วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 65 ชายผู้ลึกลับ

ไม่ทันตั้งตัวก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง ชายตาม่วงมีท่าทีขึงขังและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า ” ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา?ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน ”

ในขณะเดียวกันดวงตาสีม่วงที่ชวนน่าหลงใหลของเขา ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่น่าพิศวง

มู่เวยเวยตกใจสั่นกับเสียงของเขา แต่เธอก็ยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน เธอแค่ต้องการรู้เรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นเธอต้องคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว !

“ฉันไม่ไป คุณคือใครกันแน่ ?” มู่เวยเวยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ปัง——”ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง

มู่เวยเวยหันกลับไปดู เธอตกใจมากจนขาอ่อนแรง ประตูที่เธอเห็นมันเปิดอยู่ จู่ๆมันก็ปิดไป

นี่…..

ทำไมอยู่ๆประตูถึงปิดลง ?

ใบหน้าของเธอซีดลงและขนลุกขึ้นมา……

เมื่อเห็นสีหน้าที่หวาดกลัวของเธอ ชายตาสีม่วงมองด้วยสีหน้าเศร้าหมองพลางพูดอย่างเย็นชาว่า “ เธอสมควรได้รับ ”

มู่เวยเวยตกใจกลัวแทบตาย หลังจากที่เธอได้ยินเขา สติเธอก็กลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีใครบางคนเคยใช้กับเธอ

ยังไงก็ตาม อยู่ๆมู่เวยเวยก็นึกขึ้นมาได้ คำพูดนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่คล้ายกับเย่ฉ่าวเฉิน ?

“คุณเป็นใคร ? ทำไมถึงปรากฎตัวอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ คุณมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง ?” มู่เวยเวยเกิดคำถามขึ้นมากมาย เธอคิดและคาดเดาไปต่างๆ

อย่างเช่น เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเย่ฉ่าวเฉิน…..

หรือว่าเขามีความขัดแย้งกับตระกุลเย่…..

เขา……เหอะ หรือว่าเขาจะเป็นคนที่มาจากดาวอื่น…..

ใบหน้าของชายตาม่วงเต็มไปด้วยอารมณ์เคียดแค้นและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “เธอรู้หรือไม่ว่ายิ่งเธอรู้มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งตายเร็วขึ้น ในเมื่อเธอรู้ความลับของฉันแล้ว เธอก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนฉัน…..”

มู่เวยเวยจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ดวงตาสีม่วงที่ชวนให้หลงใหล เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา มันทำให้บรรยากาศรอบๆดูเย็นลง มันทำให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมา

ผู้ชายคนนั้น……น่ากลัวจริงๆ

แค่มองเฉยๆ ก็ทำให้ขาของเธอนั้นอ่อนแรง…..

มู่เวยเวยกำหมัดแน่นและพูดอย่างใจเย็นว่า “ฉันไม่กลัวคุณหรอก ฉันจะเรียกเย่ฉ่าวเฉินมาที่นี่ ฉันจะดูซิ ครั้งนี้เย่ฉ่าวเฉินยังจะว่าไงอีก !”

พูดจบ มู่เวยเวยก็หันกลับมา เดินกลับไปที่ประตู

ทันใดนั้นก็มีเงาผ่านข้างหลังมาขวางทางข้างหน้าเธอไว้

“กรี๊ดดดดดด…..ผะ ผี !!” มู่เวยเวยหลับตาปี๋ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ

“หุบปาก !!”เสียงของชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น

มู่เวยเวยตกใจจนรีบยกมือขึ้นปิดปาก ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เธอจ้องมองไปที่ชายตรงหน้า ดวงตาสีม่วงคู่นั้นดูลึกลับราวกับว่าจะดูดวิญญาณคนได้

ในตอนนี้ มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงแวมไพร์ในการ์ตูน

ดวงตาของพวกเขาจะเปล่งประกายประหลาดเช่นนี้

“คุณไม่ใช่คนใช่ไหม ? คุณเป็นแวมไพร์หรือเปล่า ? “มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง ก่อนจะถามด้วยความตื่นตระหนกพลางเดินถอยกลับไป

ดวงตาสีม่วงเลิกคิ้วขึ้น และพูดกลับไปว่า “ฉันไม่ใช่ผี แต่ฉันเป็นเซียน !”

เซียน ?

ให้ตายเถอะ นี่คิดว่าถ่ายหนังอยู่รึไง ?

มู่เวยเวยกระตุกยิ้มมุมปาก พลางพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความปรานี “พี่ชาย ถึงแม้ว่าคุณจะถามใครสักคนเพื่อหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือ?คุณพูดว่าคุณเป็นเซียน งั้นคุณก็ต้องอยู่บนสวรรค์สิ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”

ชายตาม่วงไม่ได้พูดอะไร มู่เวยเวยเห็นท่าทีแบบนั้น จึงพูดต่อไปว่า “ฉันคิดว่าคุณเป็นผีที่ยังไม่ได้ไปเกิด

คุณไม่รู้สาเหตุการตายหรือไม่ก็ยังมีอะไรที่ทำให้คุณไปไหนยังไม่ได้ ฉันพูดถูกใช่ไหม ?”

ชายตาม่วงไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาจ้องมองไปที่เธอพลางพูดหัวเราะออกมาว่า “ข้อสันนิษฐานของเธออยู่ตรงไหนกัน?”

มู่เวยเวยชี้ไปที่พื้น พร้อมพูดด้วยเสียงที่แน่วแน่ว่า “ถ้าเป็นคนจะต้องมีเงาในตอนกลางคืน แต่นี่คุณไม่มี งั้นแสดงว่าคุณเป็นผี !”

“หึ….”.ชายตาม่วงกะตุกริมฝีปากเล็กน้อย พลางพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ตรรกะความคิดของเธอ….ช่างประหลาด….โง่เขลามาก !”

“ถ้างั้นคุณบอกฉันมาตอนนี้ คุณ…..”มู่เวยเวยยังพูดไม่จบ กำลังจะถามบางอย่าง อยู่ๆเธอก็ได้ยินน้ำเสียงที่กังวลของคุณอาหวังดังออกมาจากข้างนอก เขามาที่นี่เพราะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว

“คุณหนู คุณหนู…..”

มู่เวยเวยมองไปที่ชายตาม่วง ในขณะเดียวกันเสียงของคุณอาหวังก็ดังเข้ามาเรื่อยๆ คงไม่ดีแน่ถ้าคุณอาหวังเห็นเธอเข้ามาในเขตต้องห้ามนี้

“ฉันต้องไปแล้ว ไว้มีเวลาเราค่อยคุยกัน “มู่เวยเวยพูดพลางข้ามเขาไปที่ประตูและรีบวิ่งลงไปข้างล่าง

บนชั้นสอง ฉันเห็นคุณอาหวังยืนเคาะประตูเรียกฉันอยู่หน้าห้อง

“คุณอาหวัง ฉันอยู่นี่ “มู่เวยเวยพูดพลางเอื้อมมือไปแตะเขา

คุณอาหวังหันกลับมามองเธอ และถามด้วยความกังวลว่า “คุณหนู ดึกขนาดนี้แล้ว คุณไปอยู่ไหนมา ? ทำไมไม่อยู่ในห้อง ?”

มู่เวยเวยรู้สึกผิดเล็กน้อยก่อนจะโกหกไปว่า “ฉันไปเดินเล่นในสวนมา พอกลับมาก็ได้ยินเสียงคุณเรียกฉัน มาหาฉันดึกดื่นขนาดนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”

“อ่อใช่ !”คุณอาหวังพยักหน้า “คุณชายกำลังรอคุณที่ห้อง เขาบอกให้ฉันพาเธอไปพบเขา”

เย่ฉ่าวเฉินตามหาฉัน ?

มู่เวยเวยตกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ” โอเคค่ะ ฉันทราบแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ ”

“ครับ ”

เมื่อเดินไปถึงประตูห้องของเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นเขานั่งเอนอยู่บนเตียง

เมื่อเห็นเขาในชุดคลุมอาบน้ำเผยให้เห็นกล้ามหน้าอกอันสวยงาม เธอรีบละสายตาและลังเลว่าจะเดินไปดีไหม

” มานี่ ” เย่ฉ่าวเฉินเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา” ไม่งั้นฉันจะไปเชิญเธอด้วยตัวเอง ”

เย่่ฉ่าวเฉินพูดคำว่า ” เชิญ ” แก้มของมู่เวยเวยก็แดงระเรื่อขึ้นมา เธอเดินเข้าไปที่ห้องนอนและยืนเว้นระยะห่างจากเตียงสองเมตร เธอถามอย่างใจเย็นว่า คุณเรียกฉันมามีธุระอะไร ?

“ทำไมไปยืนไกลขนาดนั้น กลัวฉันจะทำอะไรเธอรึไง ? “มองไปที่เธอด้วยท่าทีระมัดระวัง รู้สึกได้ถึงไฟในใจของเย่ฉ่าวเฉิน เขาพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ดูถูก

“เย่ฉ่าวเฉินฉันขอให้คุณพูดดีๆหน่อย ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นคนขี้ขลาด งั้นฉันก็จะออกไปเดี๋ยวนี้” เธอมองเย่ฉ่าวเฉินด้วยท่าทีรังเกียจ !

มู่เวยเวยพูดด้วยความโกรธ หันหลังเตรียมจะออกไป ในใจก็บ่นชายคนนี้ เขาชอบทำให้เธอรู้สึกอับอายและอึดอัด ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำเวรทำกรรมอะไรกับเขา !

……

มู่เวยเวยตอนอยู่บนเตียง เธอมองเย่ฉ่าวเฉินด้วยแววตาเกลียดชัง พลางหาข้อแตกต่างระหว่างชายตาม่วงกับเขา

ดูเหมือนว่านอกจากดวงตาที่แตกต่างกันแล้ว ลักษณะอื่นของพวกเขาแทบจะเหมือนกันหมด ในแง่ของบุคลิกภาพเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนใจร้อน ส่วนชายตาม่วงเป็นพวกเยือกเย็น แต่ว่าทั้งสองก็มีจุดที่แตกกต่างกันมาก นั่นคือชายตาม่วงนั้นมีความสามารถแปลกๆ

ว่าทั้งสองคนใช่คนเดียวกันไหม มู่เวยเวยกอดอกคิด ถ้าหากว่าชายตาม่วงคือเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าอย่างนั้นทำไมเมื่อครู่ที่เธอมองเขา เขาจึงทำร้ายตัวเอง

นอกจากสายตาที่เป็นประกายของเย่ฉ่าวเฉิน อย่างอื่นก็ดูเป็นปกติหมด ถ้างั้นจะเป็นเขาได้อย่างไร ?

แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองคนต้องมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เหมือนกันขนาดนี้หรอก !

“มองพอรึยัง ?” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

ผู้หญิงคนนี้จ้องมองเขาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าในใจคิดถึงใครอยู่ เมื่อคิดว่าเธอกำลังคิดถึงชายอื่น เขาก็อารมณ์เสียขึ้นมา !

มู่เวยเวยดึงสติกลับมา มองไปที่ท่าทางมืดมนของเขา ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า คนขี้งก คุณคิดว่าฉันเต็มใจมองคุณหรอ คิดว่าฉันชุบตัวให้ดูรวยขึ้นหรอ !

หลังจากด่าในใจเสร็จ มู่เวยเวยก็รู้สึกสบายใจขึ้น และหันกลับมามองเขาอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในขณะที่เธอและเย่ฉ่าวเฉินกำลังนอนอยู่นั้น ก็มีเสียงของเขาดังขึ้นมาจากข้างหลัง

“ผู้หญิงที่ชื่อเฉียวซินโยวที่มาบ้านวันนี้ เธอก็เป็นนักศึกษามหาลัยหนานฮวาหรอ ?”

เมื่อได้ยินเขาถามถึงเฉียวซินโยว มู่เวยเวยก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบไปตามความจริงว่า “ ใช่ เฉียวซินโยวเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน เรียนการออกแบบด้วยกันกับฉัน มีปัญหาอะไรรึเปล่า ” ?

“ไม่มี ก็แค่ถามดู” เย่ฉ่าวเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา มู่เวยเวยไม่ได้คิดอะไร กลับกันเมื่อเธอนึกถึงท่าทีที่บ้าคลั่งของเขาในวันนั้น เธอก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “ซินโยวคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เมื่อวันนั้นที่คุณไม่ให้เธอลงมา มันดูน่าเกลียดจริงๆ !”

อย่างไรก็ตามเย่ฉ่าวเฉินฟังจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา “…..”

ถ้าเป็นปกติแล้ว เย่ฉ่าวเฉินต้องตอบกลับอะไรเธอบ้าง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ เขาไม่ได้ตอบโต้เธอแต่อย่างใด ทำให้มู่เวยเวยอดนึกสงสัยเขาไม่ได้ วันนี้เขาดูแปลกไปจริงๆ !

เธอยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เยฉ่าวเฉินก็พูดขึ้นมาว่า “เธออยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวคงจะเหงา วันหลังพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านก็ได้นะ ”

ในใจของเย่ฉ่าวเฉินคิดถึงคำของหนานกงเฮ่าซ้ำไปซ้ำมา เฉียวซินโยวคือผู้หญิงที่เขาตามหา !

เมื่อมู่เวยเวยฟังเธอก็รู้สึกตกใจ พระเจ้า !เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม ?

ไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใส่ใจเธอด้วย ?

เมื่อเธอหยิกตัวเอง มู่เวยเวยก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพื่อให้แน่ใจว่าเธอฟังไม่ผิด ในใจเขาเธอก็อดคิดไม่ได้ว่า วันนี้ฝนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงรึเปล่า ?

……

วันนี้มู่เวยเวยตื่นแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็หยิบกระเป๋าและออกจากห้องไป

ผลก็คือเมื่อเธอกำลังจะเดินลงไป จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ชั้นสามดัง เธอหยุดชะงักลง และชายประหลาดตาม่วงก็ผุดคิดขึ้นมาความคิดของเธอ

เขายังอยู่หรือเปล่า ?

เมื่อในใจคิดได้เช่นนั้น มู่เวยเวยจากที่กำลังจะลงเดินไปอยู่ๆก็ขึ้นมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องแล้ว

หลังจากมองซ้ายมองขวาไม่มีคนแล้ว มู่เวยเวยก็ค่อยๆเปิดประตูเข้าไป หลังจากมองเข้าไปในห้องอย่างชัดเจนแล้ว หน้าของเธอก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา

ทุกอย่างภายในห้องดูเป็นปกติ โต๊ะวางอยู่บนพื้น ถ้วยน้ำชาและกาน้ำวางอยู่บนโต๊ะเป็นปกติ ลูกบาสวางอยู่ข้างๆ ไม่มีอะไรผิดปกติ ……ชายตาม่วงก็หายไปแล้วเช่นกัน

เขาหายไปไหนแล้ว ?

มู่เวยเวยคิดและกำลังจะออกจากห้องไป อยู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนั้นมี พลังพิเศษ บางทีเขาอาจจะไม่อยากถูกรบกวน และอาจกำลังซ่อนตัวอยู่สักที่ในห้องนี้ก็ได้ ?

เมื่อคิดได้อย่างนั้น มู่เวยเวยก็เดินเข้าไปในห้อง เธอมองไปรอบๆหาสถานที่ๆคนจะซ่อนตัวได้ พลางตะโกนออกไปว่า “เฮ้ คุณอยู่ที่นี่ไหม ฉันรู้ว่าคุณซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้ คุณออกมาเถอะ ฉันมีเรื่องจะถามคุณ…..”

“ นี่…..คุณออกมาเถอะ ถ้าคุณยังไม่ออกมาฉันจะเรียกคนแล้วนะ…..”

“ เฮ้ คุณ…..”

หลังจากตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ภายในห้องก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ชายตาม่วงยังคงไม่ปรากฎตัวออกมา

มู่เวยเวยเม้มริมฝีปาก เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าชายคนนั้นไม่อยู่ในห้องนี้แล้ว เธอก็หันกลับเดินออกจากห้องนี้ไป

เมื่อเธอเดินลงมาที่ชั้นหนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียงของฉินหม่าเรียก “ คุณหนู อาหารเช้าเตรียมพร้อมแล้ว “

มู่เวยเวยพยักหน้า พลางมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นม้แต่เงาของเย่ฉ่าวเฉิน จึงถามออกไปว่า “ เย่ฉ่าวเฉินออกไปแล้วหรอ ? “

ฉินหม่าได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ้มอย่างพอใจ คิดว่าในที่สุดเธอก็เริ่มสนใจคุณชายบ้างแล้ว เธอพูดออกมาด้วยดีใจว่า ” คุณชายออกไปบริษัทตั้งแต่เช้าแล้ว ”

“ อ่อ….. ” มู่เวยเวยพยักหน้า พลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเธอเห็นว่าไม่มีเวลาแล้ว จึงบอก “ฉินหม่า วันนี้ฉันต้องไปมหาลัย ฉันไม่มีเวลาทานข้าวเช้าแล้ว ฉันต้องออกไปเดี๋ยวนี้ ”

คุณอาหวังให้คนขับรถไปส่งเธอที่มหาลัย เมื่อขับไปถึงใกล้ประตูโรงเรียน มู่เวยเวยก็บอกให้คนขับจอดรถ และเธอก็เดินสะพายกระเป๋าเข้าไป

ถึงแม้ว่าเธอกับเย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกันมาสักพักแล้ว แต่ในใจเธอก็รู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้สาเหตุ แต่เธอมั่นใจว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่

ไม่แน่บางทีพรุ่งนี้ เธออาจจะกลับมาโสดอีกครั้งก็ได้

เมื่อเธอเดินเข้าห้องเรียนไป มู่เวยเวยก็รู้สึกผ่อนคลายลง เธอเดินไปยังที่นั่งของเธอและหยิบเอกสารออกมา

เฉียวซินโยวที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันกลับมา เธอเห็นป้ายชื่อของมู่เวยเวย ความอิจฉาก็ปรากฏขึ้นในตาเธอ

เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนเธอต้องเป็นคนที่คนอื่นอิจฉา แต่นับตั้งแต่เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็รู้สึกสะใจมากที่ได้ยินนักเรียนคนอื่นพูดประชดถากถางเธอ !

เธออิจฉามู่เวยเวย และเธอก็ต้องการที่จะแต่งงานกับคนรวย !

“ซินโยว รายชื่อกลุ่มที่เข้ารอบการ ” แข่งขันแฟชั่นโชว์ ” ที่โรงเรียนจัดขึ้นออกมารึยัง ?” มู่เวยเวยถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

เมื่อได้ยินเธอพูดเรื่องนี้ ใบหน้าของเฉียวซินโยวก็แสดงความริษยาขึ้นมา แต่เธอก็รีบปรับอารมณ์และพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบว่า” ออกมาแล้ว ผลการแข่งครั้งนี้เข้ารอบอยู่สิบกลุ่ม ผลงานของพวกเราสองคนก็เข้ารอบ ฉันดีใจมากเลย คะแนนในครั้งนี้มีความสำคัญต่อการสำเร็จการศึกษาของเธอมาก !”

สีหน้าของมู่เวยเวยแสดงความสุขออกมา เธอไม่คิดเลยว่าผลงานชิ้นเล็กๆของพวกเธอจะเข้ารอบ แสดงว่าความพยายามทั้งวันทั้งคืนของพวกเธอไม่เสียเปล่า

อย่างไรก็ตามเธอให้ความสำคัญของผลงาน ทำให้เธอเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

เฉียวซินโยวดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าแสดงความดีใจพร้อมกับพูดว่า “เวยเวย การแข่งครั้งนี้มหาลัยตั้งใจจะเปิดสาธารณะ ดังนั้นผลงานที่เข้ารอบจะต้องแข่งขันและถูกจัดอันดับอีกครั้ง นอกจากนี้ทางมหาลัยจะเชิญบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมือง A มาด้วย”

มู่เวยเวยมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เธอถามอย่างแปลกใจว่า “ ทำไมถึงต้องเชิญบริษัทมาด้วย “

“โง่รึเปล่า ! ” เฉียวซินโยวพูดอย่างดุถูก ” แน่นอนว่าพวกเขามาเป็นกรรมการตัดสิน !พูดง่ายๆก็คือผลงานของพวกเราจะถูกจัดอันดับไหน ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของพวกเขา !”

หลังจากฟังเธออธิบายจบ มู่เวยเวยก็เข้าใจในทันที และพูดต่อไปว่า “ถ้างั้นก็หมายความว่าผลการแข่งของพวกเราอาจจะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเราจะได้ฝึกงงานในบริษัทไหน ? ”

“ใช่แล้ว ยิ่งได้อันดับที่สูงมากเท่าไหร่ โอกาสในการเลือกก็ยิ่งมาก !” เฉียวซินโยวพูดด้วยความตื่นเต้น “พวกเราสองคนใกล้จะเรียนจบแล้ว ตอนนี้กำลังหาบริษัทที่จะฝึกงาน ถ้าหากว่าสามารถทำให้บริษัทสนับสนุนเราได้ โอกาสในการสัมภาษณ์เข้างานก็จะยิ่งง่ายขึ้น ”

มู่เวยเวยมีสีหน้าที่สงบนิ่ง พลางพูดขึ้นว่า ” โอกาสในครั้งนี้ก็ดีจริงๆ ”

“มหาลัยจัดการแข่งขันในครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเราจะได้ที่หนึ่งหรือไม่ แต่ก็ยังได้รับโอกาสที่ดีกว่าพวกนักเรียนที่ไม่ได้ถูกเลือก ดังนั้นพวกเราจะต้องพยายามสู้ !” ใบหน้าของเฉียวซินโยวเต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอคิดว่าชัยชนะกำลังรอเธออยู่

เมื่อเธอเห็นเพื่อนของเธอจมอยู่กับความเพ้อฝัน มู่เวยเวยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในใจก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความมั่นใจของเพื่อนเธอ เพราะเธอคิดว่าในมหาลัยมีคนที่มีพรรสวรรค์มากมาย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะถูกเลือก

ไม่ว่าผลคะแนนจะเป็นยังไง ก็ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมอยู่ เพราะเพียงแค่ความสามารถในตอนนี้มันยังไม่พอ

ในใจก็คิดว่าซินโยวจะสามารถควบคุมสติไว้ได้ ดังนั้นมู่เวยเวยจึงเอ่ยปากพูด “ซินโยว มีคนที่เก่งกว่าพวกเรามาก ดังนั้นพวกเราต้องขยันให้มากกว่านี้ อย่าเพิ่งดีใจไป พวกเรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก ”

รอยยิ้มบนหน้าของเฉียวซินโยวหายไปทันที เธอแสดงท่าทีครุ่นคิด

ที่มู่เวยเวยพูดแบบนี้ ก็เพื่อที่จะเตือนสติเธอสินะ ว่าผลงานในครั้งนี้ก็เป็นเพราะมันออกแบบ เธอสามารถเข้ารอบได้ก็เป็นเพราะมัน เธออย่าเพิ่งรีบดีใจไปงั้นหรอ…..เหอะ นังเจ้าเล่ห์ !

“ซินโยว ?” เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเธอ มู่เวยเวยจึงค่อยถามเธออย่างระมัดระวัง

เฉียวซินโยวอดกลั้นความโกรธเอาไว้ เธอหายใจเข้าให้จิตใจสงบลง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ฉันรู้ว่าเธอหมายความว่าอะไร ฉันจะระวัง !”

“ตกลง ” มู่เวยเวยพูดด้วยความโล่งใจพลางฉีกยิ้มออกมา

……

เย่ฉ่าวเฉินกำลังจดจ่อกับรายงานผลกำไรของไตรมาสนี้อยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เขาเงยหน้าชำเลืองมองก็พบ จงเห่อเดินเข้ามาอยู่ที่หน้าของเขา

“คุณชาย คุณเรียกผมหรอครับ ?” จางเห่อยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานเขาด้วยความเคารพ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ

เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมา ในมือก็หมุนปากการุ่นลิมิเต็ดเล่น ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายชวนให้หลงใหล เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “คุณไปสืบข้อมูลของเฉียวซินโยวทั้งหมดมา แล้วไปตรวจสอบมาด้วยว่ารูปภาพนั้น สรุปแล้วเป็นของใครกันแน่ !”

จางเห่อรับคำสั่ง และพูดด้วยท่าทีที่เคารพ “ครับ”

เย่ฉ่าวเฉินโบกมือขึ้น จางเห่อกลับหลังเดินออกไป

เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังไปพิงกับโซฟา มือของเขาเคาะไปที่โต๊ะพลางนึกถึงเรื่องในคืนวันนั้น

เมื่อรู้ว่าภาพวาดนั้นเป็นของเฉียวซินโยว เขากลับไม่รู้สึกดีใจ ทั้งๆที่ควาดหวังไว้มาก แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขารู้สึกสับสน

เขาพยายามคิดกลับไปในคืนนั้น เธอเป็นคนขี้แย เป็นคนอ่อนโยน เรือนร่างของเธอนั้นมีกลิ่นหอมจางๆของมะนาว…..

เมื่อคิดได้ เขาลืมตาขึ้นมา เขาจำได้ว่ากลิ่นนี้ดูคุ้นเคยมาก เหมือนจะเคยได้กลิ่น คล้ายกับกลิ่นของมู่เวยเวยเลย…..

เหอะ…..จะเป็นไปได้ยังไง !

บางทีเรื่องกลิ่น อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ !

ในขณะเดียว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

เย่ฉ่าวเฉินหยุดความคิดเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เข้ามา”

เมื่อประตูเปิดออก เลขาหลิวก็เดินเข้ามา

“มีเรื่องอะไร ? ” เย่ฉ่าวเฉินถามขึ้นมา

เลขาหลิว ยื่นเอกสารให้เขาด้วยความเคารพว่า “ประธานเย่ ฉันเพิ่งได้รับจดหมายเชิญจากมหาวิทยาลัยหนานฮวาร่วมงาน การแข่งขันแฟชั่นโชว์ ที่จะจัดการแข่งขันขึ้น เข้าต้องการเชิญคุณไปร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งในครั้งนี้ คุณจะไปเข้าร่วมหรือไม่คะ ?”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset