ศพ – ตอนที่ 105 วาดยันต์

ตอนที่ 105 วาดยันต์

เมื่อพวกเราเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ตกใจกลัวทันที

ยึดตามสภาพของโจวเจี่ยนก่อนหน้านี้ หลังจากเส้นสีดำแพร่ไปรอบตัว เธอจะต้องตาย

“ สมควรตาย สัญลักษณ์ของยัยผีนี้ก็ถูกกระตุ้นแล้ว ! ” หานเฉ่วเฟิงขมวดคิ้ว

ผมแสดงสีหน้าเคร่งเครียด “ มีวิธีหยุดสัญลักษณ์ผีนี่ไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เชี่ยนเชี่ยนจะต้องตายแน่ ! ”

“ อร๊าย ! เจ็บมาก เจ็บจะตายแล้ว ฆ่าฉันที รีบฆ่าฉันเร็ว ! ” เชี่ยนเชี่ยนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทรมานมาก

หยางเฉ่วแสดงท่าทางหนักใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมสองคนพูด และมองท่าทางที่กำลังทรมานของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน สุดท้ายเธอก็พูดกับผมและหานเฉ่วเฟิงว่า “ บนตัวของพวกนายพกยันต์มาบ้างไหม ฉันจะลองเสกคาถาดู ! ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็รีบค้นตัวทันที

แต่สุดท้ายผมก็พบว่าในตัวมียันต์อยู่จริงๆ แต่เป็นยันที่มีอักขระเขียนเอาไว้แล้ว ไม่ใช่ยันต์เปล่า

แต่ทันใดนั้นหานเฉ่วเฟิงที่อยู่ข้างๆผม กลับพูดว่า “ ฉันมี เจ้าขยะเฟิงเฉ่วหานเอายันต์มาสองสามเผ่น ! ”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็ยื่นยันต์สามแผ่นให้ทันที

สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เฟิงเฉ่วหานพกติดตัวไว้ เมื่อเห็นหานเฉ่วเฟิงยื่นยันต์ให้หยางเฉ่ว ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็พูดว่า “ อยากให้ช่วยอะไรอีกไหม ”

หยางเฉ่วไม่หันมามองหานเฉ่วเฟิง เธอกัดนิ้วของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็พูดว่า “ พวกนายสองคนใครวาดยันต์สะกดวิญญาณเป็นบ้าง ”

 

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูด ผมก็แสดงสีหน้าลำบากใจ

ผมเคยได้ยินเรื่องยันต์สะกดวิญญาณมาจากอาจารย์ เป็นยันต์ที่คนในสายงานของพวกเราใช้กันบ่อยมาก

เพราะทำให้วิญญาณมั่นคง จากผลของการสงบจิตใจ

ผมเคยได้ยินมาก็จริง แต่ผมพึ่งเข้ามาทำงานไม่นาน พลังก็โครตจะอ่อน

ปัจจุบันนอกจากจะวาดยันต์สามชนิดที่อาจารย์เคยสอนได้แล้ว ผมก็ไม่สามารถทำยันต์ประเภทอื่นได้

ผมส่ายหัว และหันไปมองหานเฉ่วเฟิง

แต่หานเฉ่วเฟิงกลับกลอกตา เหลือบมองเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังตัวสั่นและกรีดร้องอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็พูดขึ้นมาทันที “ ยันต์น่ะฉันวาดไม่เป็น แต่ฉันจำได้ว่าเจ้าขยะเฟิงเฉ่วหานทำได้ ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็เงียบไปแป๊บหนึ่ง จากนั้นก็หยิบขวดสีขาวออกมาจากร่างกาย

 

จากนั้นก็หันมาพูดกับผมว่า “ ติงฝาน พี่เฟิงทำได้แค่ออกมาดูแลนายในครั้งหน้า เออใช่แล้ว จดเบอร์โทรศัพท์น้องหยางเฉ่วไว้ด้วยนะ ครั้งหน้าฉันจะนัดเธอมากินข้าว ! ”

ผมทำหน้าอึดอัดใจ ส่วนหยางเฉ่วนั้นไม่หันมามองเขาเลยด้วยซ้ำ

หานเฉ่วเฟิงชอบทำตามใจ แม้ว่าจะมีนิสัยเหมือนพวกนักเลงมาก

แต่ถ้ามองจากท่าทีของเขา ดูเหมือนเขาคิดจะกลับไปหลับลึก และเปลี่ยนให้เฟิงเฉ่วหานออกมาจริงๆ

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็เปิดฝาขวด จากนั้นก็หยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด และกลืนมันลงไปทันที

หลังจากกินยาเข้าไป หานเฉ่วเฟิงยังทำมือเหมือนประสานกันเหมือนเสกคาถา

เขารีบพูดออกมาทันที “ เจ้าขยะ ออกมาได้แล้ว ! ”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง

“ ปัง ” ทันใดนั้นตาของหานเฉ่วเฟิงก็เหลือกขึ้น ล้มลงไปกับพื้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็รีบวิ่งเข้าไป ประคองร่างของเฟิงเฉ่วหานเอาไว้ทันที

จากนั้นตัวเขาก็กระตุกอีกสองครั้ง ทันใดนั้นผมก็เห็นม่านตาของเขาขยายออก

แสดงสีหน้าตกตะลึง หานเฉ่วเฟิงได้สติกลับมาแล้ว

เขากระวนกระวายรีบพูดทันที “ ติงฝาน จัดการยัยผีนั้นได้ไหม ”

เพราะหานเฉ่วเฟิงเลือกที่จะกลับไปหลับลึก และยังประสานมือเอาไว้ ดังนั้นแม้เวลาที่เฟิงเฉ่วหานออกมาจะเร็วมากแต่เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น และเรื่องทั้งหมดยังผ่านไปแค่ 5 วินาทีเท่านั้น

 

ผมเองก็ไม่มีเวลามานั่งอธิบายให้เขาฟัง จึงรีบพูดกับเขาตรงๆ “ อย่าพึ่งพูดมาก นายรีบวาดยันต์สะกดวิญญาณเร็วเข้า ! ”

“ วาดยันต์ ” หานเฉ่วเฟิงทำหน้าสงสัย ในเวลาเดียวกัน ก็เห็นผีเจ้าเชี่ยนเชี่ยนกรีดร้องทรมาน จึงงงหนักมาก

“ อย่ามัวชักช้า เร็วเข้า ! ” ผมเร่งเขา

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมเร่ง และหยางเฉ่วยังกำลังวาดยันต์อย่างรวดเร็ว

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบยันต์ขึ้นมา กัดนิ้วตัวเองและวาดยันต์อย่างรวดเร็ว

แต่คนที่ไม่สามารถวาดยันต์ได้ แบบผม จึงทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ ภาวนาให้คาถาใช้ได้ผลเท่านั้น

แม้ว่าทั้งสองคนจะวาดเร็วมาก แต่ก็วาดด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะตอนที่วาดให้มันบรรจบกัน พวกเขาก็ต่างไม่กล้าทำให้ผิดพลาดเลยสักนิด

 

แต่เวลาไม่รอใคร เส้นสีดำของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้แพร่ขยายไปกว่าครึ่งร่างแล้ว

ตอนที่เห็นมันถูกขยายจนเกิบสมบูรณ์แล้ว หยางเฉ่วก็พูดกับผมอีกครั้ง “ ติงฝาน ส่งพลังหยางให้เชี่ยนเชี่ยน ถ่วงเวลาให้ได้สักนาทีก็ยังดี ! ”

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ถึงผมจะอยากช่วย แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

ผมจึงกระวนกระวาย “ หยางเฉ่ว ส่งยังไง ”

หยางเฉ่วไม่หันมามองผม “ ผายปอด ! ”

เมื่อได้ยินคำว่า “ ผายปอด ” ผมก็อึ้งไปพักหนึ่ง

นี่ไม่ได้บอกให้ผมไปจูบผีเหรอ ผมอดไม่ได้ที่จะตกใจ

แม้ว่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ใช่สาวสวย แต่ก็ถือว่าค่อนข้างหน้าตาดี

 

ตอนมีชีวิตยังเคยเรียนเต้น จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องรูปร่างเลย

แต่เพื่อช่วยชีวิตคน แค่ผายปอดจะเป็นอะไรไป อีกอย่างรูปร่างของอีกฝ่ายก็ดูไม่เลว

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ในสมองของผม กลับมีภาพยัยมู่หลงเหยียนเจ้าอารมณ์โผล่ขึ้นมา

ถ้าให้เธอรู้เรื่องผมจูบผู้หญิงคนอื่นละก็ เธอต้องรีบมาฉีกผมเป็นชิ้นๆแน่

แต่ตอนนี้มันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว อาจารย์เคยบอกว่า เป็นคนปราบสิ่งช่วยร้ายไม่ใช่แค่กำจัดผี แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยเหลือพวกวิญญาณ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็ไม่สน และลังเลอีกต่อไป รีบเดินเข้าไปตรงหน้าของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนทันที

มองร่างตรงหน้าที่กำลังเจ็บปวดทรมาน และใบหน้าที่เกือบเต็มไปด้วยเส้นสีดำ จากนั้นก็พูดว่า “ เชี่ยนเชี่ยนขอโทษนะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ย่อตัวลงไป จูบเธอทันที

ความรู้สึกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก มันเหมือนจูบกับก้อนน้ำแข็ง แค่เย็นจนถึงกระดูกเท่านั้น

ความเย็นไหลทะลักเข้ามาในปากอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวของผมรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที

และผมก็ไม่ลืมที่จะพ่นลมหายใจเข้าไป แบบนี้ก็ถือว่าสามารถส่งพลังหยางของตัวเองเข้าสู่ร่างกายของยัยผีได้แล้ว

จากนั้นผมก็ส่งพลังหยางในร่างตัวเองให้กับยัยผีอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลานั้นดูเหมือนความเจ็บปวดทรมานของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนจะลดลง

จู่ๆเส้นสีดำที่เคยแพร่อย่างรวดเร็ว ก็ลดความเร็วลงมาไม่น้อย

 

แค่ช้าลง แต่ยังไม่หยุด

ตอนนี้ผมส่งพลังหยางให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ประมาณ 30 วินาทีแล้ว แต่ขณะที่เวลามาถึงช่วง 30 วิพอดี หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานที่วาดยันต์อยู่ก็ทำเสร็จ

ตอนนั้นเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่ว ทำเสร็จพร้อมๆกัน

แต่ว่าหยางเฉ่วกลับวาดยันต์สองแผ่น ส่วนเฟิงเฉ่วหานแค่แผ่นเดียว

เมื่อผมเห็นสองคนนั้นวาดเสร็จแล้ว ก็รีบปลีกตัวออกมาทันที

ผมพึ่งถอนปากออก เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็กลับมาทรมานอีกครั้ง และเส้นสีดำนั้นก็เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

หยางเฉ่วจ้องเฟิงเฉ่วหาน เธอพูดออกมาตรงๆ “ ใช้ยันต์แปะที่ประตูชีวิตผี ! ”

 

เฟิงเฉ่วหานไม่ถามอะไรสักคำ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องมาที่ห้องแปลกๆนี้ และทำไมตอนนี้ถึงต้องทำแบบนี้ด้วย

แต่เมื่อเห็นท่าทางที่รีบร้อนของพวกเรา เขาก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปแปะยันต์ทันที

จากนั้นหยางเฉ่วก็นำยันต์สองแผ่นที่อยู่ในมือ ไปแปะที่หน้าอกและหลัง อย่างละแผ่น

หลังจากยันต์ทั้งสามแผ่นถูกแปะเรียบร้อย สีหน้าหยางเฉ่วก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เผยท่าทางจริงจังออกมา

ใช้มือทั้งสองข้างเสกคาถา และการเสกนั้นยังเร็วสุดๆ เร็วจนคนที่มองแทบตาลาย

ผมคิดว่าครั้งนี้ความเร็วในการเสกคาถาของหยางเฉ่ว เร็วกว่าอาจารย์และนักพรตตู๋ซะอีก

ในที่สุดผมก็ได้ยินหยางเฉ่วตะโกนว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ผนึก ! ”

 

เสียงพึ่งเงียบลง มือที่ประสานกันของหยางเฉ่วก็ชี้ไปข้างหน้าเล็กน้อย

จากนั้น ยันต์สามแผ่นที่แปะเอาไว้ก็สั่นไหว และ “ ปัง ปัง ปัง ” ระเบิดในทันที

พวกมันกลายเป็นผุยผง และลอยหายไปต่อหน้าต่อตา

แต่หลังจากพลังของยันต์สามแผ่นนี้ทำงาน เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่เจ็บปวดทรมาน ก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เส้นสีดำที่เคยกระจายอยู่บนตัวเธอ ตอนนี้มันกลับหยุดลง จากนั้นก็ถอยกลับไปสู่จุดเริ่มต้น และกลับเข้าไปในตราสัญลักษณ์ที่ถูกประทับเอาไว้

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เส้นสีดำยังค่อยๆอ่อนลงมาทีละนิด ราวกับจะจางหายไป……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset