ไม่รู้ว่าเธอซัดเข้าไปกี่มัดแล้ว
ในที่สุดข้อมือของเธอก็ถูกเขาจับเอาไว้ได้ หลังจากนั้น จิ่งหนิงก็รู้สึกว่าที่เอวของเธอถูกรัดแน่น เมื่อฝ่ายตรงข้ามพลิกตัวและกดเธอเอาไว้
เธอรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในขณะที่กำลังจะโต้กลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยพูดขึ้นว่า
“มีความสามารถแค่นี้เองเหรอ? ในตอนนั้นที่ผมสอนวิชามากมายให้กับคุณ คืนอาจารย์หมดแล้วหรือไง?”
จิ่งหนิงชะงักลง
เธอเงยหน้ามองเขาอย่างเหลือเชื่อ
อีกฝ่ายหนึ่งจับข้อมือของเธอไว้ ผมเผ้าและเสื้อผ้าต่างเปรอะเปื้อนเลอะเทอะจากการต่อสู้เมื่อสักครู่
แต่ดวงตาแหลมคมคู่นั้นมันเฉียบคมเสียจนจิ่งหนิงรู้สึกเหมือนกับมีดเข้ามาทิ่มแทง พุ่งเข้าไปในหัวใจของเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงสั่นคลอนว่า “คุณเป็นใคร?”
คนที่รู้ว่าเธอเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อนมีเพียงไม่กี่คน แต่เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าในตอนนี้ใครกันจะมาปรากฏตัวตรงหน้าได้
อีกฝ่ายหนึ่งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้น
แววตาอันแหลมคม ดวงตาคู่นั้นหรี่ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “น้องเซเว่นไม่ได้เจอพี่ชายแค่ไม่กี่วัน ลืมพี่ชายแล้วหรือไง? จำไม่ได้แม้แต่เสียงเลยเหรอ?”
จิ่งหนิงตกใจ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
“กู้ซือเฉียน! แก!!!”
“ชู่ว์!”
กู้ซือเฉียนชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากของเธอเป็นสัญลักษณ์ให้เธอหยุดการเคลื่อนไหว
เขาเงยหน้ามองไปทางทิศทางที่รถจอดอยู่แล้วพูดว่า “น้องเซเว่นถ้าไม่อยากดึงดูดสายตาของคนอื่น ก็ลดเสียงลงหน่อยเข้าใจมั้ย?”
จิ่งหนิงโมโหมาก
เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี่คือกู้ซือเฉียนที่ปลอมตัวมา
เธอไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดเดียว!
เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอก็รู้ได้ว่าการที่ตนพยายามจะหนีตาย ผู้ชายคนนี้เห็นมาตลอดแต่กลับไม่บอกเธอ ต้องการให้เธอถูกหัวเราะเยาะ
มันน่ารังเกียจเหลือเกิน!
เธอกัดฟันและพูดขึ้นว่า “คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
กู้ซือเฉียนหัวเราะขึ้นเขาไม่รีบร้อน และเล่นกับลูกผมที่แก้มของเธอว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องผมเลย คุณจำสิ่งที่คุณพูดเมื่อสักครู่ได้รึเปล่า? เกิดเป็นคนควรจะพูดคำไหนคำนั้นนะ”
จิ่งหนิงชะงักลงทันที และเมื่อนึกถึงจูบที่ถูกบังคับเมื่อสักครู่เธอก็เลือดขึ้นหน้าอยากจะกัดเขาให้ตาย
เธอพูดอย่างโกรธเคืองว่า “กู้ซือเฉียน! คุณยังกล้ามาพูดอีก รนหาที่ตายใช่ไหม?”
กู้ซือเฉียนได้แต่หัวเราะขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเขาจะชอบทำให้ผู้หญิงคนนี้โมโหจนฟาดงวงฟาดงา มันทำให้เขารู้สึกถึงความภาคภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่เขาก็รู้ดีว่า แม้จะเป็นลูกแมวแสนน่ารัก แต่ถ้าเข้าตาจนขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะข่วนจนได้รับบาดเจ็บได้
ดังนั้นเขาจึงหยุดและไม่แกล้งเธออีก
แต่กลับพูดอย่างจริงจังว่า “ผมได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณก็เลยรีบมา”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้นมองด้วยความสงสัย
“เป็นไปไม่ได้ จากประเทศจีนมาถึงที่นี่และกว่าจะหาสถานที่นี้พบ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่ทำไมคุณถึงหาฉันได้เร็วขนาดนี้?”
กู้ซือเฉียนหรี่ตาแล้วพูดว่า “คุณไม่เชื่อผมเหรอ?”
จิ่งหนิงหัวเราะเยาะเย้ย
“สิ่งที่คุณอยากได้ก็คุณได้ไปแล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนฉันจะเป็นจะตายมันแตกต่างกันตรงไหนสำหรับคุณ?”
ดวงตาของผู้ชายคนนั้นเยือกเย็นลงทันที
เขามองไปทางจิ่งหนิงด้วยดวงตาอันเย็นชา
“ที่ผ่านมาคุณคิดอย่างนี้เองเหรอ?”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอเม้มริมฝีปากแสดงออกมาถึงความดื้อรั้นของเธอ
กู้ซือเฉียนมองดูเธออยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจปล่อยเธอและลุกขึ้น
บรรยากาศแปลกๆกระจายไปรอบๆทั้งสองคน เขาไม่ได้เอ่ยถามถึงปัญหานี้อีกต่อไป ท่าทางของเขาเย็นลงกว่าเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัดเจน
จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ช่วงนี้มีธุรกิจบางอย่างที่ทำอยู่ไม่ไกล ผมเพียงแค่อยากจะแวะมาหาคุณ แต่เมื่อได้ยินข่าวเรื่องอุบัติเหตุ ก็เลยรีบมาเท่านั้นเอง”
คำพูดของเขานี้จิ่งหนิงเชื่อสนิทใจ
ในที่สุดเธอก็วางใจลง
เธอตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งยังกดทับอยู่บนร่างกายเธอจึงได้เอื้อมมือไปผลักเขาพูดว่า “คุณลุกขึ้นมาก่อน”
ตอนนี้ตัวตนของกู้ซือเฉียนถูกเปิดโปงออกมาแล้ว เขาก็ไม่ได้มีอารมณ์จะแกล้งเธออีกจึงได้ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
หลังจากที่เขาลุกขึ้นยืน จิ่งหนิงก็รีบตะกายขึ้นจากพื้นจากนั้นปัดฝุ่นผงที่อยู่บนร่างกาย แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณไปอยู่กับพวกมันได้อย่างไร? แล้วก็ ทำไมหน้าตาคุณถึงเป็นแบบนี้?”
ใบหน้าของเขายังคงเป็นใบหน้าของชาวนาคนนั้นไม่ใช่ใบหน้าเดิมของเขา
เมื่อกู้ซือเฉียนได้ยินดังนั้นเขาก็สัมผัสไปที่แก้มของตัวเองแล้วพูดว่า “ผมใส่หน้ากากผิวมนุษย์”
หน้ากากผิวมนุษย์?
จิ่งหนิงตกตะลึงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“อืม”
กู้ซือเฉียนดูเหมือนไม่อยากจะอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมมากมายนักเขาจึงพูดขึ้นว่า “สองพี่น้องนั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาในหมู่บ้าน ส่วนคนพี่ ทำงานให้กับลูกน้องของผมเมื่อสองวันก่อน
ผมได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณ ก็ได้หาระยะตำแหน่งที่ร่มชูชีพตกลงมา จากนั้นก็แปลงเป็นพี่ชายของเขาเพื่อมาสืบหาข้อมูล
และบังเอิญผ่านมา ได้ยินพวกเขาบอกว่า จะขายผู้หญิงสองคนอายุราวๆกับพวกคุณผมก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นพวกคุณแน่ๆที่ตกอยู่ในมือของผู้ค้ามนุษย์”
เมื่อจิ่งหนิงฟังจบ ก็พอจะเข้าใจเรื่องการมาถึงของเขา
เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
กู้ซือเฉียนหรี่ตาลง
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งหนิงเอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงจัง
แม้มองไปดูแล้วรู้สึกว่ามีมารยาทมากก็ตาม แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเปรียบเทียบกันแล้วเขาชื่นชอบจิ่งหนิงที่เต็มไปด้วยกรงเล็บมากกว่าเฉยเมยและสุภาพแบบนี้
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องพวกนี้มากนัก
เขามองไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลแล้วพูดขึ้นว่า “คุณขึ้นรถไปก่อนเถอะ เอาไว้ถึงหมู่บ้านแล้วค่อยพูดกัน”
จิ่งหนิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“คนคนนั้น……”
กู้ซือเฉียนยิ้มออกมาด้วยท่าทางตลกขบขัน
“ทำไมเหรอ? คุณกังวลว่าผมจะขายคุณจริงๆหรือไง?”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากตัวเอง
เธอรู้ว่ากู้ซือเฉียนคงไม่ขายเธอไปแน่ๆ
แต่จากที่เธอคิดเอาไว้ ในเมื่อตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวตนของผู้ชายคนนั้นคือกู้ซือเฉียน การคุกคามจากพวกเขาก็บรรเทาลง
เช่นนั้นเธอกับโม่หนานก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้ทันทีไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องกลับไปพร้อมกับพวกเขาด้วย?
ราวกับว่าเดาใจของเธอออก กู้ซือเฉียนจึงได้รีบอธิบายว่า “คนกลุ่มนั้นเดินทางไปถึงในหมู่บ้านแล้ว พวกเขาน่าจะตามหาพวกคุณอยู่ ตอนนี้ผมยังมีบางเรื่องต้องจัดการไม่สามารถไปจากที่นี่ได้ ดังนั้นการที่พวกคุณอยู่กับผมถึงจะปลอดภัยที่สุด”
เขาหยุดชะงักลงแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าเรื่องนี้ผมก็ไม่บังคับคุณหรอก มันเป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น ถ้าคุณยังยืนยันอยากจะจากไปก็ได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นผมคงไม่รับผิดชอบแล้ว”
จิ่งหนิงจ้องมองเขา
เธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้จงใจกวนเธอ แต่เธอก็พยายามนิ่งเงียบ
เธอยอมรับชะตากรรมแล้วพูดว่า “ก็ได้ค่ะ ฉันจะไปกับคุณ อย่างไรก็ตามไปถึงในชุมชนก่อนค่อยว่ากัน”
กู้ซือเฉียนจึงได้พยักหน้าอย่างพออกพอใจ จากนั้นสะบัดเสื้อที่ถูกเธอทำจนยับยู่ยี้แล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะครับ”