ศพ – ตอนที่ 107 ยายแก่พิลึก

ตอนที่ 107 ยายแก่พิลึก

เสียงของผมพึ่งเงียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง

ผมจึงตกใจเล็กน้อย และหันไปมองทันที

เมื่อหันไปมอง ก็พบว่าบนถนนที่อยู่ด้านหลัง กลับมียายแก่คนหนึ่งยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ใบหน้าของยายแก่มีผ้าคลุมสีดำ ปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด ดูท่าทางไม่กลัวร้อนเลยสักนิด

ในมือยังถือไม้เท้าสีดำ หลังค่อม ยืนเงียบๆอยู่ใต้แสงไฟสลัวๆและห่างพวกเราไม่ถึง 10 เมตร

เมื่อผมสามคนเห็นสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

เห็นได้ชัดว่าเป็นคนแปลกหน้า และเมื่อมองจากท่าทางของอีกฝ่าย จะเห็นได้ชัดเลยว่าคนๆนี้มาด้วยเจตนาไม่ดี

 

ผมขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถามว่า “ ยายเป็นใคร ”

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือฉันมาฆ่าคน ” ยายแก่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง

“ ฆ่าคน ยายจะมาฆ่าใคร ” หยางเฉ่วถามต่อ

แต่ยายแก่คนนั้นกลับกดเสียงลงต่ำ “ คนไร้ค่า ! ”

หลังจากพูดจบ ยายแก่คนนั้นก็นำไม้เท้าที่ถือเอาไว้กระแทกลงกับพื้นหนึ่งครั้ง “ ปัง ”

ทันใดนั้น เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆพวกเรา ก็ร้อง “ อร๊าย ” ออกมาทันที โดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าเลยสักนิด

จากนั้น “ ปัก ” เธอก็ล้มลงไปกับพื้น

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ตกใจทันที

ผมรีบถาม “ เชี่ยนเชี่ยน เธอเป็นอะไรไป ”

“ เจ็บ ฉันเจ็บมาก มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ความรู้สึกนั้น ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง ! ” เจ้าเชี่ยนเชี่ยนพูดด้วยความทรมาน ในเวลาเดียวกันก็เอื้อมมือไปจับที่คอของตัวเอง

และในขณะที่เธอกำลังขยับ พวกเราก็พบว่าสัญลักษณ์ผีสามตาที่เคยถูกสะกดเอาไว้ ตอนนี้มันกลับเปล่งแสงอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น ลวดลายคล้ายใยแมงมุมสีดำ ก็ได้แพร่ออกมาจากสัญลักษณ์อีกครั้ง มันเริ่มขยายไปทั่วร่างกายของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราสามคนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา

 

ส่วนยายแก่ที่อยู่ใกล้ๆนั้น ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ คนที่ไร้ค่าต่อองค์กร มีจุดจบแค่อย่างเดียว คือตาย ! ”

ตอนที่พูดถึงคำว่า “ ตาย ” ยายแก่คนนั้นก็กดเสียงลงต่ำมาก

และหลังจากที่ยายแก่พูดจบ ก็หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมาอย่างน่าขนลุก

แต่เมื่อพวกเราได้ยิน ในสมองกลับมีเสียงระเบิดดัง “ ปัง ” ราวกับฟ้าผ่าในตอนกลางวัน

ถ้าพูดแบบนี้ งั้นยายแก่คนนี้ก็ต้องเป็นคนในองค์กรนะซิ

แล้วทำไมยายแก่คนนี้ ถึงพึ่งกระตุ้นตราผีนั้นละ

เธอออกมาปรากฎตัวตอนนี้ ก็เพื่อมาฆ่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยนงั้นเหรอ

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็หันไปมองยายแก่อย่างรวดเร็ว “ แกมาฆ่าเชี่ยนเชี่ยนงั้นเหรอ แกรีบแก้คาถาให้เธอเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นแกได้เห็นดีกันแน่ ! ”

ผมพูดอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ

เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่ว ก็จ้องยายแก่นั้นเช่นกัน

แต่ยายแก่กลับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นคางที่มีรอยย่นและริมฝีปากสีม่วง “ เจ้าเด็กน้อย บางเรื่องเธอก็ไม่สามารถรับมือกับมันไหว ! มาจากไหน ก็กลับไปที่นั้น ไม่อย่างนั้นตายแล้ว มันจะไม่คุ้มนะ ! ”

หลังจากพูดจบ ยายแก่คนนั้นก็ไม่มองพวกเราเลยสักนิด เธอหมุนตัวเดินออกไปทันที

ยายแก่พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นมาก สงบมาก และไม่สนเสียงกรีดร้องของเจ้าเชี่ยนที่อยู่ด้านหลังเลยสักนิด

เธอเดินอย่างสบายใจ และค่อยๆย่างกรายเข้าสู่ความมืดอย่างช้าๆ

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ในใจของผมก็มีไฟแห่งความโกรธลุกโชนขึ้นมาทันที

ทำเรื่องเลวๆไว้ แล้วยังทำท่าทางสบายใจได้แบบนั้น ยกโทษให้ไม่ได้

แถมยายแก่คนนี้ ยังเป็นคนในองค์กรชัดๆ

และดูเหมือน เธอยังสามารถควบคุมความเป็นความตายของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้อีกด้วย

นอกจากนี้ผมยังมีเหตุผลให้เชื่อว่า ที่สัญลักษณ์ของโจวเจี่ยนเริ่มทำงานได้ ก็เพราะเกิดจากยายแก่คนนี้ถึง 90%

“ ชีวิตเป็นของฉัน จะตายรึเปล่า มันก็ขึ้นอยู่กับฉัน ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็วิ่งเข้าไปทันที

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็ทำเช่นเดียวกัน ถ้าไม่หยุดยายแก่นี้เอาไว้ คืนนี้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนจะต้องตายแน่

 

“ หยุดเดี๋ยวนี้ ” ผมวิ่งไป ตะโกนไป

แต่ยายแก่คนนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน เธอหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” จากนั้นก็เดินเข้าไปในความมืดเรื่อยๆ

เมื่อพวกเราสามคนไล่ตามเข้ามาถึงในความมืด ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของยายแก่คนนั้นเลยสักนิด

“ หายไปแล้ว ” หานเฉ่วเฟิงพูดด้วยความตกใจ

“ เธอเร็วจริงๆ ! ” หยางเฉ่วเองก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

ที่นี่มีถนนเพียงเส้นเดียว และไม่มีซอยหรือตรอกเล็กๆด้วย

ตลอดทั้งเส้นใช้เวลาเดินไม่กี่วินาที ยายแก่นี้จะหายไปได้จริงๆเหรอ

“ ยายแก่ ออกมาเดี๋ยวนี้ ! ” ผมตะโกน พร้อมกับหันไปมองรอบๆ อย่างกระวนกระวาย

 

ผลลัพธ์เสียงพึ่งเงียบลง จู่ๆด้านหลังของผม ก็มีเสียงของยายแก่ดังขึ้น “ เลิกตะโกนได้แล้ว ฉันอยู่นี้ ! ”

เมื่อได้ยินว่าเสียงดังมาจากข้างหลัง ในใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอีกครั้ง

หันไปอย่างรวดเร็ว มองดูด้านหลังอีกครั้ง

ผลลัพธ์หลังจากหันไป “ พรึบ ” สีหน้าของพวกเราก็เปลี่ยนไปทันที

ผมกลืนน้ำลายทันที เพราะไม่รู้ว่ายายแก่นี้ใช้วิธีอะไร ราวกับภูติผี มาปรากฎตัวที่ด้านหลังของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ข้างๆเจ้าเชี่ยนเชี่ยน เธอยังคงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นรอยย่นที่คางและริมฝีปากสีม่วง

 

ดูเหมือนในช่วงเวลานี้ มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับกำลังยิ้ม

“ แกเป็นคนหรือผี ” เฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะถาม

แต่ยายแก่กลับยกไม้เท้าในมือขึ้น และพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ จะคนหรือผีก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือจงรักภักดี ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นยายแก่ก็ก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว ใช้ไม้เท้าในมือ กระแทกที่ท้องของยัยผีอย่างไม่ลังเล

ทันใดนั้นเสียง “ อร๊าย ” ก็ดังขึ้น เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่ทรมานจนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว กลับต้องทรมานจนถึงขีดสุด

 

เธอดิ้นทุรนทุราย ใช้สองมือจับไปที่ไม้เท้า เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว

“ เชี่ยนเชี่ยน ! ” ผมและหยางเฉ่วตะโกน พร้อมกับความโมโหที่อยู่ในใจได้ระเบิดออก

“ ยายแก่สมควรตาย ฉันจะฆ่าแก ! ” ผมตะคอก จากนั้นก็วิ่งเข้าไปอีกครั้ง

แต่ดูเหมือนยายแก่นั้นจะไม่สนใจเลยสักนิด เธอส่ายหัวให้กับผม “ มืออีกข้างของเธอใช้ได้แค่เอามาโบกมือให้ฉันเท่านั้น ! ”

ทันใดนั้น ผมก็เห็นไอดำอยู่ตรงหน้า

ความเร็วนั้นยากที่จะรับรู้ได้ เมื่อผมเห็นมัน ก็สายไปแล้ว

 

ไอดำพวกนั้นพุ่งชนตัวผมทันที วินาทีนั้น ผมก็รู้สึกถึงพลังที่แปลกมากๆ ราวกับถูกรถบรรทุกพุ่งชน

“ ปัง ” วินาทีนั้นตัวผมกระเด็นออกไปทันที และสุดท้ายก็นอนราบลงไปกับพื้นอย่างแรง

“ ติงฝาน ! ” หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานตกใจ รีบวิ่งมาหาผมทันที

ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ความร้อนไหลขึ้นมาจากท้องตรงๆ ทันใดนั้น “ อัก ” ผมก็กระอักเลือดออกมาทันที

ในเวลานี้ ผมรู้สึกว่าตัวกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ มันทรมานมากๆ

แต่ผมไม่ร้องออกมา แค่เงยหน้าขึ้น มองเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังทรมานมากๆ และยายแก่ที่เผยรอยย่นที่คางและริมฝีปากสีม่วงให้เห็นเท่านั้น

 

ผมรู้สึกโทษตัวเองมาก โทษตัวเองที่ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้

ในเวลานี้กลับทำได้แค่มองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้แต่เข้าไปใกล้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงจะช่วยยัยผีที่น่าสงสารนั้นได้เลย

ไม่รอให้ผมได้พูดอีกครั้ง เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังทรมาน กลับแสดงสีหน้าเจ็บปวด หันมามองพวกเราด้วยท่าทางที่กำลังทรมานมากๆ

จากนั้น ร่างของเธอก็เริ่มกระตุก เส้นสีดำเหล่านั้นได้กระจายเต็มหน้าเธอแล้ว

ดูแล้วน่าสยดสยอง และน่าสะพรึงกลัวมาก

 

แต่ในดวงตาของเธอทั้งสองข้าง กลับแสดงถึงความอบอุ่นและขอบคุณ

จากนั้น เธอก็กดความเจ็บที่อยู่ในร่างกายเอาไว้ พยายามพูดกับพวกเราด้วยเสียงที่อ่อนแรง “ ขอบ ขอบคุณ พวกคุณมาก ! ฉัน ฉันก็ควรรับโทษที่ฉันทำแล้ว ทำผิด ต้อง ต้องชดใช้…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset