วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 133 คุณป้ามาเยี่ยม

บทที่ 133 คุณป้ามาเยี่ยม

ที่จริงเป็นเพราะทำงานหนักติดต่อกันนานขนาดนี้ สองวันนี้กว่าจะสะสางงานทั้งหมดจนเสร็จยากลำบาก กล้ามเนื้อที่ตึงจึงหมดแรง

บังเอิญเมื่อวานหิมะตก หลังทานอาหารเย็นจิ่งหนิงออกไปเดินเล่นที่สนามของลู่จิ่งเซิน ตากลมหนาวอยู่สักพัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะป่วย

เธอรู้ว่าตัวเองทำผิด จึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ

หลังจากที่คุณหมอจัดยาส่งมาให้ เธอทานยาแต่โดยดี

ลู่จิ่งเซินมักเห็นใบหน้าของเธอสดใส แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเหี่ยวเฉา รู้ว่าเธอคงไม่สบาย จึงไม่ได้พูดอะไรมาก

ให้เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และสั่งให้ป้าหลิวดูแลเธอให้ดี จากนั้นเขาก็ออกไป

จิ่งหนิงนอนปวดหัวอยู่ที่บ้านได้ครึ่งวัน จนถึงเวลากลางวัน อาการไข้จึงเริ่มดีขึ้น ชั้นล่างก็มีเสียงเอะอะอึกทึกดังมา

จิ่งหนิงแปลกใจเล็กน้อย

คฤหาสน์บ้านลู่ถือเป็นที่พักส่วนตัวของลู่จิ่งเซิน ในบ้านนอกจากคนรับใช้แล้ว น้อยมากจะมีคนข้างนอกเข้ามา

ส่วนคนรับใช้รู้ว่าเธอชอบความสงบ จึงไม่ทำเสียงเอะอะดังอะไร

ใครมากัน?

เธอกำลังจะลุกขึ้น ก็เห็นป้าหลิวรีบร้อนวิ่งเข้ามา

“คุณผู้หญิงคะ ไม่ได้การแล้วคะ”

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ข้างล่างทำไมเสียงดังจัง?”

ป้าหลิวทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างมาก “คุณป้ามาที่นี่คะ”

 

จิ่งหนิงตะลึง

ลู่จิ่งเซินมีป้าอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า ลู่หลันจือ เธอรู้เรื่องนี้

ว่ากันว่าตอนนั้นพ่อแม่ของลู่จิ่งเซินเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ คุณป้าคนนี้จึงเลี้ยงเขามาจนโต

ตามเหตุผล ความสัมพันธ์ของคนๆนี้น่าจะใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน เธอกลับไม่เคยได้ยินลู่จิ่งเซินพูดถึงป้าของเขาคนนี้เลย

แม้แต่การดำรงอยู่ของคนๆนี้ จิ่งหนิงยังบังเอิญได้ยินมาจากคนอื่น

เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลางเอ่ยถามไปว่า : “เขามาทำอะไรหรือ? ดูท่าเธอแล้วราวกับศัตรูมาเยือนแน่ะ”

ป้าหลิวรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย

“คุณไม่รู้อะไร คุณป้าท่านนี้ไม่ใช่คนง่ายๆแบบนั้น ทุกครั้งที่มา เขาจะว่านั่นตินี่เยอะแยะไม่หมด ทุกคนต่างคิดว่าเพราะเขามีบุญคุณกับคุณผู้ชาย เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ก็ไม่กล้าหือกับเขาด้วยคะ”

จิ่งหนักพยักหน้าอย่างชัดเจน และไม่พูดอะไรต่อ

เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังจะลงไปข้างล่าง ก็ได้ยินเสียงตำหนิของผู้หญิงคนนั้นดังมา

“พวกเธอทำงานกันประสาอะไร? ปกติให้คุณชายดื่มชาแบบนี้หรือ? ปกติคุณชายใจดีพวกเธอมากเกินไปใช่ไหมพวกเธอถึงได้ลืมกฎระเบียบ?”

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว ก้าวลงไปข้างล่าง

เห็นว่าในห้องรับแขก มีผู้หญิงวัยกลางคนๆหนึ่งสวมชุดสีขาว กำลังตำหนิคนรับใช้อยู่หลายคน

บนพื้นด้านหน้า มีกาน้ำชากระเบื้องเคลือบแตกอยู่อย่างไม่คาดคิดใบหนึ่ง น้ำชาใบชากระเด็นกระดอน หกเต็มพื้น

คนรับใช้ต่างก้มหน้า เงียบกริบไม่กล้าพูดอะไร และยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ ไม่ไกลจากประตู

จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้น แปลกใจอย่างมาก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”

เธอก้าวเดินลงมาช้าๆ คนรับใช้ได้ยินเสียงเธอเข้า ก็ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต พวกเขาจ้องมองด้วยความตื่นเต้น

ผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ในห้องรับแขก พบว่าเธอมีตัวตนตามสัญชาตญาณ

เธอขมวดคิ้ว แล้วถามอย่างไม่พอใจว่า : “เธอเป็นใครกัน?”

ป้าหลิวรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าอธิบาย “คุณป้าคะ ท่านนี้คือ คุณนายน้อยคะ”

ลู่หลันจือฟังจบแล้วยิ่งไม่พอใจมากขึ้นทันที คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้นอีก ใช้สายตาวิเคราะห์และระแวงมองประเมินจิ่งหนิง

จิ่งหนิงส่งยิ้มให้ และยื่นมือออกไปอย่างใจกว้าง 

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจิ่งหนิง ถ้าไม่ถือสาอะไรเรียกฉันว่าหนิงหนิงก็ได้คะ”

โดยไม่คาดคิด อีกฝ่ายกลับค่อนแคะว่า

“ที่แท้เธอก็คือยัยผู้หญิงชั้นต่ำที่จิ่งเซินเลี้ยงไว้ในเมืองจิ้นนั่นเอง ฉันก็นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็พวกนั้น! จุ๊จุ๊ ไหนดูสิว่าเธอใส่เสื้อผ้าอะไร? เก็บมาจากข้างถนนหรือ? ขอทานข้างทางยังแต่งตัวดีกว่าเธอเสียอีก!

เดิมทีจิ่งหนิงอยู่บ้านมัดจะสวมชุดลำลอง เมื่อกี้รู้ว่ามีคนมา จึงหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนโดยไม่ทันเลือก

ความจริงก็ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ดูแย่ขนาดนั้น ลู่จิ่งเซินไม่ยอมให้เธอน้อยหน้าใครในเรื่องนี้ ห้องแต่งตัวในบ้านมีขนาดใหญ่เกือบสามห้องของบ้านคนอื่น เพียงแต่เธอเคยชินกับการใส่ชุดสบายๆอยู่บ้าน

ในห้องนอนที่เตรียมไว้ก็คือชุดลำลองใส่สบายๆที่เธอชอบ มันก็ไม่ได้ราคาถูกขนาดนั้น ชุดละสองสามร้อย เนื้อผ้าใส่สบาย แบบเรียบง่าย เธอชอบมาก

แต่ในสายตาของ ลู่หลันจือ กลับเห็นว่าแม้แต่ชุดขอทานยังเทียบไม่ได้กับชุดข้างทาง

จิ่งหนิงยิ้ม และไม่อยากอธิบายอะไรอีก ยังไงซะฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้มีพระคุณของลู่จิ่งเซิน ในฐานะภรรยาของลู่จิ่งเซินเธอไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับเขาเลยไม่มากก็น้อย

ลู่หลันจือเห็นเธอไม่พูดอะไร คิดว่าเธอกลัว จึงยิ้มอย่างเย็นชา

“ได้ยินมาว่าคุณกับจิ่งเซินของพวกเราอยู่ด้วยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว? เธอคงลำบากน่าดูสินะ ตาสีตาสาอย่างเธอสามารถจับจิ่งเซินของพวกเราได้ คงใช้ความพยายามอย่างมากเลยใช่มั้ยล่ะ! เพียงแต่บางสิ่งไม่ใช่ว่าคนอย่างพวกเธอจะคิดได้เสมอไป เสว่เฟย เธอว่าไหม?”

ลู่หลันจือหันไปมองกวนเสว่เฟยที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วกล่าวขึ้น

กวนเสว่เฟยยิ้ม ถือกระเป๋าแล้วเดินมาข้างหน้า ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ป้าลู่ คุณพูดเล่นอีกแล้ว”

เสียงของเธอน่าฟังเหลือเกิน ท่าทางของเธอก็ดูอ่อนโยนและเรียบร้อย รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีมารยาท ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกดีโดยไม่ตั้งใจ

โดยเฉพาะเวลาที่ยืนอยู่ข้างๆ ลู่หลันจือผู้เย่อหยิ่ง เธอสามารถแสดงท่าทางที่อ่อนโยนและเงียบขรึม ได้อย่างโดดเด่น

ลู่หลันจือเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “เธอเนี่ยะนะ ขี้อายเกินไปแล้ว ในใจคิดอย่างไรปากก็ไม่ยอมพูดแบบนั้น ถ้าไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้ลู่จิ่งเซินก็ได้อยู่กับเธอแล้ว ต้องไปหาพวกโสเภณีข้างนอกพวกนั้นเพื่ออะไร?”

คำก็ผู้หญิงชั้นต่ำคำก็โสเภณี ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาด่าใคร

บางคนอดไม่ได้ที่จะโกรธ ที่จริงจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินเป็นเรื่องชอบธรรม สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ปฏิบัติต่อคนรับใช้ในบ้านดีเสมอมา ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขารุนแรง ปกติถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็จะพยายามช่วยเหลือ ทุกคนต่างเคารพยำเกรงเธอมาก

ตอนนี้ จู่ๆกลับถูกคนอื่นชี้หน้าด่าทอ เป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจ

แต่ว่า จิ่งหนิงกลับยิ้มจางๆ ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย สั่งให้คนรับใช้เก็บกวาดเศษแก้วและขยะบนพื้น แล้วไปชงชามาใหม่

“ไม่ทราบมาก่อนว่าคุณป้าและคุณกวนจะมา ไม่ทันได้ลงมาต้อนรับ ขออภัยด้วยคะ! อาเซินอยู่ที่บ้านไม่ชอบดื่มชา ดังนั้นเมื่อกี้ใบชาที่คุณดื่มคือปกติฉันเอาไว้แช่เพื่อรอเวลาเท่านั้น กานี้คือชาผู่เอ๋อชั้นเลิศ ลองดื่มดูสิคะ”

เธอพูดไป พลางรินชาให้แต่ละคนด้วยตัวเอง

ลู่หลันจือด่าทออยู่นาน เขากลับไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับกำปั้นที่กระทบผ้าฝ้ายนุ่มๆ อดเซ็งไม่ได้

อุทานออกมา แล้วยกถ้วยขึ้น ดื่มไปหนึ่งคำ

วินาทีต่อมา ได้ยินเสียงกรีดร้อง ถ้วยชาในมือ”ร่อน”ไปหาเธอทันที

“สารเลว! เธอเอาชาร้อนขนาดนี้มาให้ฉันดื่มได้ยังไง อยากจะลวกคอฉันให้ตายหรือ?” 

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset