ศพ – ตอนที่ 102 โจวเจี่ยน

ตอนที่ 102 โจวเจี่ยน

ตอนที่โจวเจี่ยนเห็นร่างของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนลอยเข้ามา เขาก็ตกใจจนแทบช็อก

ตัวสั่นไม่หยุด เหงื่อออกเต็มตัว

ปากยังตะโกนไม่หยุดว่าไม่เกี่ยวกับฉัน เธออย่าเข้ามา

แต่เจ้าเชี่ยนกลับหัวเราะเยาะ “ อาจารย์โจว เมื่อก่อนคุณไม่ได้บอกว่าชอบฉันมากเหรอ อยากอยู่กับฉันอีกไหมละ เพราะตอนนี้ ฉันกลับมาแล้ว ”

ขณะที่พูด เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็เดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ

โจวเจี่ยนเคยเห็นเหตุการณ์หวาดเสี่ยวแบบนี้ที่ไหนละ ตอนนี้เขาจึงตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก “ อย่า อย่าเข้ามา เชี่ยน เชี่ยนเชี่ยนฉันผิดไปแล้วฉันขอโทษ เธอออกไปเถอะ ! เธอออกไปเถอะ ! ฉันจะเผากระดาษไปให้เธอ เผาให้เธอเยอะๆเลย เธอปล่อยฉันไปเถอะนะ ! ”

 

“ ไปงั้นเหรอ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ! ” เจ้าเชี่ยนเชี่ยนยังพูดต่อ

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ยกมือขึ้น เข้าไปบีบคอของโจวเจี่ยน แต่ไม่ได้ทำร้ายจนถึงชีวิต

ระหว่างทาง พวกเราได้คุยกันชัดเจนแล้ว

เรื่องนี้ นอกจากโจวเจี่ยนจะสมควรตายแล้ว ยังมีเรื่องหมอผีอีกเรื่องหนึ่ง

นอกจากพวกเราจะมาที่นี่เพื่อให้โจวเจี่ยนได้ชดใช้แล้ว ยังต้องการคำตอบเรื่องหมอผีจากปากเขาด้วย

ดังนั้นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนจึงไม่ได้ลงมือฆ่าเขา เพียงแค่บีบคอเขาเอาไว้ และแสดงท่าทางน่าสยดสยองออกมา

เธอแลบลิ้นสีแดงออกมา แล้วเลียริมฝีปากของเธออย่างกระหาย

 

ภายใต้ความหวาดกลัวของโจวเจี่ยน มันจึงทำให้เขากลัวจนพูดอะไรไม่ออก และอีกนิดเดียวก็เกือบทำให้เขาสลบแล้ว

เมื่อพวกเราเห็นว่าพอใช้ได้แล้ว จึงเตรียมเรียกเจ้าเชี่ยนเชี่ยนกลับมา

ไม่อย่างนั้นเธอคงทำให้เจ้านี้ตกใจตายแน่ และเมื่อถึงเวลานั้นเรื่องหมอผีนั้นก็คงไม่ได้ถามพอดี

ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ เชี่ยนเชี่ยน เธอออกไปก่อน รอพวกเราถามอะไรเจ้านี้หน่อย พอหมดธุระแล้ว เธอก็ค่อยเข้ามา ! ”

เมื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็ค่อยๆปล่อยมือออก

แต่เธอยังจ้องเขาอย่างไม่กระพริบตา จากนั้นเธอถึงลดมือลงและถอยหลังออกไป

เมื่อคอของโจวเจี่ยนถูกปล่อยออก เขาก็สูดหายใจข้าเฮือกใหญ่ แต่ร่างยังคงสั่นเทา แสดงท่าทางหวาดกลัว

 

หลังจากเจ้าเชี่ยนเชี่ยนออกไปจากห้อง “ พรึบ ” ไฟเหนือหัวก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

สภาพของโจวเจี่ยนตอนนี้ตื่นกลัวอย่างกับกระต่ายตื่นตูม เขาแทบไม่ต่างอะไรกับคนที่สูญเสียจิตใจเลยสักนิด

ผมยกเท้าข้างหนึ่งกระแทกลงกับเตียง แล้วพูดกับเจ้าโจวเจี่ยนว่า “ อาจารย์โจวใช่ไหม ! วิญญาณของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็มาแล้ว คุณเองก็เห็นแล้ว ถ้าไม่อยากตายอย่างอนาจ พอพวกเราถามอะไร แกก็ตอบ ! ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้แกตายแบบทุเรศๆ ! ”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ผมก็เน้นเสียงยิ่งกว่าเดิม

เมื่อโจวเจี่ยนได้ยินผมพูดแบบนั้น ตัวก็สั่นขึ้นมาทันที “ ฉัน ฉันพูด ฉันพูดหมดทุกอย่าง! น้อง น้องชาย อย่าฆ่าฉันเลย ฉันมีเงิน ฉันจะให้เงินพวกนาย ! ”

 

หลังจากพูดจบ เจ้านี้ก็ยังคิดจะเข้ามาจับขาของผม

เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเขาผมก็รู้สึกรังเกลียดขึ้นมา จึงใช้เท้าถีบออกไปหนึ่งครั้ง “ อยู่ห่างๆฉันหน่อย ! ”

โจวเจี่ยนถูกการถีบที่ไม่พอใจของผม จนทำให้เขาต้องพยักหน้ารับรัวๆ “ ได้ ได้ ได้ ! ”

“ เมื่อห้าปีก่อน แกเชิญใครมาปราบเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง

โจวเจี่ยนกระตือรือร้นมาก วินาทีนี้เขาไม่คิดเลยสักนิด พูดออกมาทันที “ คือ คือนักพรตหยวน นักพรตหยวน ! ใช่เขาเป็นคนขังเจ้าเชี่ยนเชี่ยนไว้ในตึก ”

“ ฉันไม่ได้เป็นคนทำนะ ! ฉันแค่อยากให้นักพรตหยวนไล่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนออกไป แต่ แต่นักพรตหยวนกลับผนึกวิญญาณของเธอ ! และยังให้เธอฆ่าคนอยู่ในตึกต่อไปเรื่อยๆ ฉันกลัวมาก ดังนั้นพอถึงวันพระ ฉันก็จะเผากระดาษให้เชี่ยนเชี่ยน จริงๆนะ…… ”

 

โจวเจี่ยวรีบพูด อยากให้พวกเราเห็นอกเห็นใจเขา

แต่พวกเราไม่เคยสนใจเขาเลยสักนิด แต่กลับสนใจ “ กุ่ยซานหยวน ” สามคำนี้

จากป่าช้าเก่า ชายที่สวมชุดคนตาย ตาแก่พิลึกที่ใช้วิชา “ เข้าสิงศพ ”

เป็นอะไรที่คิดไม่ออกจริงๆ เบื้องหลังของเรื่องนี้ เป็นฝีมือกุ่ยซานหยวนอีกรึเปล่านะ

ผู้ชายคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง ครั้งที่แล้วก็กักขังวิญญาณของคุณหนูเหวินเอาไว้ ครั้งนี้ยังทำกับเจ้าเชี่ยนเชี่ยนอีก

ผมขมวดคิ้ว “ เขาอยู่ที่ไหน ”

โจวเจี่ยนกลับส่ายหัว “ ฉัน ฉันไม่รู้ ! ”

 

“ ไม่รู้งั้นเหรอ แล้วก่อนหน้านี้แกติดต่อเขาได้ยังไง ” จู่ๆหยางเฉ่วก็พูดออกมา

เมื่อโจวเจี่ยนได้ยิน เขาก็รีบพูดทันที “ ฉัน ฉัน ใช่แล้ว มีคนแนะนำให้ฉัน จากนั้น จากนั้นก็ติดต่อเขาได้ ส่วนเรื่องอื่น ฉันไม่รู้จริงๆ ! ”

เมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทาง และน้ำเสียงที่ติดๆขัดๆ พวกเราก็รู้สึกว่าชายคนนี้กำลังพูดโกหก

ทันใดนั้นหานเฉ่วเฟิงที่ยืนสูบบุหรี่อย่างเงียบๆมาตลอด กลับเดินเข้ามา

ด่าเขาทันที “ แกไม่ยอมพูดความจริงใช่ไหม ! ได้งั้นฉันก็จะทำให้แกตาสว่าง ! ”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็กระโดดขึ้นไปบนเตียง ยกเท้าถีบไปที่หัวของชายคนนั้นทันที

 

ทันใดนั้นเสียงร้อง “ โอ๊ย ” ก็ดังขึ้น ชายคนนั้นจับหัวแล้วพูดขอร้องอ้อนวอนว่า “ อย่า อย่าทำร้าย ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ ไม่รู้จริงๆ…… ”

แต่หานเฉ่วเฟิงเป็นคนที่มีนิสัยนักเลงโดยสมบูรณ์ ช่วงเวลานั้นเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย

เขายิ่งลงมือโหดขึ้นเรื่อยๆ ชายคนนั้นถึงขนาดถูกหานเฉ่วเฟิงถีบตกเตียงแล้ว

ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร แต่วินาทีที่ร่างของโจวเจี่ยนกลิ้งตกจากเตียง สีหน้าของผมและหยางเฉ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนไปทันที

ม่านตาขยายออกอย่างรวดเร็ว เพราะช่วงต้นขาหลังของโจวเจี่ยนอยู่ตรงหน้าของพวกเรา เมื่อมองต่ำจากก้นนิดหน่อย ก็จะเห็นสีหมึกของรอยสัก

 

ถึงจะบอกว่าเป็นรอยสัก แต่ที่จริงมันเป็นเครื่องหมายบางอย่าง

และเครื่องหมายนั้นก็คือหน้าผีสามตา ที่เหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

มันก็คือสัญลักษณ์ผีนั้น และด้านล่างของคาง ก็มีอักษณคำว่า “ คน ” เขียนไปหนึ่งตัว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็สูดหายใจเข้าทันที “ แกเป็นคนในองค์กรชั่วงั้นเหรอ ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ถีบเจ้านี้ที่ท้องทันที เพราะอยากจะถามต่อ

ผลลัพธ์หานเฉ่วเฟิงที่อยู่ข้างบนกลับกระโดดลงมาต่อย ไม่เหลือโอกาสให้ผมได้ถามเลยสักนิด

 

ตอนนี้โจวเจี่ยนได้ถูกต่อยจนเลือดออกจากจมูก แต่ก็ยังขอร้องอย่างต่อเนื่อง “ อย่า อย่าต่อยฉัน ฉัน ฉันจะตายแล้ว จะตายแล้ว ! ”

เมื่อหยางเฉ่วเห็นหานเฉ่วเฟิงลงมือหนักขึ้น ก็ยื่นมือเข้ามาหยุดผมและหานเฉ่วเฟิง

ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดอย่างเย็นชา “ บนตัวของแกก็มีสัญลักษณ์หน้าผีสามตาเหมือนกัน บอกมาซิ ว่าแกได้สัญลักษณ์นี้มายังไง และมันหมายความว่าอะไร ”

โจวเจี่ยนกำลังนอนราบกับพื้น ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปลูบสัญลักษณ์ที่ต้นขา ใช้ปากที่มีคราบเลือดพูดว่า “ นี่ นี่เป็นสิ่งที่นักพรตหยวนให้ฉันเอาไว้ ”

“ ทำไมเขาต้องให้กับแก ” ผมถามต่อ

 

โจวเจี่ยนก้มหัวลง ช่วงเวลานั้นเขายังไม่พูดอะไรออกมา

เมื่อเห็นเจ้านี้ปากแข็ง ไม่ยอมพูด พวกเราจึงเตรียมจะอัดเขาต่อ

ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนมาทำให้ชายคนนี้กลัวต่อ

แต่ทันใดนั้น โจวเจี่ยนที่ก้มหัวอยู่กลับสูดหายใจเข้าอย่างกระทันหัน พูดกับพวกเราด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “ เพราะ เพราะ เพราะถ้ามีสัญลักษณ์นี้ ฉันก็จะจะเป็นคนในองค์กรแล้ว ! ”

“ องค์กร องค์กรอะไร ” ผมถามต่อ

แต่เสียงพึ่งจางหาย เจ้าโจวเจี่ยนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขายังแสดงท่าทางหวาดกลัว แต่วินาทีนี้เขาดูน่ากลัวขึ้นมา

 

พ่นน้ำลายผสมเลือด ออกมาจากปาก เส้นเลือดดำที่คอปูดขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเลือด ราวกับสัตว์ร้าย

แต่สิ่งที่น่าขนลุกยิ่งกว่านั้นคือ ที่หน้าผากของเขา กำลังแยกออก จนมีเลือดไหลออกมา

ทันใดนั้นตรงกลางของมันก็มีอะไรบางอย่างกลมๆขาวๆโผล่ออกมา พอมองดูแล้วเหมือนกับลูกตา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ในใจของพวกเราสามคนก็มีเสียงดัง “ กึก ” เพราะมันคือตาที่สาม

แต่ไม่รอให้พวกเราได้ตั้งรับใดๆ เจ้าโจวเจี่ยนกลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดออกมาจนเกือบเหมือนกับการตะคอก “ เป็นองค์กรที่สามารถทำให้ฉันเป็นอมตะได้ ! ”

หลังจากพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็จับต้นขาของหยางเฉ่วไว้ และอ้าปากกัดทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset