแล้วจะขายหน้า”

เย่ฉ่าวเฉินกับฉู่เซวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่ได้นัดหมาย เธอไม่ดื่มก็ดีแล้ว กลัวเสียงร้องเพลงของเธอจริงๆ

หม้อไฟกับเครื่องเคียงมาเสริฟเร็วมาก มู่เวยเวยไม่ได้กินหม้อไฟมานานมาก ระหว่างที่ชายทั้งสองยังคงดื่มอยู่ เธอก็ถกแขนเสื้อเริ่มลงมือกินคนแรก

เย่ฉ่าวเฉินบอกเรื่องการตัดสินใจเมื่อบ่ายนี้กับฉู่เซวียน และคนฟังก็ไม่เห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด “ให้อาเหยียนไปบริษัทคุณงั้นหรอ ไม่เหมาะสมมั้ง ผมยังอยากให้เธอเรียนทำธุรกิจกับผม”

“ทำธุรกิจเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้เธอกำลังเข้าร่วมการแข่งขันดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าระดับประเทศอยู่ รอให้การแข่งขันจบ ค่อยให้กลับ MK” เย่ฉ่าวเฉินพูดช้าๆอย่างมีเหตุผล เขาเช็คมาก่อนแล้วว่าการแข่งขันนี้ใช้เวลาสองเดือนกว่า กว่าการแข่งขันจะจบลง เขาก็อาจจะหาลูกเจอแล้ว ดังนั้นมู่เวยเวยก็ไม่ต้องกลับไปอีก

ฉู่เซวียนเงยหน้ามองมู่เวยเวยที่กินจนเหงื่อไหล และถาม “นี่เป็นความคิดของเธอหรอ”

มู่เวยเวยพยักหน้า พลางเป่าเนื้อร้อนๆที่เพิ่งคีบมา “ฉันอยากเข้าร่วมการแข่งขันนั้น ไม่งั้นที่ฉันไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายปีก็เสียเวลาเปล่าแล้ว”

ถึงมู่เวยเวยจะมีศักดิ์เป็นน้องสาว แต่พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะไม่ล่วงเกินการตัดสินใจของใคร แถมพวกเขายังมีหน้าที่ยิ่งใหญ่อยู่ ดังนั้นฉู่เหยียนจึงไม่อาจห้ามได้

แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่มีความสุขล่ะ ราวกับเห็นว่าน้องรักกำลังจะเข้าปากเสือต่อหน้าต่อตา

ระหว่างนั้นฉู่เซวียนก็ไม่ได้สนใจหม้อไฟน้ำสีแดงจัดตรงหน้ามากนัก และเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้กินมากมาย เขาช่วยมู่เวยเวยตักอาหาร พลางอัพเดทคสามคืบหน้าโครงการให้ฉู่เซวียนฟัง ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงลงตัวมาก

หลังจากฉู่เซวียนแยกกับทั้งคู่แล้ว เพราะดื่มจึงไม่สามารถขับรถได้ เขาจึงเรียกรถกลับคอนโด และมู่เวยเวยเพราะกินมากเกินไป เธอจึงลากเย่ฉ่าวเฉินไปเดินย่อยอาหารด้วยกัน”

“หื้ม กินเยอะขนาดนี้ ตอนกลางคืนต้องอ้วนแน่” มู่เวยเวยบ่น

“คุณผอมเกินไป อ้วนอีกหน่อยก็ดี” เย่ฉ่าวเฉินเดินโอบไหล่ของเธอ เพราะเป็นหนุ่มหล่อสาวสวย ทำให้ดึงดูดสายตาของทุกคนเป็นอย่างมาก

มู่เวยเวยไม่ขินกับสายตามากมายแบบนี้ “พวกเรากลับกันเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธออึดอัดจึงกว้กมือเรียกรถที่ขับตามมาข้างหลัง “กลับ”

เขาเป็นคนที่ทุกคนในเมือง A คุ้นหน้าดี และเขาก็ไม่อยากถูกคนพวกนั้นแอบถ่าย จากนั้นก็จะลงอินเทอร์เน็ตและมีปัญหาตามมามากมาย เพราะข่าวชีวิตส่วนตัวของเขาขายดีมาก

วันถัดมา บริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนล

เย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยมาที่แผนกออกแบบ ทำให้ทุกคนในแผนกรวมถึงเหอเหม่ยหลิงงงทันที

นี่เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท MK ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงมาอยู่แผนกออกแบบได้ เหมือนว่าสวนสนุกที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนกออกแบบนะ

“นี่คือคุณฉู่เหยียน จากบริษัท MK ฮ่องกง ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกันแล้ว เธอเพิ่งกลับมาจากการไปเรียนออกแบบที่ยุโรป ดังนั้นจึงจะมาแลกเปลี่ยนกับทุกคนที่แผนกออกแบบสักพัก” เย่ฉ่าวเฉินแนะนำคร่าวๆ

มู่เวยเวยยังแสดงออกอย่างนิ่งสงบ ทั้งๆที่ในใจตื่นเต้นไปหมด เธอยิ้มอ่อนโยนพูด “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อฉู่เหยียน ฉันจะมาเรียนรู้ที่แผนกออกแบบ ประธานเย่พูดว่าแลกเปลี่ยนน่ะเกินไปแล้ว หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้ดีนะคะ”

เธอได้รับเสียปรบมือ พร้อมกับเสียงตอบรับ “ยินดีต้อนรับ” ทำไมจะไม่น่าต้อนรับล่ะ นอกจากจะได้เห็นผู้หญิงสวยแบบนี้ทุกวันเป็นอาหารตาแล้วเธอยังมีศักดิ์ใหญ่โตอีก ทำให้ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าพูดกับมู่เวยเวย “ถ้ามีอะไรให้ไปหาผมห้องทำงาน”

“ขอบคุณค่ะประธานเย่” มู่เวยเวยพูดอย่างเกรงใจ

เย่ฉ่าวเฉินมองแล้วน่าขำ เธอเปลี่ยนท่าทีได้อย่างรวดเร็วจนอยากจะดึงเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจูบสักทีจริงๆ

“ผู้จัดการเหอออกมาหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินเดินออกไปจากแผนกออกแบบ และตามด้วยเหอเหม่ยหลิงเดินตามใบด้วยสีหน้าสงบ

“ฉู่เหยียนเป็นเพื่อนร่วมงานที่สำคัญมากของผม เธอมาที่แผนกออกแบบเพราะความสนใจ และเพราะต้องการเข้าร่วมการแข่งขันดีไซน์เนอร์ระดับประเทศที่กำลังจะจัดขึ้น คุณช่วยดูแลเธอหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินฝากฝังดิบดี

“ค่ะประธานเย่” เหอเหม่ยหลิงตอบอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ถาม “งั้นถ้าเป็นประชุมที่สำคัญมากอย่างคอลเลคชั่นชุดผู้หญิงในฤดูกาลหน้า จะให้เธอเข้าร่วมมั้ยคะ”

เย่ฉ่าวเฉินเห็นด้วยอย่างไม่ต้องคิด “ได้แน่นอน เธอสามารถเข้าร่วมได้ทุกการประชุม บริษัทMKไม่มีธุรกิจทางด้านเสื้อผ้า ไม่ขัดกับบริษัทเราอยู่แล้ว”

“เข้าใจแล้วค่ะ” สีหน้าเหอเหม่ยหลิงยังคงเดิม ขณะที่ในใจรู้สึกตกใจ หรือว่าคุณหนูพันล้านคนนี้จะมาแทนที่มู่เวยเวย ถึงเหอเหม่ยหลิงจะไม่สนใจเรื่องส่วนตัว แต่ทุกคนก็ต่างมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในใจ จึงทำให้เธอเกิดการคาดเดาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

หลังจากที่เย่ฉ่าสเฉินจัดการเสร็จ เขาก็กลับมาที่แผนกออกแบบอีกครั้ง พนักงานหลายคนที่เพิ่งทำความรู้จักกับมู่เวยเวยเสร็จ รีบเงียบ กลับไปนั่งที่ของตัวเองทันที

“ผมขึ้นไปก่อน” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเบา

“อืม” มู่เวยเวยนิ่งมาก คีพลุคประธานฉู่ของบริษัทMK เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ถุงความสัมพันธ์ของทั้งคู่

เย่ฉ่าวเฉินแอบจับมือเธอเบาๆในมัมที่คนอื่นมองไม่เห็น มู่เวยเวยเอาหนีออกทันที พร้อมจ้องเขาเขม็งเตือนถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อวานเย็น

เย่ฉ่าวเฉินทำอะไรไม่ได้นอกจากขึ้นไปเผชิญหน้ากับกองเอกสารมหึมา แต่การที่ทั้งคู่เป็นอย่างนี้ ก็ทำให้ได้รู้สึกถึงอารมณ์แอบมีความรักในออฟฟิศ ตื่นเต้นดีเหมือนกัน

เมื่อวานเย็น มู่เวยเวยกับเขาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ระหว่างนั้นก็ขอเขาว่า ตอนอยู่บริษัทเธอจะเป็นฉู่เหยียน ผู้ดูแลจากบริษัทMK มีความสัมพันธ์กับเขาแค่เพื่อนร่วมธุรกิจ”

ห้องทำงานแผนกออกแบบ

พนักงานคนอื่นต่างตื่นเต้น แต่เหอเหม่ยหลิงกลับรู้สึกกดดันมาก คนที่มีเกียรติขนาดนี้มาที่แผนกทำให้เธอทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

คำถามแรกคือ จะให้เธอนั่งตรงไหน

จะให้นั่งกับคนมากมายในออฟฟิศก็ไม่เหมาะ แต่ห้องส่วนตัวก็มีแค่ของเธอคนเดียว

ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น มู่เวยเวยก็พูด “ผู้จัดการเหอใช่มั้ยคะ ฉันนั่งตรงนั้นได้มั้ย”

เหอเหม่ยหลิงมองตามสายตาของเธอ ที่ตรงนั้นเป็นที่นั่งเก่าของมู่เวยเวย ตั้งแต่เธอออกไปที่ตรงนั้นก็ว่างมาตลอด เพราะไม่มีคนเข้ามาในแผนกออกแบบ

“ได้ค่ะ ถ้าประธานฉู่ไม่รังเกียจที่คนวุ่นวายสักหน่อย” ท่าทีของเหอเหม่ยหลิงนุ่มนวลมาก

มู่เวยเวยส่งยิ้มหวาน “ผู้จัดการเหอไม่ต้องเกรงใจค่ะ ไม่ต้องเรียกฉันประธานฉู่ เรียกอาเหยียนก็ได้ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงคุณมานานแล้ว คุณเป็นคนมีความสร้างสรรค์ในการออกแบบ และก็เป็นคนที่ยึดตลาดได้ จากนี้รบกวนชี้แนะด้วยนะคะ”

เหอเหม่ยหลิงรีบบอกว่าไม่กล้า จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่งให้คนช่วยจัดโต๊ะ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง มู่เวยเวยก็นั่งลงที่ตำแหน่งเดิมของตัวเองอีกครั้ง ทำให้อารมณ์ต่างๆประดังเข้ามา

ที่นี่เป็นก้าวแรกที่เธอเข้ามาในวงสังคม และมันก็ให้ความทรงจำที่สวยงามกับเธอมากมาย

ชั้นบน

เย่ฉ่าวเฉินยุ่งจนหัวหมุน เมื่อใกล้เวลาเที่ยงเขาถึงโทรหามู่เวยเวย

เขาเชื่อว่าเธอปรับตัวได้เร็ว เพราะตรงนั้นเป็นที่ที่เธอต่อสู้มาก่อน

เสียงดังอยู่สองตู้ดก็มีการรับสาย “ฮัลโหล”

“ตอนเที่ยงกินข้าวไหน”

มู่เวยเวยกำลังแก้งานออกแบบของตัวเองอยู่ พลางพูดว่า “ตามใจ”

“งั้น…เราสั่งอาหารที่โรงแรม เดี๋ยวพักแล้วขึ้นมากินด้วยกัน

“อืม โอเค” มู่เวยเวยพูดจบก็วางสาย ทำให้เย่ฉ่าวเฉินโมโหแทบบ้า เขายังอยากคุยด้วยอีกหน่อย ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจเขาเลยถ้ามีงาน

ทันใดนั้นเลขาหลิวก็มาเคาะประตู “ประธานเย่ คุณซูโทรมาเชิญคุณไปกินข้าวเย็นค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินนิ่งค้าง “คุณซูไหน”

เลขาหลิวอธิบาย “พรีเซนเตอร์ที่เราเลือกรอบที่แล้วค่ะ เธอโทรมาหลายรอบแล้ว แต่คุณไม่ได้เข้ามาทำงาน วันนี้เธอโทรมาเชิญอีก บอกว่าอยากขอบคุณคุณ”

“ไม่ไป” เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด พวกเธอไม่ได้อยากขอบคุณ แต่อยากใช้โอกาสนี้เพื่อให้ได้เซ็นสัญญามากกว่าเดิมมากกว่า

“โอเคค่ะ งั้นฉันจะแจ้งปฏิเสธให้ แล้วก็มีอีกเรื่อง คืนพรุ่งนี้สมาคมการกุศลในเมือง A จะจัดการประมูลค่ะ เชิญคุณให้ไปเข้าร่วม”

สมาคมการกุศลหรอ

เขาคิดอย่างรวดเร็วและตอบ “อันหลังนี้ไป” ถึงเขาจะรู้ว่าถ้าไปก็เท่ากับเอาเงินไปทิ้ง แต่การที่ได้ขึ้นชื่อว่าทำการกุศลก็มีผลดีต่อบริษัทไม่น้อย

“โอเคค่ะ งั้นฉันจะไปเตรียมให้”

ตอนเที่ยง มู่เวยเวยเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานผู้บริหารอย่างร่าเริง เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาขบขัน “มีเรื่องอะไรถึงได้อารมณ์ดีขนาดนั้น”

“งานออกแบบของฉัน ผู้จัดการเหอบอกว่าไม่แย่” มู่เวยเวยพูดอย่างถ่อมจน ที่จริงแล้วผู้จัดการเหอบอกว่าดีมาก มีพรสววรค์มาก

“ผมบอกแล้ว คุณเป็นว่าที่ดีไซน์เนอร์ชื่อดัง” เย่ฉ่าวเฉินกดโทรศัพท์ “เสี่ยวหวัง เอาข้าวเข้ามา”

มู่เวยเวยนั่งรอที่โซฟาอย่างรู้หน้าที่ พร้อมหุบยิ้มลง

เสี่ยวหวังเป็นผู้ช่วยของเย่ฉ่าวเฉิน ครู่เดียวเขาก็เข็นรถเข็นอาหารเข้ามา บนรถเข็นมีจานอาหารวางอยู่พร้อมที่ครอบ

“ประธานเย่ ประธานฉู่ อาหารเที่ยงมาแล้วครับ” เสี่ยวหวังพูดอย่างนอบน้อม

เย่ฉ่าสเฉินวางเอกสารในมือลง เดินไปตรงหน้าเขา “โอเค นายก็ไปกินข้าวเถอะ”

เสี่ยวหวังตอบรับและเดินออกไป

เย่ฉ่าวเฉินเปิดฝาอาหารออกทีละชนิด นอกจากกับข้าวจะมีปลากะพงนึ่งแล้ว อย่างอื่นก็เป็นผักที่มีรสไม่จัด แต่สีและรูปลักษณ์น่ากินมาก

“เมื่อวานเย็นกินเนื้อไปเยอะมาก วันนี้กินอะไรเบาๆหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินตักข้าวให้เธอ

มู่เวยเวยเหนื่อยมาทั้งวันจึงรับถ้วยมาอย่างไม่เกรงใจ พร้อมกับเริ่มกินข้าว

“คืนพรุ่งนี้มีงานการกุศล คุณอยากไปมั้ย” เย่ฉ่าวเฉินถามความเห็นเธอ

“สนุกมั้ย” มู่เวยเวยกินไปเล่นไป

เย่ฉ่าวเฉินพูดตามตรง “อืมม น่าจะไม่ค่อยสนุก เป็นพวกภาพอักษรโบราณ ถ้าให้พูดกันตรงๆ นักธุรกิจอย่างเราทุ่มเงินไปเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น”

“งั้นฉันไม่ไป ไม่น่าสนใจเลย ฉันขออยู่บ้านดูละครดีกว่า” มู่เวยเวยไม่ชอบไปที่วุ่นวาย

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้บังคับ ที่แบบนี้พาเธอไปคงไม่สนุกแน่ และความสวยของเธอคงเป็นที่ดึงดูดสายตาของใครๆ ให้เธออยู่บ้านปลอดภัยที่สุด

…..

งานการกุศล

ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินใส่ชุดสูท รองเท้าหนังอย่างสง่างามปรากฏตัวขึ้นที่หน้างาน นักข่าวก็กดชัตเตอร์อย่างรัวเร็ว ตอนนั้นเขาคิดว่าโชคดีมากที่มู่เวยเวยไม่มา ไม่อย่างนั้นเธอคงเลี้ยวกลับทันทีที่เห็นกล้องแน่

ที่บังเอิญก็คือ เย่ฉ่าวเฉินได้เจอกับคนที่คุ้นเคยที่ไม่ได้เจอมานานอย่างหนานกงเฮ่า

ไปที่ไหนก็เจอจริงๆ

เย่ฉ่าวเฉินมองผ่านเขาเดินเข้าไปในงาน ตอนที่เขาเดินไปถึงบันได ผู้หญิงตรงหน้าไม่ระวังจึงสะดุดบันไดเข้า เย่ฉ่าวเฉินจึงคว้าเอวเธอไว้

เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันมาเห็นหน้าคนที่ช่วยตัวเองไว้ สายตาก็เปล่งประกายทันที “ขอบคุณค่ะประธานเย่”

เย่ฉ่าวเฉินมองเธอแล้วรู้สึกคุ้นหน้ามาก แต่ก็ไม่รู้จัก เขาพยักหน้าให้เธอโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินต่อไป

ผู้หญิงคนนั้นยกกระโปรงเดินตามหลังเขาไปด้วยความผิดหวัง แต่เขาเดินเร็วเกินไป ทำให้เธอตามไม่ทัน

เย่ฉ่าวเฉินเจอคนคุ้นหน้าไม่น้อยในงาน เมืองA ใหญ่ขนาดนี้ คนที่มาในงานนี้ได้มีแต่มหาเศรษฐี และบังเอิญมากที่ส่วนใหญ่เป็นคนกลางที่เขาเชิญให้ฉู่เซวียน

เขาทักทายคนคุ้นเคยหลายคนเสร็จแล้วก็นั่งลงตรงที่ที่เขียนชื่อเขาไว้ จากนั้นจางเห่อที่ถึงนานแล้วก็ส่งคู่มือการประมูลให้เขา

“คุณชายครับ ตั้งแต่คุณเข้ามามีผู้หญิงคนหนึ่งตามคุณตลอด”

จางเห่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินตั้งแต่เดินเข้ามา ดังนั้นเขาจึงเห็นผู้หญิงที่ตามเขาไม่ห่างด้วยเช่นกัน

“ไม่รู้จัก” เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างเย็นชาจากนั้นก็เปิดคู่มือไปเรื่อยๆ ในหนังสือปรากฏเครื่องประดับทรงคุณค่า และภาพวาดของคนดังที่จะมีการประมูลในวันนี้

เมื่อเปิดมาถึงหน้าสุดท้าย สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็หยุดไว้ทันที มันเป็นปิ่นปักผมที่เกาะสลักเป็นลายดอกนุ่น

ข้างล่างเขียนชื่อปิ่นปักผมนี้ไว้ว่า ปิ่นหิมะเขียวแฝงความหวาน

เขานึกถึงผมยาวสลวยของมู่เวยเวย และผิวขาวๆของเธอ ถ้าปักปิ่นอันนี้ลงไปต้องสวยมากแน่

โอเค วันนี้เขาต้องได้มัน

เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว การประมูลก็เริ่มขึ้น

ก่อนอื่นเจ้าภาพก็ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน โดยเงินที่ได้ทั้งหมดในวันนี้จะมอบให้กับสภากากาด เพื่อสร้างโรงเรียนให้กับเด็กบนดอย และพัฒนาถนน

ของประมูลชิ้นแรกเป็นชามหยก เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สนใจจึงส่งข้อความหามู่เวยเวยแทน

ทำอะไรอยู่

หลังจากส่งไปหลายนาที ขณะที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ และกำลังจะส่งอีกข้อความไป มู่เวยเวยก็ส่งรูปมา เป็นรูปเธออยู่ในสระว่ายน้ำ ผมของเธออยู่ในหมวกว่ายน้ำ ใส่ชุดว่ายน้ำ หันข้าง และใบหน้าของเธอก็ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่

เย่ฉ่าวเฉินคิดถึงบทกลอนบทหนึ่งขึ้นมาทันที ดอกบัวเพิ่งออกดอก แมลงปอต่างมาตอม และเธอก็เป็นดอกบัวดอกนั้น

เขารู้สึกเสียใจที่มางานการกุศลน่าเบื่อแบบนี้ ถ้าอยู่ว่ายน้ำกับเธอจะดีขนาดไหน

ขณะที่เขามองเหม่ออยู่ เธอก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง คุณอยู่ในงานไม่ใช่หรอ

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้มขึ้นมา และตอบเธออย่างรวดเร็ว น่าเบื่อมาก ว่ายน้ำกับคุณน่าจะสนุกกว่า

งั้นคุณก็เบื่อต่อไปเถอะ ฉันจะไปว่ายน้ำต่อแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินอ่านข้อความ เก็บโทรศัพท์ และเงยหน้าขึ้นมา ด้วยสายตาเย็นชาราวกับหิมะ ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด

ต่อไปเป็นเครื่องประดับ

“นี่เป็นสร้อยมุกที่เจ้าหญิงไดอาน่าของประเทศอังกฤษเคยใส่มาก่อน มุกทุกเม็ดเป็นมุกจากทะเลใต้อันล้ำค่า มีสีใสหายากมาก มุกทุกเม็ดมีขนาดเท่ากัน….” เจ้าภาพกล่าวชมอย่างมากมาย ก่อนจะปิดท้ายด้วย “สร้อยมุกเส้นนี้เริ่มประมูลที่ 2 ล้านครับ”

มีเสียงคนประมูลดังขึ้นอย่างรวดเร็ว สองล้านหนึ่งแสน สองล้านสองแสน ทุกครั้งราคาจะบิดขึ้นทีละแสน จนสุดท้ายมีเสียงคนตะโกนขึ้นสี่ล้าน ทุกคนต่างมองไป ที่แท้ก็เป็นคนของหนานกงเฮ่า

