ศพ – ตอนที่ 136 เรื่องหลังจากนั้น

ตอนที่ 136 เรื่องหลังจากนั้น

จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดแบบนั้นออกมา จึงทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับมึนงง

กลายเป็นวิญญาณฝึกวิชา และติดตามมู่หลงเหยียน แถมยังรับประกันว่าจะได้ไปเกิดใหม่ มู่หลงเหยียนนี่พูดจูงใจได้ดีจริงๆ

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนฟังพวกเธอคุยกับอย่างเงียบๆ

สีหน้าของผีจูชิงกลับเปลี่ยนไปทันที “ พี่ พี่สาว ถ้า ถ้าทำ แบบนี้พวกเราจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งคู่เลยเหรอ ในอนาคตฉันยังสามารถไปเกิดใหม่ได้จริงๆเหรอ ”

 

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ แน่นอน แต่พลังแค้นที่อยู่ในตัวเธอ ต้องถูกพลังของฉันกดไว้ ถ้าห่างจากฉัน เธอก็จะถูกพลังแค้นครอบงำอีก ขอแค่เธออยู่ข้างๆฉัน พี่สาวของเธอก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และเมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีความแค้นเหลืออยู่แล้ว เธอก็ค่อยตัดสินใจอีกที ! ”

ขณะที่มู่หลงเหยียนพูด เพราะความแค้นของผีจูชิงกำลังถูกกดไว้ ดังนั้นเธอจึงมีสติอย่างชัดเจน

หลังจากจูชิงเข้าใจความเกี่ยวข้องที่ฟังดูยอดเยี่ยมนี้แล้ว เธอก็ไม่ลังเล พูดกับมู่หลงเหยียนทันที “ ฉันไม่อยากกลายเป็นผีร้าย และไม่อยากฆ่าพี่ ! แล้วก็ไม่อยากถูกพลังแค้นครอบงำจิตใจ ! ได้โปรดพี่สาว พี่สาวรับฉันไว้ด้วย ช่วยฉันกำจัดพลังแค้น วันข้างหน้าฉันจะไปเกิดใหม่เป็นคนอีก…… ”

หลังจากพูดจบ จูชิงก็คำนับมู่หลงเหยียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ถึงจูชิงจะเป็นผีร้าย แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง เธอก็ยังไม่เคยฆ่าคน แค่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเท่านั้น

 

ดังนั้น พวกเราจึงสามารถช่วยเธอได้อยู่

เพราะเหตุนี้ ผมจึงพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ น้องศพ เขาตกลงแล้ว เธอก็ช่วยเขาเถอะ ! ”

มู่หลังเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ เธอลุกขึ้นก่อนเถอะ ! ”

เมื่อจูชิงได้ยินมู่หลงเหยียนพูด เธอก็ค่อยๆลุกขึ้น

แต่จูชิงเพิ่งลุกขึ้น มู่หลงเหยียนกลับยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ ปัง ” เสียงฝ่ามือที่กระทบลงตรงหน้าอกของจูชิง ฉากนี้เกิดขึ้นเร็วมาก จูชิงเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว เจ้าตัวยังไม่ทันได้ร้องออกมา ก็ถูกฝ่ามือฟาดล้มลงไปกับพื้นแล้ว

ไม่ใช่แค่นั้น จูชิงยังเหมือนคนทั่วไป เธอสลบไปในทันที นอนอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีก

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “กึก”

มู่หลงเหยียนทำอะไร ในใจของผมกำลังสงสัยและไม่เข้าใจอย่างมาก “ น้องศพ เธอไปทำร้ายเขาทำไม ”

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยิน ก็กลอกตาใส่ผม “ ปัญญาอ่อน ถ้าฉันไม่ทำให้เธอสลบก่อน แล้วอีกเดี๋ยวฉันออกไป พลังแค้นของเธอโผล่ออกมา เธอก็พุ่งเข้ามากัดคอนายอีกน่ะซิ ! ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ จึงถามว่า “ ไป เธอจะไปไหน เธอจะไม่อยู่กับฉันเหรอ ”

ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนไม่มัวพูดไร้สาระกับผม เธอด่าผมทันที “ ปัญญาอ่อน ” จากนั้นก็พูดว่า “อย่าทำให้จูชิงตื่น นำเถ้ากระดูกและวิญญาณของเธอกลับมาหาฉันด้วยละ ! ”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เธอทำมือเป็นรูปดาบ

 

จากนั้นก็พูดว่า “ คลาย ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา

ทันใดนั้นร่างของมู่หลงเหยียน ที่อยู่ตรงหน้าของผมก็กลายเป็นภาพเบลอๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหมอกขาว ปลิวหายไปตามสายลม กระจายตัวไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ขณะที่มู่หลงเหยียนหายไป รอบๆก็กลับมาสงบดังเดิม

เมื่อผมเห็นว่ามู่หลงเหยียนหายไปแล้ว และสัญลักษณ์หยินหยางบนข้อมือก็หายไป ผมจึงเข้าใจทันที

ดูเหมือนความเข้าใจก่อนหน้านี้ของผมจะผิดพลาดไปเล็กน้อย สิ่งที่ผมเรียกออกมา ไม่ใช่ร่างจริงของมู่หลงเหยียน แต่เป็นเพียงดวงจิตของเธอเท่านั้น

 

เธอมาจากช่องทางพิเศษ โดยอาศัยไฝดำที่อยู่บนข้อมือของผม จึงสามารถปรากฎตัวตรงหน้าของผมได้ในเวลาอันสั้น

แต่เมื่อหมดเวลา มู่หลงเหยียนก็จะหายไป

หลังจากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้สงบ

มองไปรอบๆ เห็นหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานกำลังสลบอยู่ ผีผู้หญิงก็ไม่ก่อเรื่องอีก ส่วนเจ้าเด็กนั้นก็ถูกตาข่ายรัดเอาไว้ ตอนนี้ดิ้นทุรนทุรายอย่างกับปลากำลังจะตาย พลังชั่วร้ายก็ถูกกำจัดไปจำนวนมากแล้ว

ความลับเรื่องมู่หลงเหยียนจะเปิดเผยออกมาไม่ได้ ดังนั้นผมต้องคิดว่าจะอธิบายยังไง แต่ก่อนอื่นต้องไปที่ก้นบ่อ ขุดโกศของผีผู้หญิงออกมาก่อน

 

หลังจากนั้น ผมก็ไปปลุกหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานให้ได้สติ

ทั้งสองคนเพิ่งได้สติ ก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที

ถามว่าผีผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง พวกเรายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม

ผมกลับยิ้มให้อย่างใจเย็น ชี้ไปที่ผีผู้หญิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

เมื่อทั้งสองคนเห็นผีผู้หญิงสลบอยู่ที่พื้น ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบถามผมต่อทันทีว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น

แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดความจริง เพียงสร้างเรื่องโกหกมาเรื่องหนึ่ง

บอกว่าก่อนหน้านี้ผมถูกผีผู้หญิงโจมตีใส่จนตัวกลิ้งลงไปในบ่อน้ำ และในบ่อน้ำนั้นก็มีเถ้ากระดูกของเธออยู่

 

ผมจึงใช้เถ้ากระดูกของเธอ เสกคาถาลงไปสองสามคาถา ถึงระงับพลังวิญญาณของเธอเอาไว้ได้

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ได้สงสัย ต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองยังมีชีวิตรอด จึงรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่โชคดีมาก

แต่ผมก็ยังบอกว่าหลังจากปราบผีผู้หญิงเรียบร้อย ก็ได้ยินเรื่องราวชีวิตของเธอ

เมื่อหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานฟังจบ ก็เงียบกันไปพักหนึ่ง

ผีผู้หญิงตนนี้เหมือนกับเด็กคนนั้น ต่างมีชีวิตที่น่าสงสาร

ดังนั้นผมจึงหาข้ออ้าง บอกว่าผมรับปากวิญญาณของจูชิงเอาไว้แล้ว ว่าจะพาเธอกลับไปช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณให้เป็นอิสระ

 

ให้ได้รับความยุติธรรม อาชีพของพวกเรา นี่ถือเป็นเรื่องปกติมากๆ

ทั้งสองคนพยักหน้า บอกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรทำ

ในเมื่อผีผู้หญิงไม่ได้เป็นผีชั่วร้ายอะไร และการตายของเธอ ยังเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของจูจู

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้งสองคนจึงเห็นด้วยกับการกระทำของผม

หลังจากนั้นเฟิงเฉ่วหานนำของสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ ถุงเฉียนคุน ”(เป็นหนึ่งในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาลทั้งสิบ ภายในถุงมีมิติพิศวง ใช้เก็บสิ่งของต่างๆได้อย่างมากมาย) ออกมาจากกระเป๋า เขาใช้มันเก็บวิญญาณของผีผู้หญิง

 

เรื่องของผีผู้หญิงก็ถือเป็นอันจบไป หลังจากที่เธอถูกเก็บเอาไว้ในถึงเฉียนคุน เขาก็ใช้ยันต์ปิดผนึกไว้

ส่วนเด็กคนนั้น ยังต้องส่งวิญญาณก่อน

ผีเด็กไม่เหมือนกับผีผู้หญิง เป็นเพียงแค่เด็กทารกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น

ตอนนี้ถูกตาข่ายดำรัดเอาไว้ พลังชั่วที่อยู่ในร่างกายก็ถูกขจัดไปจำนวนมากแล้ว

ขอแค่พวกเราสามคนออกแรงอีกนิดหน่อย ก็จะสามารถทำให้ทารกฟื้นคืนสติได้แล้ว

และเมื่อถึงเวลานั้น ค่อยทำพิธีส่งวิญญาณ ส่งผีทารกตนนี้จากไป ก็จะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์

ถ้าทำแบบนี้ พวกเราไม่เพียงไม่ต้องฆ่าเด็ก กลับกันยังสร้างทางเดินให้ผีทารกอีกเส้น สร้างโอกาสให้เขาได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง

 

เมื่อเป็นแบบนี้ ตัวเองก็จะได้สะสมบุญจำนวนมาก

เวลายังไม่ดึกมาก พวกเราสามคนจึงพักผ่อนกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มตั้งโต๊ะทำพิธีที่สวนหย่อม

โต๊ะอันนั้นก็คือโต๊ะที่ยกมาจากในบ้าน จุดเทียน เผาเงินกระดาษ และเริ่มทำพิธี

พวกเราใช้ยันต์สะกดแปะที่ผีทารกก่อน แล้วสุดท้ายก็เริ่มท่องคาถา

เพราะพลังชั่วร้ายในร่างของเขาหายไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ผีเด็กคืนสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

และพิธีส่งวิญญาณก็ทำได้ไม่ยาก หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง พวกเราก็ทำพิธีเสร็จ

ตอนนี้ผีเด็กได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย หัวที่เคยใหญ่กว่าเด็กทั่วไปถึงสองเท่า ตอนนี้ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว

ปากที่ขยายใหญ่ไปถึงติ่งหูและฟันที่แหลมคม ก็ได้กลายเป็นของเด็กปกติแล้ว

 

ตอนนี้สภาพของเด็ก ดูเหมือนเด็กปกติที่มีอายุสองสามขวบ

นอกจากสีหน้าที่ซีดขาวมากๆนั้นแล้ว ดวงตาก็มีนัยน์ตาปรากฎขึ้นมา

ตอนนี้เขายืนนิ่งเงียบอยู่หน้าโต๊ะบูชา เงยหน้ามองพวกเราสามคนโดยไม่กระพริบตา

ดูเหมือนผีทารกจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ในใจของผมจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น

ผมเดินมาตรงหน้าของผีทารกช้าๆ ในเวลาเดียวกันก็ย่อตัวลง ในมือลูบหัวเขาเบาๆ “ เจ้าตัวน้อย สิ่งที่คุณลุงคุณป้าจะทำได้ ก็มีแต่เรื่องพวกนี้ หลังจากกลับไป คุณลุงคุณป้าจะเผากระดาษไปให้เธอ เธอก็เดินทางอย่างสบายใจเถอะ ! ”

 

ผีทารกตนนั้นพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับผมด้วยเสียงที่ไร้เดียงสา “ ขอบคุณคุณลุงมากครับ หลังจากผมไปแล้ว บอกแม่ให้ผมหน่อยนะครับ ว่าชั่วชีวิตนี้ ผมไม่อยากเป็นลูกของเธออีกแล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ ผีทารกก็ยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มหวานที่น่ารักมากๆ

จากนั้น เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในความมืด

แต่เดินไปได้แค่ 2 ก้าว ลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา ร่างของเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาพวกเราทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset