ตอนที่ 143 แสดงตัวตน
เมื่อมีหยางเฉ่วมาร่วมทาง ความแข็งแกร่งของพวกเราก็เพิ่มขึ้นอีกระดับ
ดังนั้นการช่วยเหลือในครั้งนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะสำเร็จเพิ่มมากขึ้น
หลังจากวางโทรศัพท์ ผมก็บอกกับคนขับว่า “ พี่คนขับ อีกเดี๋ยวไปจอดหน้ามหาลัยศิลปะชิงชานหน่อยนะครับ ผมจะแวะไปรับเพื่อนอีกหนึ่งคน ! ”
คนขับรถหันมามองผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าจริงจังของผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็กลืนคำพูดลงไปทันที ตอบเพียง “ อือ ” จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นอีกนิดหน่อย
ผมเข้าใจดี ว่าคนขับคนนี้อยากจะแนะนำผมกับเฟิงเฉ่วว่าอย่าไปตำบลหม่าหวางเลย กลัวพวกเราจะไปไม่กลับ
เขาขับรถด้วยความรวดเร็ว ผ่านไป 10 นาที พวกเราก็มาถึงมหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน
ครั้งนี้ไม่ใช่ “ ชิงชาน ” เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อหันไปมอง มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งนี้ดีกว่ามาก ไม่ใช่แค่มีพื้นที่ใหญ่โต แถมอาคารที่ตั้งอยู่ในมหาลัยยังดูค่อนข้างใหม่
แม้แต่ในตอนนี้ ที่หน้ามหาลัยก็ยังมีนักศึกษาชายหญิงเดินเข้าๆออกๆกันอย่างคึกคัก
เมื่อมองผ่านกระจกรถ ผมก็มองเห็นหยางเฉ่วยืนอยู่ที่ถนน
หยางเฉ่วสูงราวๆ 170 เซนติเมตร เธอสูงมาก ขาเรียวยาว และก็ยังโดดเด่นภายใต้แสงไฟของท้องถนน
ผมชี้บอกคนขับรถ ไม่นานรถก็เข้ามาจอดที่ตรงหน้าหยางเฉ่ว
รถพึ่งมาถึง ผมก็เปิดหน้าต่างรถทันที “ ขึ้นรถ ! ”
เมื่อหยางเฉ่วเห็นว่าเป็นผม ที่มุมปากของเธอก็คลี่ยิ้มออกมา และรีบเข้ามานั่งในรถทันที
ตอนนี้พวกเราได้รวมตัวกันแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือไปตำบลหม่าหวาง
เพราะบนรถมีคนนอก หยางเฉ่วจึงไม่ถามอะไรมาก
เพียงทักทายพวกเราสองคน จากนั้นก็พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วเธอก็หันหน้าไปพิงเบาะทันที
การเดินทางจากที่นี่ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง
เวลาที่จะถึงตำบลหวางหม่า ก็น่าจะประมาณสี่ทุ่มครึ่ง
เวลายังไม่ดึกมาก ดังนั้นเฟิงเฉ่วหานจึงเริ่มหลับตานอน
แต่ใจผมกำลังเต้นตุ๋มๆต่อมๆ จึงไม่มีอารมณ์นอนเหมือนเขา
บางครั้งก็ก้มมองโทรศัพท์ หวังว่าเสี่ยวม่านจะติดต่อหาผมอีกครั้ง
แต่ระหว่างทาง เสี่ยวม่านกลับไม่ส่งข้อความมาอีก โทรศัพท์ก็เหมือนจะถูกปิดเอาไว้ตลอด
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ พวกเราเองก็เริ่มเข้าใกล้ตำบลหม่าหวางขึ้นเรื่อยๆ……
ตอนนี้พวกเราออกมาจากทางหลวงแล้ว เข้าสู่ถนนชนบท
เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตก ดังนั้นถนนจึงไม่ค่อยดี มันจึงเต็มไปด้วยโคลน การขับจึงช้าลง และเจอหลุมบ่อยมาก
แต่ระยะทางของพวกเรากับตำบลหม่าหวาง เหลืออีกแค่ 20 นาทีเท่านั้น
ตอนนี้บรรยายกาศภายในรถกดดันมาก นอกจากเสียงลมหายใจ ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก
แต่ในเวลานี้เอง คนขับรถกลับพูดกับผมอีกครั้ง “ น้องชาย พวกเรากลับกันดีไหม ! ตอนนี้ดึกเกินไป ที่นั้นน่ากลัวมากจริงๆนะ ”
“ ไม่เป็นไรครับ ถึงที่แล้วผมจะให้เงิน ! ” ผมพูดเบาๆ
แต่คนขับรถกลับพูดต่อ “ น้องชาย มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนาย เงินที่พี่ได้มา ก็คงเป็นฝันร้ายสำหรับพี่ พวกนายจะไปต่อจริงๆเหรอ เอาอย่างนี้ไหมพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าไปอีกรอบเป็นไง ”
คนขับรถเป็นคนดี แต่ในตอนนี้น้ำเสียงของคนขับรถ ฟังดูค่อนข้างรีบร้อน กลัวว่าพวกเราจะไปไม่กลับ เขากำลังกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเราจริงๆ
เดิมทีผมอยากปิดบังตัวตนของพวกเรา ไม่อยากบอกคนขับรถ ว่าพวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย
แต่ตอนนี้ ผมตัดสินใจจะบอกเขา ถ้าทำแบบนี้จะทำให้เขาสงบใจลง และไม่กังวลเรื่องพวกเราอีก
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า “ พี่คนขับ คุณเชื่อไหมว่าบนโลกนี้มีผีอยู่ งั้นเชื่อไหมว่าบนโลกนี้ก็มีคนปราบผีอยู่ด้วย ”
เมื่อเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วที่ร่วมเดินมาได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
คนขับรถเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองผมผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง “ ฉัน ฉันเชื่อเรื่องนี้ เมื่อก่อนฉันอยู่บ้านนอก ในหมู่บ้านของเราก็มีนักพรตที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ชายคนนั้นสามารถปัดเป่าวิญญาณร้ายออกไปได้จริงๆ มันน่าทึ้งมาก และฉันยังจำได้ว่านักพรตเฒ่าคนนั้นพูดว่า อะไรเข้าเนี่ยแหละ…… ”
เมื่อได้ยินคนขับรถพูดคำนั้น ผมก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
ไม่รอให้เขาพูดจบ ผมก็พูดแทรกทันที “ เข้ามาซื่อตรง ทำชั่วมีผล ปราบวิญญาณร้าย ต้องรู้จักหนักเบา ประโยคนี้ใช่ไหมครับ ! ”
ผมพูดเบาๆ และความหมายของประโยคนี้มันมีความหมายแฝง ส่วนใหญ่มักใช้ตักเตือนศิษย์ที่เข้ามาในสายงานนี้
ความหมายประมาณว่า เดิมทีบนโลกใบนี้คนต่างมีใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าใช้พลังในทางที่ผิด ย่อมมีผลตามมาเป็นธรรมดา การเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย บางครั้งก็ต้องไร้ความเมตตา……
แต่หลังจากที่คนขับรถได้ยินประโยคสุดท้าย “ พรึบ ” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ น้อง น้องชายรู้จักประโยคนั้นได้ยังไง ตอนนั้น ตอนนั้นฉันอยู่กับนักพรตเฒ่าตอนเขารับศิษย์ ถึงได้ยินมัน ! ” หน้าของคนขับรถเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะมันน่าตกใจเกินไป เขาจึงขับรถตกหลุมหลายครั้ง
ผมกลับพูดต่อ “ ไม่ว่าพี่จะเชื่อไหม แต่พวกเราเป็นคนแบบนั้น ! คนปราบผี ”
เมื่อคนขับรถได้ยินประโยคนี้ เท้าก็เปลี่ยนมาเหยียบเบรกทันที
ได้ยินเสียงดัง “ เอี๊ยด ” รถคันนั้นหยุดลงทันที
ร่างกายของพวกเราโน้มไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระแทกลงกับพนักพิงทันที
ดูเหมือนพี่คนขับจะขับไม่เร็วมาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้ พวกเราก็คงกระอักเลือดออกมาหมดแล้ว
แต่คนขับรถคันนั้นกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาหันมามองอย่างรวดเร็ว “ พวกนาย พวกนายเป็นคนปราบผี ”
เขาเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น เมื่อไหร่กันที่คำว่าคนปราบผีทำให้คนตกใจได้ถึงขนาดนี้
ผมเกาหัว จากนั้นก็พูดว่า “ ใช่ ครั้งนี้ที่พวกเราไปตำบลหม่าหวาง ก็เพราะอยากจะลองเข้าไปดู แต่ถ้ามีเจ้าพวกนั้นอย่างที่พี่พูดจริงๆ พวกเราก็จะจัดการพวกเขาเอง ! ”
หน้าของคนขับรถเต็มไม่ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้าง มองพวกเราสามคนอย่างไม่เชื่อสายตา “ แต่ แต่พวกนาย พวกนายยังเด็ก เด็กมาก จะเป็น เป็นคนปราบผีไปได้ยังไง…… ”
เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆได้ยิน กลับเค้นเสียงพูด “ เฮอะ ” ออกมา “ พี่คนขับ คนปราบผีต้องมีอายุเท่าไหร่ คุณขับรถดีๆเถอะ อย่ากังวลเรื่องของพวกเราเลย ! ”
คนขับรถยังแสดงท่าทางไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เมื่อผมเห็นว่าถ้าไม่สามารถกำจัดความสงสัยที่อยู่ในใจของเขาได้ ชายคนนี้ก็คงไม่อยากขับรถต่อ
ไม่มีทางเลือกแล้ว ผมต้องให้เขาดูอาวุธที่พกมา จากนั้นผมก็ดึงดาบไม้ออกมาทันที “ รู้จักสิ่งนี้ใช่ไหมครับ ”
ขณะที่พูด ผมก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น และชี้ให้เห็นดาบไม้ในมือ
เมื่อยันต์สีเหลืองอ่อน ได้ถูกหยิบออกมา มันก็ดูมีมนต์ขลังมาก
เมื่อคนขับรถเห็นดาบไม้ที่ผมหยิบออกมา และยันต์เหลืองที่อยู่ในมือ เขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง
ม่านตาขยายใหญ่ เขาตกใจมาก “ นี่ นี่คือ นี่คือดาบไม้ที่สามารถกำจัดวิญญาณ ชั่วร้ายได้ ! ขับไล่วิญญาณชั่วออกไป ยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ”
ขณะที่พูด คนขับรถก็หันมามองดาบที่เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วพกเอาไว้
เขาถึงรู้ว่า เป็นฝักของดาบไม้ ทุกคนจึงดึงดาบไม้ออกมา
ทันใดนั้นคนขับก็เข้าใจทันที เด็กสามคนตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ใช่วัยรุ่นทั่วไปที่หาเรื่องไปตาย
ไม่อย่างนั้นใครจะโง่ ค่ำๆมืดๆถือดาบไม้ออกมาที่ตำบลผีอันแสนห่างไกลแบบนี้
ผมเห็นเขาตกตะลึง จึงพูดออกมาอีกครั้ง “ พวกเราเป็นคนปราบผีรุ่นใหม่ ครั้งนี้ได้รับคำสั่งมาขับไล่ผี ตอนนี้เชื่อพวกเราแล้วใช่ไหมครับ ! ”
ผมโม้อีกนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นคนขับรถคงตกใจต่อ และไม่พาพวกเราไปช่วยเสี่ยวม่านซะที
เขาหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ เชื่อแล้ว เชื่อแล้ว ที่แท้ท่านทั้งสามเป็นลูกศิษย์ของลักทธิเต๋า ผมจะออกรถเดี๋ยวนี้แหละ ”
หลังจากพูดจบ คนขับรถก็ไม่ลังเล เหยียบคันเร่งทันที มุ่งหน้าไปยังตำบลหม่าหวางอีกครั้ง……