เย่ฉ่าวเฉินหันไปมอง หนานกงเฮ่าอยากได้งั้นหรอ

งั้นเขาจะปล่อยไปได้ยังไง

เจ้าภาพมีสีหน้าตกใจ รีบพูด “คุณหนานกงสีล้านครั้งที่หนึ่ง สี่ล้านครั้งสอง…”

ตอนที่กำลังจะพูดครั้งที่สามปิดประมูล จางเห่อก็ยกมือขึ้น และเพิ่มราคาอีกหนึ่งล้าน

“คุณเย่ขอประมูลห้าล้าน” น้ำเสียงของเจ้าภาพเปลี่ยนทันที

หนานกงเฮ่าแสยะยิ้มมองเขา จากนั้นก็ประมูลต่อ ห้าล้านห้าแสน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องได้สร้อยเส้นนี้มา ใกล้จะถึงวันเกิดแม่เขาแล้ว เขาอยากเอาสร้อยมุกนี้เป็นของขวัญวันเกิดให้แม่ของเขา

เฉินชูฮว่าไม่ค่อยสนใจกระเป๋าและเสื้อผ้า แต่ชอบมุกมาก ถ้าอยากเอาใจเธอ แค่ซื้อไข่มุกล้ำค่าไปให้ เธอก็จะดีใจไปหลายวัน และไม่ว่าเขาจะขออะไร เธอก็จะให้ทันที

แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ปล่อยให้เขาได้ไป ไม่ว่าเขาจะประมูลแค่ไหน เย่ฉ่าวเฉิยก็จะเพิ่มราคาอีกทีละล้านเสมอ

บรรยากาศการประมูลร้อนแรงขึ้นทันที ราคาสร้อยมุกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หนานกงเฮ่ากัดฟันประมูลไปที่สิบล้าน ทุกคนต่างหันมามองที่เย่ฉ่าวเฉิน แต่ผลลัพธ์ดันไม่เป็นดังคาด เพราะเขาส่ายหน้า แสดงว่ายอมแพ้

เจ้าภาพพอใจกับราคานี้มาก “สิบล้านครั้งที่หนึ่ง สิบล้านครั้งที่สอง สิบล้านครั้งที่สาม” เขาเคาะแป้นประมูล “ขอบคุณคุณหนานกงเฮ่าสำหรับน้ำใจ สร้อยเส้นนี้เป็นของคุณครับ”

เสียงปรบมือดังก้องไปทั้งงาน นั่นถึงทำให้หนานกงเฮ่าสงบลงมาได้ และคิดได้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาซื้อสร้อยมุกในราคาห้าเท่า

หนานกงเฮ่ามองเย่ฉ่าวเฉินอย่างโกรธเคือง และก็เห็นเขาส่งยิ้มเยาะมา

เย่ฉ่าวเฉินตั้งใจแน่ๆ เขาไม่ได้อยากได้สร้อยเส้นนี้ แต่เขาแค่อยากดึงราคาประมูลเท่านั้น

แม่ง โดนไปสิบล้าน เขาจะซื้อสร้อยอะไรก็ได้ แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว

เมื่อได้กวนหนานกงเฮ่า เย่ฉ่าวเฉินก็อารมณ์ดีมาก ของชิ้นต่อไปเขาไม่ได้สนใจ จึงมองไปเวทีเหม่อๆ เขากำลังคิดถึงเอกสารที่เขาเห็นในวันนี้

จนสุดท้ายก็ถึงคิวปิ่นปักผมเขียวหิมะแฝงความหวาน เย่ฉ่าวเฉินดึงสติกลับมาทันที

ปิ่นอันนั้นส่องประกายสีเขียวมรกตอยู่ในกล่องจัดแสดง ราวกับเล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าแต่ก็สวยงามให้ฟังอยู่

“นี่เป็นของประมูลชิ้นสุดท้ายของวันนี้ครับ ปิ่นปักผมเขียวหิมะแฝงความหวาน ทำจากมรกตชั้นสูง หนัก 10 กรัม ปิ่นชิ้นนี้เป็นปิ่นที่จักรพรรดิ์คังซีมอบให้กับนางสนมคนโปรด มันถูกส่งต่อกันมาจนถึงตอนนี้ เริ่มประมูลที่หนึ่งล้าน”

เจ้าภาพพูดจบ ข้างล่างก็เกิดความเงียบขึ้น เพราะประมูลกันมาพอสมควรแล้ว ทำให้ไม่ค่อยมีใครสนใจปิ่นหยกอันนี้

เย่ฉ่าวเฉินส่งสัญญาณให้จางเห่อ จากนั้นจางเห่อก็ยกป้ายประมูลขึ้น

เจ้าภาพกำลังกังวลว่าของชิ้นนี้จะไม่ถูกประมูล แต่เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินยกมือขึ้นด้วยราคาสองล้าน เขาก็รู้สึกชื่นใจมาก รีบพูด “คุณเย่ประมูลสองล้าน มีใครประมูลต่อมั้ยครับ”

หนานกงเฮ่าอยากประมูลต่อมาก แต่เขาไม่รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินอยากได้จริงๆ หรือว่าอยากล่อเหยื่ออย่างเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ประมูลต่อ และทุกคนก็ถอยทัพไป เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินประมูล ไม่มีใครอยากมีปัญหากับคนที่มีอำนาจรอบด้านแบบนี้ที่นี่

ผู้จัดพูดออกไปพักหนึ่งก็ไม่มีคนประมูลต่อ ดังนั้นเย่ฉ่าวเฉินจึงใช้เงินสองล้านบาทซื้อปิ่นหยกอันนี้ไป

งานประมูลอันร้อนแรงจบลง รวมเงินบริจาคทั้งสิ้นยี่สิบหกล้านบาท และคนที่ร่วมบริจาคมากที่สุดก็คือหนานกงเฮ่า ดังนั้นผู้จัดจึงกล่าวชื่นชมหนานกงเฮ่าอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่มีคนมีเกียรติมากมาย เขาคงชิงออกจากงานไปนานแล้ว ช่างน่าอายจริงๆ

เมื่องานจบลง เย่ฉ่าวเฉินกับจางเห่อก็เดินออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกผู้หญิงที่รอหน้าประตูอยู่นานแล้วดักไว้

“ประธานเย่คะ” เธอส่งยิ้มหวานให้เย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างเย็นชา และพูดอย่างไม่ไว้หน้า “พวกเรารู้จักกันหรอ”

เธออึกอักอยู่ครู่หนึ่ง และรีบอธิบาย “ประธานเย่ลืมไปแล้วหรอคะ ฉันตระกูลซู เป็นพรีเซนเตอร์ที่คุณเลือกเมื่อไม่นานมานี้”

อ๋อ ถึงว่าเหมือนเคยเจอที่ไหน

“มีอะไร”

“เมื่อกี้เกือบล้มขายหน้า โชคดีที่ได้ประธานเย่ช่วยไว้ ฉันเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้มั้ยคะ” คุณซูมองเขาอย่างกระตือรือร้น

“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องกินข้าวก็ได้” เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธ

คุณซูไม่ยอมปล่อยวางง่ายๆแค่คำพูดสองประโยคของเขา เขาเป็นบ่อเงินบ่อทอง เพียงแค่เธอได้เขาก็ไม่ต้องไปเต้นกินรำกินในวงการบันเทิงอีก

“สำหรับประธานเย่อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับฉันเป็นเรื่องใหญ่มาก ประธานเย่ช่วยมาเป็นเกียรติให้หน่อยได้มั้ยคะ” คุณซูแสดงสีหน้าและน้ำเสียงยั่วยวนออกมา

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset