บทที่ 28 ขี่เสือลงยาก
ตอนนี้เธอเหมือนเป็นคนที่ขี่หลังเสือแล้วลงมายาก
ด้านหนึ่งไม่กล้าหาเรื่องลู่จิ่งเซิน อีกด้านต้องเถียงกับเฉินหย่งต๋า
ไม่ว่าจะพูดยังๆ ไง สุดท้ายก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี
ทางลู่จิ่งเซินนั้นเธอไม่กล้าที่จะหาเรื่องอยู่แล้ว งั้นก็เลยทำได้แค่โยนความผิดให้เฉินหย่งต๋า
ขอแค่ยืนยันคำพูดที่ว่าเฉินหย่งต๋ากับจิ่งหนิงนั้นเป็นอะไรกัน งั้นเรื่องที่เธอทำวันนี้ฟังแล้วก็มีเหตุผล
ไม่ใช่แค่นั้น จิ่งหนิงยังได้แบกข้อกล่าวหาว่านอกใจอีก
ลู่จิ่งเซินเป็นคนยังไง? เขายอมที่จะให้ผู้หญิงของตนนั้นไปมีคนอีก?
ถึงตอนนั้น กลัวแค่ว่าจิ่งหนิงจะหลุดจากคำกล่าวหาไม่พ้น ตำแหน่งที่อยู่ในใจของลู่จิ่งเซินก็จะสั่นคลอน ถึงตอนนั้นแล้วค่อยจัดการกับเธอทีหลังก็ไม่สาย!
คิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของหวังเสว่เหมยได้เย็นลงไปบ้าง
และวิต่อมา ก็ได้ยินเฉินหย่งต๋ารีบร้อนที่จะอธิบาย “ประธานลู่ เธอโกหก! ผมกับคุณจิ่งนั้นไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยครับ จะไปเป็นอะไรกันได้ยังไง? ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณไปสืบดูได้เลย!”
“เฉินหย่งต๋า ไอ่คนที่กล้าทำแต่ไม่กล้าที่จะยอมรับ! ตอนแรกนายคุกเข่าข้อร้องที่จะให้ฉันตกลงเรื่องที่ให้จิ่งหนิงอยู่กับนายยังไง? ตอนนี้ทำไมถึงได้พูดแบบนี้ออกมา นายยังเป็นลูกผู้ชายไหม?”
เฉินหย่งต๋าโมโหเอามากๆ ยื่นมือชี้ไปที่หวังเสว่เหมย โกรธจัดจนมือนั้นได้สั่น
“อีแก่นี่ เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วยังจะมาใส่ร้ายฉันอีก? ใส่ร้ายฉันไปก็แล้วไป เธอยังกล้าที่จะใส่ร้ายคุณจิ่ง! เธอคิดว่าประธานลู่เป็นไอโง่เหรอ? ที่จะถูกเธอหลอกได้ง่ายๆ?”
หวังเสว่เหมยหัวเราะอย่างเย็นชา
“นายยังจะมาแก้ตัว? ก็ได้! นายบอกว่าฉันนั้นร่วมมือกับนาย หลักฐานล่ะ? เรื่องที่นายวางยาให้จิ่งหนิงฉันยังไม่ตามเอาเรื่อง! ตอนนี้นายนั้นกลับมาโทษฉันก่อนแล้ว?”
สีหน้าของเฉินหย่งต๋าได้เปลี่ยนไป
เหล้าแก้วนั้น เขาเป็นคนใส่ยาลงไปจริง
แต่นั้นเป็นเพราะเขาเชื่อที่หวังเสว่เหมยพูด ถึงได้ทำตามแผนที่วาง
แต่ว่าตอนนี้เธอคิดที่จะเอาตัวเองหลุดออกไปจากเรื่องนี้ แล้วก็ให้เขารับความผิดไปทั้งหมด?
เฉินหย่งต๋าโมโหจนแทบบ้า แต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำ ทำได้แต่จ้องมองหวังเสว่เหมย
ก่อนหน้าที่ได้วางแผนร่วมกันนั้น ได้คุยกันต่อหน้าตลอด เพราะงั้นหวังเสว่เหมยรู้ว่าเขานั้นเอาหลักฐานออกมาไม่ได้ เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว ก็ได้หัวเราะอย่างได้ใจ
จิ่งหนิงเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จู่ๆก็นึกถึงคำหนึ่งได้
——หมากัดหมา
ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ?
ก่อนหน้านี้นั้นได้เป็น แมลงบนเชือกเดียวกัน พอเจอกับลู่จิ่งเซินเข้า ก็ได้กัดกันเองทันที
แต่น่าเสียดาย——
เธอนั้นได้ยิ้มออกมาอย่างสนุก แล้วก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ได้พูดออกมาอย่างรำคาญ
“ฉันก็แค่ถ้าจะฟังความจริงก็แค่นั้น พวกเธอนั้นกลับมาทะเลาะกันที่นี่……คิดว่าฉันว่างมากเหรอ?”
ชายหนุ่มได้แคะหู ใบหน้าได้แสดงออกมาว่าเริ่มรำคาญ
หวังเสว่เหมยกับเฉินหย่งต๋าได้ตกใจจนหน้าซีด
คนข้างหน้าได้รีบอธิบายออกมาก่อนว่า “ประธานลู่ คือ……ก่อนหน้าฉันไม่รู้ว่าคุณนั้นเป็นอะไรกันกับหนิงหนิงของพวกเรา เด็กคนนี้ก็จริงๆ เลย ไหนๆ ก็ได้มีคนที่ดีแบบนี้อย่างประธานลู่แล้ว น่าจะพูดกับที่บ้านตั้งแต่แรก! ทำให้มันกลายเป็น แบบนี้ไป นี่เป็นความผิดของพวกเราเอง ยังจะขอให้คุณนั้นเห็นแก่ว่าได้เป็นญาติกัน ไม่ต้องโมโห”
ลู่จิ่งเซินได้มองเธอสักพัก เหมือนยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม
“ญาติ?”
หวังเสว่เหมยได้ยิ้มแบบทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยังที่จะยืนยันต่อ
ที่จริงถ้าคิดให้ดีๆ ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว เธอที่เป็นคุณย่าของจิ่งหนิง ก็ต้องเป็นคุณย่าของลู่จิ่งเซินด้วย
งั้นก็เป็นญาติกันแล้วไม่ใช่เหรอ?
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงตอนนี้หวังเสว่เหมย ยังกล้าที่จะนั่งพูดคุยอยู่ตรงนี้
ยังไงซะก็เป็นคนที่อาวุโสกว่า ต่อให้ลู่จิ่งเซินโมโหหรือไม่พอใจ เพื่อที่จะเจอหน้ากันในอนาคต ก็คงไม่ทำอะไรที่ดูเกินไป
แต่ถ้าเขานั้นเชื่อในคำพูดของเธอ เริ่มสงสัยในตัวจิ่งหนิง นั้นจะดีที่สุด
เพราะยังไงเธอก็ไม่ได้หวังว่ายัยจิ่งหนิงจะได้ดีอะไรในตระกูลลู่ ต่อให้ได้ดี ดูจากความสัมพันธ์ที่ของตระกูลจิ่งกับจิ่งหนิงแล้วนั้น เธอไม่มีทางที่จะนึกถึงตระกูลจิ่งหรอก
เพราะงั้น ให้เธอเสียที่ที่หนุนหลังเธอไว้จะดีที่สุด!
หวังเสว่เหมยกำลังคิดได้แบบนี้ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของลู่จิ่งเซินพูดขึ้น
“ไหนๆ พวกคุณก็ไม่ได้อยากที่จะพูดความจริงแล้วนั้น งั้นฉันก็คงต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน จัดการด้วยกัน!”
หวังเสว่เหมยอึ้งไปสักพัก เงยหน้ามองไปทางเขา ก็เห็นที่ลู่จิ่งเซินกำลังสั่งอะไรกับซูมู่อยู่
ซูมู่รีบออกไป ไม่นาน ก็ได้เอาเอกสารกองใหญ่เข้ามา
“ท่านประธาน นี่เป็นรายชื่อสินทรัพย์ของตระกูลจิ่งกับคุณชายเฉิน อยู่ตรงนี้ทั้งหมดครับ”
ลู่จิ่งเซินรับมา แล้วก็พลิกไป
คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่าเขานั้นจะทำอะไร
ก็ได้เห็นว่าเขานั้นได้จับออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วก็จุดไฟแช็ก แล้วก็ได้วางไว้ให้ที่เขี่ยบุหรี่ตรงหน้า
นั้นเป็นสินทรัพย์ที่ขยับไม่ได้ของเฉินหย่งต๋า เป็นพ่อเฉินแบ่งให้เขา
เฉินหย่งต๋าเห็นแบบนั้น สีหน้าได้เปลี่ยน แล้วก็รีบพูด “ประธานลู่ คุณ คุณจะทำอะไร?”
ลู่จิ่งเซินได้พูดออกไปช้าๆ “พวกคุณไม่ยอมพูด ฉันก็ต้องหาวิธีที่จะเปิดปากให้พวกคุณนั้นพูดออกมา! สินทรัพย์พวกนี้นั้นเป็นของพวกคุณทั้งหมด ทุกๆ สามนาทีฉันนั้นจะเผาหนึ่งใบ ใครพูดออกมาก่อน ฉันก็จะเอาของคนนั้นคืนไป พวกคุณคิดว่ายังไง?”
ยังมีหน้ามาถามคนอื่นอีกว่าคิดว่ายังไง?
ถุ้ย! นี่มันไร้ยางอายเกินไปแล้วหรือเปล่า!
ความโมโหในใจของทุกคนนั้นไม่กล้าที่จะพูดออกมา เวลานี้หวังเสว่เหมยรู้สึกว่า ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้นั้นมันผิด ลู่จิ่งเซินนั้นไม่ได้เอาเธอไว้ในสายตา
หน้าเธอได้เสีย พูดเสียงเข้มว่า “ประธานลู่ เรื่องอื่นนั้นก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าสินทรัพย์ที่ขยับไม่ได้นั้นมันลงทะเบียนไปแล้ว คุณคิดว่าเผาเอกสารกระดาษก็ได้แล้วยังเหรอ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มแล้วมองไปที่เธอ “อ้อ ที่คุณหญิงจิ่งพูดก็ถูก ได้เตือนผมพอดี ซูมู่!”
ซูมู่รีบเข้ามา “ท่านประธาน”
“สั่งลงไปว่า กระดาษที่ฉันได้เผาไปนั้น ไปบังคับซื้อบริษัทที่อยู่ในชื่อของพวกเขา ถ้าซื้อไม่ได้ก็กดลงไป จนกระทั่งพวกเขาประกาศออกมาว่าล้มละลาย หุ้นหรืองบประมาณอะไรพวกนั้น ที่ขาดทุนนั้นพวกเราไม่เอา แต่ที่อันที่ยั้งได้กำไรนั้น เรียกไอ้Kไปจัดการ เชื่อเลยว่าตอนเช้านั้น ก็จะได้เป็นจากกำไลเป็นขาดทุน”
ซูมู่ได้ยิ้มออกมา แล้วพยักหน้า “ครับ”
เขาทันหลังแล้วเดินออกไป
คนของตระกูลจิ่งกับเฉินหย่งต๋าเห็นแบบนั้น ก็ได้ร้อนรนทันที
“ประธานลู่ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ!”
“นั้นเป็นเลือดเนื้อที่พวกเรานั้นใช้เวลากว่าสิบกว่าปีกว่าจะได้มา คุณบอกว่าจะทำลายก็ทำลายเลยไม่ได้นะครับ!”
เวลานี้หวังเสว่เหมยแทบจะกัดลิ้นตัวเอง
อยู่ดีๆ ก็ดีอยู่แล้ว ไปพูดมากทำไม?
ไม่พูดมากก็แค่เผาเอกสารกระดาษไป ยังสามารถที่จะชดเชยได้ ตอนนี้ดีเลย ไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ!
ลู่จิ่งเซินมองพวกเขาอย่างเย็นชา ไม่หวั่นเกรงแม้แค่น้อย
“ฉันให้โอกาสพวกคุณครั้งสุดท้าย พูด! หรือไม่พูด?”
เฉินหย่งต๋ารีบพยักหน้าทันที “พูดผมพูดครับ!”
หวังเสว่เหมยพูดข่มขู่ออกไป “เฉินหย่งต๋า นายคิดดีๆ!”
เวลานี้เฉินหย่งต๋านั้นไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ได้ตะคอกใส่เธอว่า “เธอพอได้แล้ว! พวกการงานของตระกูลจิ่งนั้นใหญ่โตอยู่แล้ว ทนรับผลกระทบพวกนี้ไหว ฉันไม่เหมือนกับพวกเธอ แม่งเอ๋ยสินทรัพย์ในชื่อของฉันมันก็มีแค่นั้น ถ้าเกิดหายไปหมด พ่อฉันได้ฆ่าฉันตายคนแรกแน่ๆ!”
หวังเสว่เหมยได้โมโหเขาจนหน้าเขียว