ศพ – ตอนที่ 135 ความรู้สึกเกลียดชังของจูชิง

ตอนที่ 135 ความรู้สึกเกลียดชังของจูชิง

ตอนที่เธอพูดถึงจูจู จู่ๆน้ำเสียงของเธอก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ดวงตาทั้งสองข้างแฝงไปด้วยความเกลียดชัง

แต่เมื่อผมได้ยินถึงตรงนี้ กลับรู้สึกสงสัยมาก

จูจู พี่สาว แลกชีวิต ใช้ชีวิตแทนเธอ 20 ปี นี่มันเรื่องอะไรกัน

บนตัวของผีผู้หญิง มีความลับที่คนไม่รู้อยู่จริงๆ

แต่ตามที่ผีผู้หญิงพูด ผีผู้หญิงตนนี้กับจูจูแม่ของผีทารก มีความเกี่ยวข้องกัน

ในใจของผมมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย จึงถามอีกครั้ง “ จูจูกับเธอเป็นพี่น้องกันจริงๆเหรอ ที่เธอพูดว่ายืมชีวิตนั้น มันเกิดขึ้นได้ยังไง ”

 

ผมขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าเคร่งขรึม

ผีผู้หญิงอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวต่อมู่หลงเหยียน เธอจึงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านอีก

และพลังแค้นที่อยู่ในตัวของเธอ ก็ถูกมู่หลงเหยียนกดเอาไว้จนหมด พวกมันต่างลดลงมาอย่างรวดเร็ว จิตใจและการมีเหตุผลจึงค่อยๆกลับมา

หลังจากฟังผมพูดจบ ผีผู้หญิงก็อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในบ้าน

และพูดว่า “ ใช่ ฉันกับจูจูเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน แต่ แต่หลังจากที่ฉันเกิดมาได้ไม่นาน พี่จูจูกลับใช้ชีวิตของฉัน ใช้ชีวิตของฉันอยู่บนโลกนี้มาตลอด”

“ ส่วนฉันกลับถูกขังเอาไว้ในบ่อน้ำ ต้องอดทนกับความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด จนกระทั่งเมื่อคืน หลานของฉันได้ทำลายผนึก และทำให้ฉันออกมาปรากฎตัวได้…… ”

 

ผีผู้หญิงอธิบายความเครียดในใจทีละคำๆ และรู้สึกไม่พอใจจูจู กับคนในครอบครัว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดไม่ถึงคือ ผีทารกตนหนึ่ง จะสามารถดึงเรื่องราวลึกลับเมื่อ 20 ปีที่แล้วของครอบครัวจูจูออกมาได้

เรื่องราวมีอยู่ว่าเมื่อ 20 ปีก่อน แม่ของจูจูคลอดทารกฝาแฝด นั่นก็คือจูจูและผีผู้หญิงตรงหน้า

และชื่อของผีผู้หญิงคือจูชิง แม้ว่าจูชิงและจูจูจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

แต่จูชิงเกิดมามีร่างกายอ่อนแอ และเกิดมาพร้อมกับความพิการ

ถูกวินิจฉัยว่ามีโครงสร้างกระดูกผิดปกติ ขาทั้งสองข้างของเธอเป็นอัมพาต

 

แม้ว่าจู้ชิงจะเติบโตขึ้นมา ก็ต้องนั่งอยู่บนรถวีลแชร์เท่านั้น

แต่จูจูแตกต่าง ไม่เพียงมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม แต่เกิดมาพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงมาก

เพราะเหตุนี้ ทุกคนในบ้านจึงเอาความรักไปไว้ที่จูจู และละเลยจูชิง

เอาแต่ภาวนาให้จูชิงตายเร็วๆ ภาระในบ้านจะได้น้อยลง

แต่โชคดี ตอนที่พวกเธออายุได้ 8 เดือน จูจูกลับป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน

คนในบ้านเห็นจูจูเป็นหัวแก้วหัวแหวน แน่นอนว่าจะต้องพาจูจูไปรักษาจนทั่ว

 

แต่เมื่อเผชิญกับค่ารักษาพยาบาลที่สูง ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่สามารถจ่ายได้

เพียงไปซื้อยาจีน มารักษาอาการที่บ้านเท่านั้น

ทุกคนในบ้านมองอาการป่วยของจูจูที่ค่อยๆทรุดตัวลง ร้องไห้กันทุกวัน แต่จูชิงกลับเติบโตอย่างขาวอวบ

นี่จึงทำให้คนในครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจมาก จูจูที่รักยิ่งกำลังป่วยหนัก แต่จูงชิงที่คิดว่าจะตายเร็วๆ กลับเติบโตจนขาวอวบ

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น จูชิงก็ไม่ได้รับความรักและการดูแลที่มากกว่าเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ปู่ย่าของจูชิงก็ไม่รู้ว่าไปเชิญนักพรตลัทธิเต๋าจากที่ไหนกลับมา บอกให้นักพรตคนนั้นดูอาการป่วยให้จูจู

 

หลังจากเขาดูเสร็จ ก็ส่ายหัวไปมา

ปู่ย่าของจูชิงไม่พอใจ จึงบอกให้นักพรตคนนั้นรักษาชีวิตของจูจูเอาไว้ให้ได้

นักพรตถอนหายใจ บอกว่าจูจูต้องตาย แต่ถ้าอยากให้จูจูมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องมีคนสละชีวิตให้เธอ

เมื่อคนในบ้านได้ยินคำพูดนี้ก็เงียบไปในทันที ทันใดนั้นปู่ย่าของจูชิงก็หันมามองที่เก้าอี้ จูชิงเด็กไร้เดียงสา ที่กำลังเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน

หลังจากนั้นก็สามารถจินตานาการได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวของจูชิงบอกนักพรต ให้ใช้ชีวิตของจูชิงแลกกับจูจู

 

บอกว่าเมื่อโตขึ้นจูชิงก็ต้องเป็นคนพิการ นั่งอยู่บนวีลแชร์อย่างเดียว แถมยังเพิ่มภาระของคนในครอบครัว

ไม่สู้ใช้ชีวิตของเธอในตอนนี้ ซื้อชีวิตของพี่จูจูเอาไว้ดีกว่า

แบบนี้จะสามารถทำให้จูจูปลอดภัย และสามารถแบ่งเบาภาระให้คนในบ้านได้

ผมไม่รู้ว่านักพรตคนนั้นคิดยังไง แต่สุดท้ายผลก็คือ เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจบ้าบอนี้

ในที่สุด นักพรตก็เริ่มทำพิธี ใช้ชีวิตของจูชิงแลกกับจูจู

หลังจากนั้นก็นำโกศของจูชิงฝังเอาไว้ในบ่อน้ำ และในเวลาเดียวกันก็ทำการปิดผนึก……

หลังจากนั้นมา จูจูก็กลับมามีชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์

 

เพียงแต่ไม่มีน้องสาวพิการคนนั้นอีกต่อไป และหลังจากนั้นมาคนในบ้านของเธอ ก็ไม่เคยพูดชื่อจูชิง หรือผู้หญิงคนนี้อีกเลย

เมื่อวันปีใหม่มาถึง ก็ไม่เคยแม้แต่จะจุดธูปให้ ทำเหมือนกับจูชิง ไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

จูชิงจึงถูกขังอยู่ในบ่อน้ำมาตั้งแต่นั้น ไม่สามารถออกมาปรากฎตัวได้ ไม่สามารถเกิดใหม่ได้ เมื่อวันเวลาผ่านไป ความแค้นในใจก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่จนถึงเมื่อคืนนี้ พวกเราได้ทำร้ายผีทารก

เมื่อผีทารกกลับเข้าไปในบ่อน้ำด้วยความโกรธจัด เขาทั้งขุดแกะแงะแคะก้นบ่อ

แต่ช่วงเวลานั้นเขาก็บังเอิญขุดเจอโกศเซรามิกของเถ้ากระดูกจูชิงเข้า ผีทารกตนนี้แต่เดิมก็เป็นคนขี้สงสัยอยู่แล้ว หลังจากฝาโกศถูกเปิดออก ผนึกที่ปิดเอาไว้ก็ถูกทำร้าย วิญญาณจูชิงที่อยู่ข้างในก็ได้ถูกปล่อยออกมา

 

แม้ว่าจูชิงจะถูกแย่งชีวิตไป แต่เธอกลับเหมือนจูจู ที่เติบโตมาอายุเท่ากัน ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นแบบนี้

ตอนจูชิงตายเธอยังเด็กมาก แต่ถูกขังเอาไว้ 20 ปี พลังแค้นที่มีจึงไม่น้อย

แต่เมื่อผีทารกเห็นว่าในร่างมีความแค้นเหมือนกัน จึงยอมรับให้เป็นพวกเดียวกัน

แต่ หลังจากที่เธอได้ออกมานอกบ่อน้ำ ก็คิดจะมาแก้แค้นปู่ย่า

เพราะตอนแรกเป็นความคิดของปู่กับย่า ที่พานักพรตมา แล้วทำให้เธอตาย

แต่หลังจากเธอออกมาจากบ่อน้ำ ก็พบว่าในบ้านและนอกบ้านมียันต์แปะอยู่ เธอจึงไม่สามารถเข้าไปได้

ดังนั้น จึงทำได้เพียงยืนมองจากทางหน้าต่าง

 

ผลลัพธ์เธอเห็นพวกผมนอนอยู่ในบ้านพอดี และด้านในสุดก็มีแท่นวางป้ายวิญญาณและรูปของปู่ย่าตั้งอยู่

และในตอนนั้นเอง จู่ๆผมก็ตื่นขึ้นมา เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้าต่างพอดี

แต่เพียงชั่วพริบตา ผีผู้หญิงก็กลับเข้าไปในบ่อน้ำ และจนกระทั่งคืนนี้ที่เด็กน้อยได้เรียกหาเธออีกครั้ง……

เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ ในใจของผมก็รู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้าผมยังคิดจะใช้ดาบแทงเธอตายอยู่เลย

แต่ตอนนี้ผีผู้หญิงและผีเด็ก ต่างน่าสงสาร

เด็กแปดเดือนโดนครอบครัว “ ฆ่าตาย ” ชีวิตของตัวเองกลายเป็นของคนอื่น ส่วนคนอื่นได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ตัวเองกลับถูกขังเอาไว้ในบ่อน้ำอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

 

อย่าว่าเธอเป็นผีตัวหนึ่งเลย ถ้าเป็นคนๆหนึ่ง ถูกขังเอาไว้ในบ่อน้ำ 20 ปี ก็คงเป็นบ้า และโกรธแค้นเช่นกัน

ผมถอนหายใจ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับร้องไห้ขึ้นมา “ ฮือฮือฮือ ”

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ น้องศพ เราปล่อยเธอไปดีไหม ! เธอกับเด็กทารกคนนี้ ต่างน่าสงสาร ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็หันไปมองผีทารกอีกครั้ง

เด็กคนนี้ถูกตาข่ายดำรัดเอาไว้ พลังชั่วร้ายจึงถูกขับออกอย่างต่อเนื่อง จึงดูอ่อนแอมากในเวลานี้ แต่ปากของเขาก็ยังคำราม “ อ๊ากอ๊าก ” ออกมา

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็หันมามอง และพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “ ถ้าฉันปล่อยเธอไป เธอจะมีทางเลือกแค่สองทาง ถ้าไม่กลายเป็นผีเร่ร่อน หลงทางอยู่บนโลกนี้ และสุดท้ายก็สูญเสียจิตใจ เหมือนกับศพที่เดินได้ ล่องลอยไปวันๆ หรือไม่ก็ไปฆ่าพี่ของตัวเอง เรียกร้องชีวิตที่เสียไปของเธอ และสุดท้ายก็ได้ไปเกิดใหม่ ”

มู่หลงเหยียนพูดอย่างสบายๆ พร้อมกับมองมาที่ดวงตาของผม

มันชัดเจนมาก เธออยากให้ผมเป็นคนตัดสินใจ

แต่หลังจากที่ผมได้ยินถึงตรงนี้ ก็ตกตะลึงอีกครั้ง

จะปล่อยหรือไม่ปล่อย ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของจูจูและจูชิงทั้งนั้น

 

ถึงแม้ว่าวันข้างหน้าจูชิงจะไม่ฆ่าพี่สาวตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ แถมยังกลายเป็นผีเร่ร่อน ล่องลอยไปวันๆ สำหรับจูชิงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับเธอมาก

ถ้าฆ่าจูจู แต่จูจูก็เป็นผู้บริสุทธิ์ เธอเป็นเพียงผู้ได้รับผลประโยชน์

และเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ถูกจัดการโดยพ่อแม่ ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กทารกอายุแค่ 8 ขวบ

“ เอ่อ เอ่อจะทำยังไงดี ” ผมรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจัดการเรื่องนี้ยังไง

แต่มู่หลงเหยียนกลับหัวเราะใส่ผมเบาๆ เธอหมุนตัวไปพูดกับผีผู้หญิง “ จูชิง เธอน่าสงสารมาก แน่นอนว่าฉันต้องไว้ชีวิตเธอ แต่วิธีฟื้นชีวิตนี้ก็มีข้อดีและเสียในตัว เธอกับพี่สาวของเธอ มีเพียงคนเดียวที่สามารถมีชีวิตได้ และมีเพียงคนเดียวที่ไปเกิดใหม่ได้ ถ้าเธอมีชีวิตเขาจะตาย แต่ถ้าเธอตายเขาจะมีชีวิต ”

 

เมื่อพูดถึงจุดนี้ มู่หลงเหยียนก็หยุดไปแป๊บหนึ่ง “ ในร่างของเธอมีพลังแค้นอยู่ ในใจยังมีสิ่งครอบงำ ฉันสามารถกดมันเอาไว้ได้ แต่ถ้าฉันไม่อยู่ เธอก็จะกลายเป็นผีชั่วอีกครั้ง และถ้าเธออยากมีตัวตนอยู่เหมือนกัน เธอต้องละทิ้งความโกรธแค้นที่อยู่ในใจ กลายเป็นวิญญาณติดตามและฝึกวิชากับฉัน ฉันรับประกันว่าจะมีสักวันที่เธอได้ไปเกิดใหม่ เธอต้องการไหม ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset