ศพ – ตอนที่ 116 สู้ตัวคนเดียว

ตอนที่ 116 สู้ตัวคนเดียว

คำว่าทำลายพึ่งหลุดออกจากปาก ยันต์ดาวไถที่อยู่บนหัวของจางจึเทา เปล่งแสงสว่างวาบออกมา

พร้อมกับเสียงดัง “ ปัง ” ยันต์แผ่นนั้นระเบิดในทันที

คลื่นพลังอันแรงกล้าถูกกวาดออกไปในชั่วพริบตา ส่วนจางจึเทา ก็ร้อง “ อ้า… ”  ถอยไปข้างหลังและล้มลงไปทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าที่ตึงเครียดของผมก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย

สำเร็จไหม ผมแอบพูดในใจ

แต่ความคิดนี้พึ่งโผล่ออกมาไม่นาน จางจึเทาที่ล้มอยู่บนพื้น ก็พยายามลุกขึ้น

เห็นได้ชัดว่าเขาลำบากมาก แต่ก็ยังสามารถพยุงตัวเอง ให้ลุกขึ้นได้ทีละนิด

 

เมื่อเห็นจางจึเทายังมีแรงลุกได้ ท่าทีที่ผ่อนคลายของผม ก็กลับมากังวลอีกครั้ง

คิดไม่ถึงว่าโดนยันต์ปราบพลังชั่วของผมไปแล้ว จะยังสามารถลุกขึ้นมาได้อีก มันทำให้ผมตกใจจริงๆ

ตอนนี้หัวของจางจึเทาถูกผมระเบิดจนเป็นแผล เลือดไหลออกมาไม่หยุด และตอนนี้มันก็กำลังไหลลงมาที่หน้าของเขา

แต่จางจึเทา กลับใช้มือลูบหัวของตัวเอง

จากนั้นก็ยกออกมาดู วินาทีที่เขาเห็นเลือดเต็มมือตัวเอง ม่านตาก็ขยายใหญ่ทันที

วินาทีนั้นเขาก็เผยสีหน้าตื่นตกใจ ริมฝีปากสั่นระริกพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “ เลือด เลือด เลือดของฉัน ! อ้า อ้า…… ”

 

ทันใดนั้นจางจึเทาก็คำรามออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าเขาช็อกมาก

และยังดูเหมือนกำลังโกรธมากๆ เมื่อสองความรู้สึกประสานเข้าด้วยกัน ท่าทางน่าขนลุกก็ถูกเผยออกมาสู่สายตาผม

ส่วนผมในเวลานี้ไม่ได้ขยับไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงหยินยันต์ที่พกออกมาอีกหนึ่งแผ่น ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ

เพราะถ้าอีกฝ่ายประมาท แล้วเกิดช่องว่าง  ผมก็จะไม่ลังเลเข้าไปโจมตีซ้ำอีกครั้งทันที

แต่หลังจากจางจึเทาคำราม เขากลับจ้องมาที่ผม

แสดงสีหน้าดุร้าย พร้อมกับพูดด้วยความโกรธอย่างสุดขีด “ แก แกกล้าทำร้ายฉัน ทำให้ฉันเลือดไหลเยอะขนาดนี้ ฉันจะ ฉันจะกินแกซะ ! ”

 

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นตัวของจางจึเทาก็มีพลังหยินไหลทะลักออกมา ในเวลานี้เขาดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ผมทำหน้าหนักใจยิ่งกว่าเก่า ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถจัดการจางจึเทาได้ไหม แต่ผมยังไม่ยอมแพ้

จากนั้นผมก็พูดกับจางจึเทาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ ดีชั่วนั้นต่างกัน เข้ามาเลย ! ”

จางจึเทาอ้าปากอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงตะโกน “ โฮก… ” ออกมา

ราวกับสัตว์ร้าย เขาวางแขนและขาลงกับพื้น จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที

“ ไปตายซะ ! ” จางจึเทาตะโกนออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นสูงมาก

เหยียดมือไปด้านหน้า อ้าปากที่โชกเลือดจนกว้าง ผมไม่กล้าประมาท จึงรีบถอยหลบทันที

 

เมื่อเห็นข้างตัวมีท่อนไม้แห้งขนาดกลางอยู่ ผมก็รีบใช้มือหยิบขึ้นมา ทำเป็นอาวุธทันที

ตอนนี้จางจึเทาได้กลายเป็นคนบ้าไปโดยสมบูรณ์ เขาบุกเข้ามาหาผมอย่างไม่กลัวตาย

ดูเหมือนพลังของเจ้านี่จะไม่มีวันหมด ไม่รู้จักเหนื่อย และบ้าคลั่งอย่างมาก

แต่ดูเหมือนความเร็วของเจ้านี้จะไม่เร็วมาก และเมื่อกี้ก็โดนยันต์ทำลายความชั่วของผมไปหนึ่งแผ่น ยังไงมันก็ต้องส่งผลต่อเขาบ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้นตอนนี้ ผมจึงสามารถรับมือกับการโจมตีที่บ้าคลั่งนั้นได้

ถ้าก่อนหน้านี้เขาโจมตีแบบนี้ มันก็คงไม่เหลือโอกาสให้ผมได้ลงมือ และยันต์แผ่นนั้นก็คงทำร้ายเขาไม่ได้

เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ ผมหยิบท่อนไม้มาหนึ่งท่อน และยันต์อีกหนึ่งแผ่นมาต่อสู้กับจางจึเทาในป่า

 

การต่อสู้นี้ดำเนินไปกว่า 20 นาที ตัวผมจึงเริ่มเหนื่อยหอบ แต่จางจึเทากลับยิ่งสู้ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ

เท้าทั้งสี่ข้างของเขา แนบอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้น อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคม “ ก่อนหน้านี้ ฉันยังไม่เคยกินหัวใจคนปราบวิญญาณชั่วสักคน รอให้ฉันฆ่าแกเสร็จ จะได้ลองกินดูว่ามันอร่อยไหม ! ”

แม้ว่าแรงจะเหลือไม่มาก แต่พลังที่เหลือนี้จะแพ้ไม่ได้

“ ฮึ ! หัวใจของฉันไม่ใช่สิ่งที่แกคิดจะกินก็กินได้ อีกเดี๋ยวก็ต้องตาย นั้นเป็นสิ่งที่แกควรได้รับ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็ยกท่อนไม้ขึ้นอีกครั้ง และพุ่งเข้าไปหาจางจึเทา

และผมไม่คิดจะตายตามจางจึเทาไป ดังนั้นผมจะต้องรีบจบการต่อสู้กับเขาให้เร็วที่สุด

ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวผมก็ไม่มีแรงแล้ว สุดท้ายคนที่แพ้ จะต้องเป็นผมอย่างแน่นอน

จางจึเทาเห็นผมพุ่งเข้ามา แน่นอนว่าคนที่กำลังบ้าคลั่งอย่างเขาจะต้องไม่ถอยหลบ ทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้ามาต่อสู้ทันที

 

ช่วงเวลานั้น ผมสองคนเริ่มปะทะกันอีกครั้ง

จู่ๆจางจึเทาก็กระโดด กางกรงเล็บมาทางผม อยากใช้ความเร็วของตัวเอง ทำให้ผมตายในครั้งเดียว

แต่ผมไม่คิดจะถอยหลัง ยังจ้องอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ

ท่อนไม้ที่อยู่ในมือ ทำให้การต่อสู้ของผมสามารถขยายวงกว้างได้

ขยับร่างกายเพียงเล็กน้อย หลบการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง

ในเวลาเดียวกันก็ผมพูดเสียง ฮึ อย่างเย็นชา ยกมือขึ้นทำเป็นไม้กระบอง กวาดไม้ออกไปเป็นเส้นโค้ง ในระดับเท่าๆกัน และฟาดลงที่ขากรรไกรล่างของจางจึเทา

ทันใดนั้นจางจึเทาก็กรีดร้อง “ โอ๊ย ” และล้มลงไปกับพื้นทันที

 

ตอนนี้ผมอยู่ใกล้เขามาก ผมไม่ลังเลเลยสักนิด กำไม้ในมือแน่นและวิ่งเข้าไปฟาดซ้ำอีกทันที

ไม่รอให้จางจึเทาลุกขึ้นมาได้ ไม้ในมือของผมก็ฟาดลงที่หัวของจางจึเทา

“ ปัก ” ครั้งนี้ผมฟาดโดนหัวของอีกฝ่ายจังๆ แถมตรงกับแผลที่เกิดจากยันต์ดาวไถอีกด้วย

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ หัวของเขากลับแข็งเหมือนหิน

หลังจากทำแบบนี้ต่อไปสักพัก ท่อนไม้ที่อยู่ในมือของผมก็หักเป็นสองท่อน

จางจึเทากรีดร้องออกมาอีกครั้ง เขาจับหัวของตัวเองเอาไว้แล้วกลิ้งไปกับพื้น

ในปากยังร้องเสียง “ โอ๊ย ! โอ๊ย ! ” ออกมาไม่หยุด

เมื่อผมเห็นไม้หักแล้ว ก็หยิบยันต์ออกมา และเอื้อมมือเข้าไปแปะที่เจ้านี้

 

แม้ว่าจะเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้น แต่คืนนี้ผมจะต้องกำจัดเจ้าสารเลวนี้ให้ได้

ดังนั้นขณะที่จางจึเทายังไม่รู้ตัว ผมก็ขยับมือ แปะยันต์ลงไปที่จางจึเทาทันที

ครั้งนี้มันแน่นกว่าเดิม ผมแปะมันลงที่หน้าอกของอีกฝ่าย

“ จางจึเทา ฉันขอโทษนะ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็เสกคาถาทันที

แต่ตอนนี้จางจึเทากลับมึนงง เมื่อเห็นหน้าของตัวเองถูกแปะยันต์ ก็รีบใช้มือดึงออกทันที

แต่ยันต์ที่อยู่บนตัวเจ้าหมอนี้ มีพลังหยางศักดิ์สิทธิ์ ไหนเลยวิญญาณชั่วเหล่านี้จะสามารถแตะโดนมันได้ตรงๆ

มือของจางจึเทาพึ่งสัมผัสกับยันต์ เขาก็เหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อต และโดนพลังเวทย์ของยันต์ดีดออกทันที

 

หน้าของผมยังคงสงบ เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมกลับไม่ลังเลเลยสักนิด รีบทำกระบวนท่าทำมือ และท่องคาถาออกมา

เมื่อจางจึเทาเห็นว่าไม่สามารถดึงยันต์ออกได้ แถมผมยังกำลังเสกคาถา เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาทันที

เขาหันไปมองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็วิ่งไปทางด้านหนึ่ง

เมื่อผมเห็นเขาวิ่ง ผมก็ไม่ได้สนใจ พูดออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง…… ”

แต่ผมพึ่งพูดได้แค่ครึ่ง จู่ๆจางจึเทาก็ย่อยตัวลงตรงพุ้มไม้ที่อยู่ข้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอทันที ! ”

จากนั้น ผมก็เห็นจางจึเทาลากใครคนหนึ่งออกมาจากพุ้มไม้ หลังจากนั้นก็จับคนๆนั้นยกขึ้นกระแทกกับต้นไม้

หลังจากคนๆนั้นถูกจับกดไว้บนต้นไม้ กรงเล็บนั่นก็เข้าไปจอที่คอทันที แถมเล็บที่คมกริบยังเจาะเข้าไปในลำคอของคนๆนั้นอีกเล็กน้อย

 

หรือว่าก่อนหน้านี้ที่เห็นจางจึเทา ย่อยตัวลงและแสยะยิ้มที่พุ่มไม้ ก็เพราะตรงนั้นมีเหยื่อของเขาอยู่

แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมแปลกใจที่สุด สิ่งที่ทำให้ผมคิดไม่ถึงที่สุดคือหลังจากที่ผมเห็นคนๆนั้นชัดๆ ผมก็ตกตะลึงทันที

เพราะคนๆนั้น เป็นคนที่พวกเราเจอเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน อู่ฮุ่ยฮุ่ยดาราสาวที่เจอกันในสวนสาธารณะเล็กๆของเมืองโดยบังเอิญ

ตอนนี้ตัวของเธอดูเหมือนกำลังสลบ ดวงตาปิดอยู่ ไม่ขยับเขยื่อนเลยสักนิด

ผมคิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ตอนนั้นเธอรีบร้อนออกไป แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ในป่าด้านหลังโรงแรมไดนาสตี้ แถมยังได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้อีก

 

จางจึเทาเห็นผมตกตะลึง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย็นชา “ ติงฝาน เขาว่ากันว่าคนปราบวิญญาณชั่วเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม หรือว่าแกจะทนเห็นฉันฆ่ายัยนี้ได้งั้นเหรอ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset