ศพ – ตอนที่ 103 กดไว้

ตอนที่ 103 กดไว้

เขาเปลี่ยนไปเร็วมาก บวกกับอยู่ใกล้กับหยางเฉ่ว พวกเราทุกคนจึงไม่ทันตั้งตัว

หลังจากพวกเราได้สติกลับมา มันก็สายเกินไปแล้ว

เห็นเพียงแค่โจวเจี่ยนอ้าปากอย่างรวดเร็ว และกัดลงไปที่ต้นขาของหยางเฉ่วทันที

หยางเฉ่วอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา เธอขยับขาไปมาอย่างต่อเนื่อง อยากจะทำให้ปากของโจวเจี่ยนหลุดออก

แต่ชายคนนี้กลับกัดที่ต้นขาของหยางเฉ่วอย่างแน่น ในปากของมันยังส่งเสียงร้อง “ ฮือฮือฮือ ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ รนหาที่ตาย ! ” ผมตะโกนด่า จากนั้นก็ถีบเข้าไปทันที

 

การถีบครั้งนี้ของผมแรงสุดๆ แถมมันยังเข้าไปโดนที่ด้านหนึ่งของหน้าอีกฝ่ายจังๆ

พลังที่มหาศาล ทำให้ปากของโจวเจี่ยนคายออก

“ หยางเฉ่ว เธอเป็นอะไรไหม ! ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง

หยางเฉ่วเดินเขย่งเท้า ถอยไปข้างหลังสองสามก้าว

มองต้นขาเรียวขาวของตัวเอง ที่ตอนนี้ได้มีรอยฟันสองแนวกดลงไปบนผิวของเธอถูกฟันกัด จนมีเลือดสดๆไหลออกมา

“ ไม่ ไม่เป็นไร ” หยางเฉ่วพยายามพูด และปิดต้นขาเอาไว้ ใช้มือกดแผลให้เลือดหยุดไหล

ในเวลาเดียวกัน หานเฉ่วเฟิงก็พูด ฮึ

 

เขาหยิบที่เขี่ยบุหรี่บนหัวเตียงขึ้นมา จากนั้นก็เข้าไปทุบหัวโจวเจี่ยนทันที

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หานเฉ่วเฟิงก็ลงมือโหดจริงๆ

และไม่กลัวว่าเจ้านี้จะถูกทุบตาย “ ปัก ” เขาเริ่มต่อสู้กับชายคนนี้ทันที

“ เบื่อชีวิตมากซินะ คืนนี้ฉันจะฆ่าแก ! ” หานเฉ่วเฟิงตะโกน ในเวลาเดียวกันก็ทุบโจวเจี่ยนอย่างไม่ยั้งมือ

แต่ตอนนี้โจวเจี่ยน แตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ

เมื่อตาที่สามปรากฏขึ้น พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

แม้เลือดจะไหลออกมาจากหัว แต่เขากลับไม่สนใจมันเลยสักนิด

 

ทันใดนั้นเขาก็ตะโกน “ อย่าคิดว่าจะมาจัดการฉันได้ง่ายๆ ! ถ้าต้องตายฉันก็จะลากพวกแกลงไปด้วย ”

หลังจากพูดจบ ก็พุ่งเข้ามาหาหานเฉ่วเฟิงอย่างไม่กลัวตาย

หานเฉ่วเฟิงเองก็คิดไม่ถึงว่า เพียงแค่ชั่วพริบตาอีกฝ่ายจะกล้า และยังต่อสู้อย่างกับคนบ้า

ผลลัพธ์เขากลับถูกอีกฝ่ายกระแทกจนล้ม และสภาพของโจวเจี่ยนในตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากหมาบ้าเลยสักนิด

เขาอ้าปากกัดหานเฉ่วเฟิงแบบมั่วๆ หานเฉ่วเฟิงเองก็ไม่รอช้ารีบ ใช้มือจับคออีกฝ่ายเอาไว้ทันที ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ทุบตัวเขาแรงๆอย่างต่อเนื่อง

แต่มันกลับไม่ได้ผล โจวเจี่ยนไม่สนใจมันเลยสักนิด

 

สีหน้าของผมและหยางเฉ่วเปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นสถานการณ์อันตรายขึ้น พวกเราก็ไม่รอช้า

รีบเข้าไปช่วยทันที ผมจับหัวของเจ้านั้นเอาไว้ ใช้แรงดึงให้เขาออกห่าง

ส่วนหยางเฉ่ว ตอนนี้กลับกัดนิ้ว และวาดคาถาลงบนมือของตัวเอง

ในเวลาเดียวกัน เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่ออกไปก่อนหน้านี้ ก็ลอยกลับเข้ามาอีกครั้ง

เมื่อเห็นโจวเจี่ยนและพวกเรากำลังต่อสู้กัน เธอก็อึ้งไปแป๊บนึง

แต่จากนั้นเธอก็รีบเข้ามาช่วยทันที แม้ว่าโจวเจี่ยนจะมีแรงเยอะมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงของพวกเราสามคน เขาก็ไม่อาจเอาชนะได้

สุดท้ายเขาก็ถูกผมกดลงกับพื้น หานเฉ่วเฟิงเองก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

เขาฉีกผ้าปูออกมาทำเป็นเชือก และนำไปมัดที่ข้อมือและข้อเท้าของเจ้านี้ทันที

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจ้านี้ก็ยังคงจ้องพวกเราอย่างดุร้าย ด้วยตาเต็มไปด้วยเลือด และดิ้นไปมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ปากของเขายังพ่นน้ำลายเหนียวๆออกมา แม้จะเห็นได้รางๆ

แต่ตอนนี้ฟันของเขา ยาวขึ้นมาก

ขณะที่เขาดิ้นรน ก็พูดออกมาไม่หยุด “ ฉันจะไม่พูด ฉันจะไม่พูด ! ฉันเป็นอมตะ ฉันเป็นอมตะ…… ”

เมื่อเห็นสภาพแบบนี้ ผมก็กลอกตา แต่ไม่ลังเลเลยสักนิด

เมื่อกี้ยังกลัวจนแทบช็อก แต่ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนมาบ้าคลั่งได้ขนาดนี้นะ

 

หรือว่าจะเกี่ยวกับตาที่สามของเขา

ผมคิดในใจ ช่วงเวลานั้นหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆก็วาดคาถาเสร็จแล้ว

หยางเฉ่วทำฝ่ามือให้กลายเป็นยันต์ และตอนนี้ก็มายืนหยุดอยู่ที่หน้าโจวเจี่ยน

จากนั้นก็ได้ยินเธอพูดว่า “ เมื่อกี้แกกัดฉัน ตอนนี้ฉันจะทำให้แกได้เห็นถึงความร้ายกาจของฉันบ้าง ! ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ยื่นฝ่ามือออกมา

ทันใดนั้นยันต์เลือดที่ฝ่ามือ ก็ถูกแปะลงไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย และตำแหน่งนั้นยังตรงกับดวงตาที่สามพอดีด้วย

เมื่อฝ่ามือสัมผัสผิวหนัง โจวเจี่ยนที่เคยเอาแต่แหกปากตะโกน ก็เริ่มตัวสั่นอย่างแรง ทันใดนั้นเขาก็กรีดร้องโหยหวน “ อ้า! อ้า…… ”

 

ร่างกายของเขาดิ้นตลอดเวลา ดูเหมือนเขาจะกำลังทรมานสุดๆ

ยันต์ฝ่ามือที่แปะอยู่บนหน้าผากของเขา ทำหน้าที่เหมือนหัวแร้ง เผาทำลายตาผีลูกนั้นอย่างต่อเนื่อง มันส่งเสียง “ พรึบพรึบพรึบ ”

ทันใดนั้นไอดำ ก็หลั่งไหลออกมาจากร่องนิ้วของหยางเฉ่วอย่างต่อเนื่อง และมันยังดูน่าขนลุกเอามากๆ

“ ติงฝาน เฟิงเฉ่วหาน กดเจ้านี้เอาไว้ ฉันจะทำให้เจ้านี้ได้ตาสว่าง ! ” หยางเฉ่วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ผมและหานเฉ่วเฟิงเองก็ไม่กล้าชักช้า รีบขึ้นไปข้างหน้า และจับโจวเจี่ยนกดเอาไว้ทันที ทำให้เขาไม่สามารถขยับอะไรได้อีก

แม้แต่เจ้าเชี่ยนเชี่ยน ที่นั่งอยู่บนขาของโจวเจี่ยนก็เข้ามาช่วยพวกเรา

 

หานเฉ่วเฟิงยังช่วย และพูดกับหยางเฉ่วว่า “ น้องสาว เธอฟังให้ดีๆ ฉันคือหานเฉ่วเฟิง ไม่ใช่เจ้าขยะ

เฟิงเฉ่วหานนั้น ! ”

ผมที่อยู่ข้างๆแสดงท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อย แต่หยางเฉ่วกลับไม่ได้สนใจมากนัก และยังไม่มองหานเฉ่วเฟิงเลยสักนิด “ นายพูดบ้าอะไร พวกนายสองคนก็มีชีวิตเดียวกันไม่ใช่เหรอ อยู่ในร่างเดียวกันแท้ๆ ชื่อของพวกนาย จะมีอะไรต่างกัน ฮึปัญญาอ่อน ”

จู่ๆก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนี้ ใจของผมจึงอดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ”

ต้องรู้ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องของเฟิงเฉ่วหานให้หยางเฉ่วฟัง และเธอเองก็ไม่ถาม

คิดไม่ถึงว่า หยางเฉ่วจะสามารถดูออกด้วยตัวเอง

 

แค่ใช้สายตา ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าหยางเฉ่วความรู้กว้างขวางมาก เธอช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

แต่ผมก็กังวลว่าหานเฉ่วเฟิงจะโมโห เพราะชายคนนี้มีนิสัยนักเลงโดยสมบูรณ์

แต่ใครจะรู้หานเฉ่วเฟิงกลับเงียบ แต่วินาทีต่อมาเขากลับยิ้มกว้างๆ “ น้องสาว เธอนี่ตรงสเปคฉันจริงๆ ! ”

“ อย่ามัวแต่พูดมาก กดเอาไว้ดีๆ ฉันจะใช้พลังแล้ว ! ” หยางเฉ่วพูดออกมาอีกครั้ง

หลังจากพูดจบจู่ๆมืออีกข้างของหยางเฉ่วก็เริ่มเสกคาถา ผมเองก็ออกแรงเพิ่มมากกว่าเดิม

แม้ว่าหานเฉ่วเฟิงจะไม่พูดอะไร แต่เขากลับยิ้มตลอดเวลา ดูเหมือนท่าทางแบบนั้นเขาจะสนใจหยางเฉ่วมาก

ในที่สุดผมก็เห็นนิ้วของหยางเฉ่วประสานกัน จากนั้นก็วางมือลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี๊ยง ! ”

 

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น หยางเฉ่วก็กดยันต์ที่ฝ่ามือลงไป ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” เบาๆก็ดังขึ้น

จากนั้น ผมก็รู้สึกว่าพลังหยินกำลังไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือ เอ่อล้นไปรอบๆ

และโจวเจี่ยนที่ถูกกดเอาไว้ที่พื้น กลับดิ้นแรงกว่าเดิม และกรีดร้องอย่างรุนแรง

“ อ้า ! อ้า ! เจ็บ เจ็บโว้ย ”

หยางเฉ่วยังไม่มีทีท่าว่าจะลดมือลง เธอแสดงใบหน้าเย็นชา กระตุ้นคาถาต่อไปเรื่อยๆ

หลังจากนั้นประมาณ 10 วินาที เสียงร้องของโจวเจี่ยนก็เริ่มอ่อนลง แรงที่ใช้ดิ้นก็เริ่มเบาลง……

ผ่านไปอีกสองสามนาที โจวเจี่ยนก็แทบไม่มีแรงต่อต้าน หยางเฉ่วจึงปล่อยมือ

 

จากนั้นก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดว่า “ โอเคแล้ว ! เจ้านี้หมดฤทธิ์แล้ว ”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเราถึงลุกขึ้น

มองสภาพของโจวเจี่ยน ที่กำลังหายใจโรยริน สีหน้าอ่อนล้าดวงตาทั้งสองข้างไร้ชีวิตชีวา

และดวงตาที่สามบนหน้าผาก ก็ได้หายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคราบเลือดและรอยแยกของเนื้อเท่านั้น

หยางเฉ่วมองสภาพที่กำลังใกล้ตายของโจวเจี่ยน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างดุร้าย “ ยังกล้ามากัดฉัน ไม่มีแกนพลังหยินแล้ว ดูซิว่าแกจะทำอะไรได้อีก…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset