ศพ – ตอนที่ 143 แสดงตัวตน

ตอนที่ 143 แสดงตัวตน

เมื่อมีหยางเฉ่วมาร่วมทาง ความแข็งแกร่งของพวกเราก็เพิ่มขึ้นอีกระดับ

ดังนั้นการช่วยเหลือในครั้งนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะสำเร็จเพิ่มมากขึ้น

หลังจากวางโทรศัพท์ ผมก็บอกกับคนขับว่า “ พี่คนขับ อีกเดี๋ยวไปจอดหน้ามหาลัยศิลปะชิงชานหน่อยนะครับ ผมจะแวะไปรับเพื่อนอีกหนึ่งคน ! ”

คนขับรถหันมามองผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าจริงจังของผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็กลืนคำพูดลงไปทันที ตอบเพียง “ อือ ” จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นอีกนิดหน่อย

 

ผมเข้าใจดี ว่าคนขับคนนี้อยากจะแนะนำผมกับเฟิงเฉ่วว่าอย่าไปตำบลหม่าหวางเลย กลัวพวกเราจะไปไม่กลับ

เขาขับรถด้วยความรวดเร็ว ผ่านไป 10 นาที พวกเราก็มาถึงมหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน

ครั้งนี้ไม่ใช่ “ ชิงชาน ” เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อหันไปมอง มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งนี้ดีกว่ามาก ไม่ใช่แค่มีพื้นที่ใหญ่โต แถมอาคารที่ตั้งอยู่ในมหาลัยยังดูค่อนข้างใหม่

แม้แต่ในตอนนี้ ที่หน้ามหาลัยก็ยังมีนักศึกษาชายหญิงเดินเข้าๆออกๆกันอย่างคึกคัก

เมื่อมองผ่านกระจกรถ ผมก็มองเห็นหยางเฉ่วยืนอยู่ที่ถนน

หยางเฉ่วสูงราวๆ 170 เซนติเมตร เธอสูงมาก ขาเรียวยาว และก็ยังโดดเด่นภายใต้แสงไฟของท้องถนน

 

ผมชี้บอกคนขับรถ ไม่นานรถก็เข้ามาจอดที่ตรงหน้าหยางเฉ่ว

รถพึ่งมาถึง ผมก็เปิดหน้าต่างรถทันที “ ขึ้นรถ ! ”

เมื่อหยางเฉ่วเห็นว่าเป็นผม ที่มุมปากของเธอก็คลี่ยิ้มออกมา และรีบเข้ามานั่งในรถทันที

ตอนนี้พวกเราได้รวมตัวกันแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือไปตำบลหม่าหวาง

เพราะบนรถมีคนนอก หยางเฉ่วจึงไม่ถามอะไรมาก

เพียงทักทายพวกเราสองคน จากนั้นก็พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วเธอก็หันหน้าไปพิงเบาะทันที

การเดินทางจากที่นี่ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง

เวลาที่จะถึงตำบลหวางหม่า ก็น่าจะประมาณสี่ทุ่มครึ่ง

 

เวลายังไม่ดึกมาก ดังนั้นเฟิงเฉ่วหานจึงเริ่มหลับตานอน

แต่ใจผมกำลังเต้นตุ๋มๆต่อมๆ จึงไม่มีอารมณ์นอนเหมือนเขา

บางครั้งก็ก้มมองโทรศัพท์ หวังว่าเสี่ยวม่านจะติดต่อหาผมอีกครั้ง

แต่ระหว่างทาง เสี่ยวม่านกลับไม่ส่งข้อความมาอีก โทรศัพท์ก็เหมือนจะถูกปิดเอาไว้ตลอด

เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ พวกเราเองก็เริ่มเข้าใกล้ตำบลหม่าหวางขึ้นเรื่อยๆ……

ตอนนี้พวกเราออกมาจากทางหลวงแล้ว เข้าสู่ถนนชนบท

เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตก ดังนั้นถนนจึงไม่ค่อยดี มันจึงเต็มไปด้วยโคลน การขับจึงช้าลง และเจอหลุมบ่อยมาก

 

แต่ระยะทางของพวกเรากับตำบลหม่าหวาง เหลืออีกแค่ 20 นาทีเท่านั้น

ตอนนี้บรรยายกาศภายในรถกดดันมาก นอกจากเสียงลมหายใจ ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก

แต่ในเวลานี้เอง คนขับรถกลับพูดกับผมอีกครั้ง “ น้องชาย พวกเรากลับกันดีไหม ! ตอนนี้ดึกเกินไป ที่นั้นน่ากลัวมากจริงๆนะ ”

“ ไม่เป็นไรครับ ถึงที่แล้วผมจะให้เงิน ! ” ผมพูดเบาๆ

แต่คนขับรถกลับพูดต่อ “ น้องชาย มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกนาย เงินที่พี่ได้มา ก็คงเป็นฝันร้ายสำหรับพี่ พวกนายจะไปต่อจริงๆเหรอ เอาอย่างนี้ไหมพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าไปอีกรอบเป็นไง ”

 

คนขับรถเป็นคนดี แต่ในตอนนี้น้ำเสียงของคนขับรถ ฟังดูค่อนข้างรีบร้อน กลัวว่าพวกเราจะไปไม่กลับ เขากำลังกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเราจริงๆ

เดิมทีผมอยากปิดบังตัวตนของพวกเรา ไม่อยากบอกคนขับรถ ว่าพวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย

แต่ตอนนี้ ผมตัดสินใจจะบอกเขา ถ้าทำแบบนี้จะทำให้เขาสงบใจลง และไม่กังวลเรื่องพวกเราอีก

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับคนขับรถว่า “ พี่คนขับ คุณเชื่อไหมว่าบนโลกนี้มีผีอยู่ งั้นเชื่อไหมว่าบนโลกนี้ก็มีคนปราบผีอยู่ด้วย ”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วที่ร่วมเดินมาได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย

 

คนขับรถเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองผมผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง “ ฉัน ฉันเชื่อเรื่องนี้ เมื่อก่อนฉันอยู่บ้านนอก ในหมู่บ้านของเราก็มีนักพรตที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ชายคนนั้นสามารถปัดเป่าวิญญาณร้ายออกไปได้จริงๆ มันน่าทึ้งมาก และฉันยังจำได้ว่านักพรตเฒ่าคนนั้นพูดว่า อะไรเข้าเนี่ยแหละ…… ”

เมื่อได้ยินคนขับรถพูดคำนั้น ผมก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

ไม่รอให้เขาพูดจบ ผมก็พูดแทรกทันที “ เข้ามาซื่อตรง ทำชั่วมีผล ปราบวิญญาณร้าย ต้องรู้จักหนักเบา ประโยคนี้ใช่ไหมครับ ! ”

ผมพูดเบาๆ และความหมายของประโยคนี้มันมีความหมายแฝง ส่วนใหญ่มักใช้ตักเตือนศิษย์ที่เข้ามาในสายงานนี้

 

ความหมายประมาณว่า เดิมทีบนโลกใบนี้คนต่างมีใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าใช้พลังในทางที่ผิด ย่อมมีผลตามมาเป็นธรรมดา การเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย บางครั้งก็ต้องไร้ความเมตตา……

แต่หลังจากที่คนขับรถได้ยินประโยคสุดท้าย “ พรึบ ” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

“ น้อง น้องชายรู้จักประโยคนั้นได้ยังไง ตอนนั้น ตอนนั้นฉันอยู่กับนักพรตเฒ่าตอนเขารับศิษย์ ถึงได้ยินมัน ! ” หน้าของคนขับรถเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะมันน่าตกใจเกินไป เขาจึงขับรถตกหลุมหลายครั้ง

ผมกลับพูดต่อ “ ไม่ว่าพี่จะเชื่อไหม แต่พวกเราเป็นคนแบบนั้น ! คนปราบผี ”

เมื่อคนขับรถได้ยินประโยคนี้ เท้าก็เปลี่ยนมาเหยียบเบรกทันที

 

ได้ยินเสียงดัง “ เอี๊ยด ” รถคันนั้นหยุดลงทันที

ร่างกายของพวกเราโน้มไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระแทกลงกับพนักพิงทันที

ดูเหมือนพี่คนขับจะขับไม่เร็วมาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้ พวกเราก็คงกระอักเลือดออกมาหมดแล้ว

แต่คนขับรถคันนั้นกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาหันมามองอย่างรวดเร็ว “ พวกนาย พวกนายเป็นคนปราบผี ”

เขาเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น เมื่อไหร่กันที่คำว่าคนปราบผีทำให้คนตกใจได้ถึงขนาดนี้

ผมเกาหัว จากนั้นก็พูดว่า “ ใช่ ครั้งนี้ที่พวกเราไปตำบลหม่าหวาง ก็เพราะอยากจะลองเข้าไปดู แต่ถ้ามีเจ้าพวกนั้นอย่างที่พี่พูดจริงๆ พวกเราก็จะจัดการพวกเขาเอง ! ”

 

หน้าของคนขับรถเต็มไม่ด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้าง มองพวกเราสามคนอย่างไม่เชื่อสายตา “ แต่ แต่พวกนาย พวกนายยังเด็ก เด็กมาก จะเป็น เป็นคนปราบผีไปได้ยังไง…… ”

เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆได้ยิน กลับเค้นเสียงพูด “ เฮอะ ” ออกมา “ พี่คนขับ คนปราบผีต้องมีอายุเท่าไหร่ คุณขับรถดีๆเถอะ อย่ากังวลเรื่องของพวกเราเลย ! ”

คนขับรถยังแสดงท่าทางไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เมื่อผมเห็นว่าถ้าไม่สามารถกำจัดความสงสัยที่อยู่ในใจของเขาได้ ชายคนนี้ก็คงไม่อยากขับรถต่อ

ไม่มีทางเลือกแล้ว ผมต้องให้เขาดูอาวุธที่พกมา จากนั้นผมก็ดึงดาบไม้ออกมาทันที “ รู้จักสิ่งนี้ใช่ไหมครับ ”

 

ขณะที่พูด ผมก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น และชี้ให้เห็นดาบไม้ในมือ

เมื่อยันต์สีเหลืองอ่อน ได้ถูกหยิบออกมา มันก็ดูมีมนต์ขลังมาก

เมื่อคนขับรถเห็นดาบไม้ที่ผมหยิบออกมา และยันต์เหลืองที่อยู่ในมือ เขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง

ม่านตาขยายใหญ่ เขาตกใจมาก “ นี่ นี่คือ นี่คือดาบไม้ที่สามารถกำจัดวิญญาณ ชั่วร้ายได้ ! ขับไล่วิญญาณชั่วออกไป ยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ”

ขณะที่พูด คนขับรถก็หันมามองดาบที่เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วพกเอาไว้

เขาถึงรู้ว่า เป็นฝักของดาบไม้ ทุกคนจึงดึงดาบไม้ออกมา

 

ทันใดนั้นคนขับก็เข้าใจทันที เด็กสามคนตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ใช่วัยรุ่นทั่วไปที่หาเรื่องไปตาย

ไม่อย่างนั้นใครจะโง่ ค่ำๆมืดๆถือดาบไม้ออกมาที่ตำบลผีอันแสนห่างไกลแบบนี้

ผมเห็นเขาตกตะลึง จึงพูดออกมาอีกครั้ง “ พวกเราเป็นคนปราบผีรุ่นใหม่ ครั้งนี้ได้รับคำสั่งมาขับไล่ผี ตอนนี้เชื่อพวกเราแล้วใช่ไหมครับ ! ”

ผมโม้อีกนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นคนขับรถคงตกใจต่อ และไม่พาพวกเราไปช่วยเสี่ยวม่านซะที

เขาหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ เชื่อแล้ว เชื่อแล้ว ที่แท้ท่านทั้งสามเป็นลูกศิษย์ของลักทธิเต๋า ผมจะออกรถเดี๋ยวนี้แหละ ”

หลังจากพูดจบ คนขับรถก็ไม่ลังเล เหยียบคันเร่งทันที มุ่งหน้าไปยังตำบลหม่าหวางอีกครั้ง……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset